เนื้อหา การประชุม สื่อในวิกฤตการเมือง; สะท้อนปรากฎการณ์ หรือแสวงหาทางออก

การประชุม เครือข่ายนักวิชาการและนักวิชาชีพสื่อมวลชนครั้งที่ ๑/๒๕๕๓

“สื่อ ในวิกฤตการเมือง; สะท้อนปรากฎการณ์ หรือแสวงหาทางออก”

วัน พฤหัสบดีที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ เวลา o๙.๐๐ - ๑๒.oo น.

ณ ห้อง F๔๐๑  ชั้น ๔ อาคาร ๖๐ ปี  (ตรงข้ามคณะรัฐศาสตร์)มหาวิทยา ลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  สมาคมนักข่าว วิทยุและโทรทัศน์ไทย

สถาบันอิศ รา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย  คณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และโครงการ ศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม

 

เวลา o๙.oo – o๙.๓o น.        ลงทะเบียน

เวลา o๙.๓o –o๙.๓๕ น.         กล่าวแนะนำโครงการ

เวลา o๙.๓๕ –๑o.oo  น.        เสนอผลการศึกษา “ปราก ฎการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ (ศึกษา Socail media)”   ของ โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม

เวลา ๑o.oo – ๑๑.๔๕ น.        เสวนา “สื่อในวิกฤติการเมือง : สะท้อนปรากฎการณ์หรือแสวงหา ทางออก”

 

วิทยากร

 

  • คุณภัทระ   คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว  หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์
  • ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ดร. มานะ  ตรีรยาภิวัฒน์ คณะ นิเทศศาสตร์  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • ดร.อัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเนคเทค (NECTEC Academy)

 

ผู้ดำเนิน รายการ

  • ดร.ณัฏฐา  โกมลวาทิน พิธีกร สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย

เวลา ๑๑.๔๕ – ๑๒.oo น.        แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

//////////////////////////////////////////////////////////////

วันที่ 3 มิ.ย. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับโครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (มีเดีย มอนิเตอร์) ร่วมจัดประชุมเครือข่ายนักวิชาการและนักชาชีพสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/ 2553 วาระ “สื่อในวิกฤตการเมือง สะท้อนปรากฏการณ์ หรือแสวงหาทางออก" โดยมีนักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการเข้าร่วม อาทิ นายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์, ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, ดร.อัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเนคเทค

โดยก่อนที่จะมีการเสวนา นายธาม เชื้อสถาปนาศิริ จากมีเดีย มอนิเตอร์ ได้เสนอผลการศึกษา เรื่อง ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งได้ศึกษาตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. – 30 มี.ค. ในการสื่อสาร 4 ช่องทาง คือ เวปเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์ เวปบอร์ดพันทิป และ การใช้ฟอร์เวิร์ดเมล์ โดยผลการศึกษาพบว่ามีการใช้พื้นที่ออนไลน์เพื่อการสื่อสารทางการเมืองในระดับกว้าง คึกคัก และเข้มข้น แต่ค่อนข้างไปในลักษณะที่สร้างความแตกแยกมากกว่าการสร้างความสมานฉันท์ คือ

  1. ในเวปเฟซบุ๊ค พบว่ามี 1,300 เวปไซต์ แบ่งออกเป็น 19 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์ทั้งการสนับสนุน การต่อต้านรัฐบาล-คนเสื้อแดง กลุ่มสันติวิธี กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ หรือกลุ่มล้อเลียนทางการเมือง ซึ่งในจำนวน 1,300 เวปไซต์ นั้น พบว่ามีเวปที่ต่อต้านการชุมนุม, สนับสนุนรัฐบาลไม่ให้ยุบสภาอยู่ในระดับที่สูงกว่าการสนับสนุนเสื้อแดง สำหรับเนื้อหา ร้อยละ 90 พบว่า เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นเพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองต่อการชุมนุม ทั้งการต่อต้านการกระทำ และไม่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้มีบางส่วนที่ใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สอดแนม เฝ้าระวัง นอกจากนั้นยังใช้พื้นที่เพื่อแจ้งข่าวสารไปยังสมาชิก เพื่อรู้ เพื่อประจาณ ประณามและขอให้ช่วยกันลงโทษทางสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อในอีเมล์, เว็บบอร์ด เพื่อให้รับรู้ในที่สาธารณะ ซึ่งมีกรณีที่นำไปสู่การจับกุม ไล่ออกจากสถานที่ทำงาน
  2. ทวิตเตอร์ พบว่า มีความโดดเด่นในการใช้งานเพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเกาะติด ต่อเนื่อง โดยมีนักข่าว ผู้สื่อข่าวเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลในข่าวสารมากกว่ากลุ่มอื่นๆ  สื่อกระแสหลักได้นำพื้นที่ทวิตเตอร์เป็นช่องทางเลือกในการสื่อสาร
  3. เวปบอร์ดสาธารณะในเวปไซต์พันทิป ห้องราชดำเนิน ในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง พบว่ามีการตั้งกระทู้มากกว่า 7,000 กระทู้  คนที่ตั้งกระทู้รวมถึงแสดงความเห็น พบว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล, สนับสนุนคนเสื้อแดง อย่างชัดเจน และใช้พื้นที่แสดงความคิดการเมือง, ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามความขัดแย้งทางการเมืองหลายๆ กรณี ทั้งนี้ได้เชื่อมโยงข้อมูล, ระดมข้อมูลข่าวจากพลเมืองเน็ตจำนวนมาก  ส่วนใหญ่เป็นกระทู้ที่ไม่สร้างสรรค์ สำหรับการแสดงความเห็นในพื้นที่ดังกล่าว มีทั้งช่วยเสริมสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจ และบางพื้นที่ กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างดุดัน แบ่งฝ่าย และสะท้อนความเกลียดชัง ผ่านภาษาเชิงเหยียดหยาม ประณาม
  4. การใช้ฟอร์เวิร์ดเมล์ทางการเมือง ช่วงที่มีการศึกษา ฟอร์เวิร์ดเมล์ แบ่งออกเป็นหลายๆ กลุ่ม คือ ทั้งเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริง, กลุ่มรัก และชื่นชมสถาบัน, กลุ่มตลก ล้อเลียนทางการเมือง เป็นการสื่อสารให้ข้อมูลทางการเมืองในลักษณะชี้แจง แฉ และวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ของคนเสื้อแดง, พฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในพฤติกรรมตีตนเสมอเจ้า หรือการกระทำที่คิดล้มล้างสถาบัน, คดีคอรัปชั่นในอดีต รวมถึงเบื้องหลังความรุนแรงของการชุมนุมคนเสื้อแดง, กลุ่มบุคคล,องค์กร, สื่อเวปไซต์ ที่เผยแพร่ความคิดล้มล้างสถาบัน

“การสื่อสารออนไลน์ จากการศึกษาพบว่าเป็นการสร้างความแตกแยกทางการเมือง มากกว่าการสร้างความสมานฉันท์" เห็นได้จาก

  1. ก่อนการเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ คุณต้องเลือกข้างทันที ว่า ไม่เอาเสื้อแดง สนับสนุนเสื้อแดง เป็นต้น
  2. ในการแสดงความเห็นเป็นในลักษณะการโต้แย้ง โต้เถียงอย่างดุเดือด
  3. มีพฤติกรรมการสอดแนม เฝ้าระวังฝ่ายตรงกันข้าม
  4. มีการประณาม แฉ และชักชวนให้กีดกันทางสังคม และ
  5. สร้างความเกลียดชัง และปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน

นอกจากนี้ มีเดีย มอนิเตอร์ ได้เสนอแนะว่า สำหรับผู้ที่เข้าไปเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ รวมถึงสื่อมวลชน ต้อง คำนึงถึง...

  1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ที่อาจจะมีการนำข้อคิดเห็นผสมกับข้อเท็จจริง
  2. ความรวดเร็วของข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่โพสต์นั้นมีอาจจะยังไม่มีการตรวจสอบ
  3. ข้อความที่เผยแพร่อาจจะเป็นข้อความที่ไปละเมิดส่วนบุคคล หรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
  4. การแสดงความคิดเห็นบนพื้นที่สาธารณะ ที่อาจะนำเสนอทัศนคติที่เกลียดชัง สร้างความแบ่งแยก เกลียดชัง
  5. การรับ ส่ง สร้าง เผยแพร่ข้อความต่อ ต้องใช้วิจารณญาณในการรับรู้ ส่วนการส่งต่อต้องไม่ส่งต่อข้อความมีที่ไม่เหมาะสม
  6. ต้องตระหนักว่าสื่อออนไลน์ เต็มไปด้วยข้อมูลที่หลากหลาย ไร้การควบคุม ดังนั้นข้อความอาจจะเป็นการปลุกเร้าอคติ การเกลียดชัง การความรุนแรง และ
  7. เจ้าของสื่อ รวมถึงผู้ที่โพสต์ข้อความต้องตระหนึกในบทบาทของสื่อ ด้านการสร้างเสริมคุณภาพของความรู้ ความคิดเห็นเสรีที่หลากหลาย และการส่งเสริมการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง

จากนั้น ดร.ณัฏฐา โกมลวาทิน พิธีกรสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการได้เชิญวิทยากร ขึ้นเวทีเพื่อเสวนา ตามหัวข้อ สื่อในวิกฤตการเมือง : สะท้อนปรากฎการณ์หรือแสวงหาทางออก

คุณภัทระ  คำพิทักษ์ บรรณาธิการข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ เริ่มต้นเสวนาว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ของบ้านเมืองที่มีความยากลำบาก เพราะหลังจากที่ทะเลาะกันบนถนนแล้ว ก็มาทะเลาะกันบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี หน้าปัดวิทยุ และคอมพิวเตอร์ ผมอยากเริ่มว่างานนี้เปรียบเสมือนการส่องกระจกให้เห็นภาพของตัวเอง เพื่อแก้ไขปัญหา

ผมมองว่า ปฐมเหตุที่ทำให้เกิดภาพอย่างปัจจุบัน คือ โครงสร้างของสื่อใหม่ ทำให้เกิดการหลั่งไหลของทัศนคติและข้อมูล และทำให้เกิดผลกระทบหลายด้าย เช่น

  1. ทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ โดยลืมนึกไปว่าการที่จะเป็นสื่อมวลชนได้นั้น ต้องประกอบด้วย 2 ขา คือ ขาเสรีภาพ และขาของความรับผิดชอบ ซึ่งทั้ง 2 ขาต้องก้าว แต่ในสื่อออนไลน์ มีแต่ขาเสรีภาพเป็นตัวนำ เพราะด้วยความไว รัฐไม่สามารถจำกัดได้ ไม่มีกฎหมายใดมาควบคุม จึงไม่แปลกที่เวปไซต์ประชาไท เป็นผู้ที่ถูกกระทำ แม้จะมีการเรียกร้องเรื่องของเสรีภาพ แต่ในวงการนักวิชาการกลับมองว่าไม่มีน้ำหนัก
  2. เรื่องความรู้ความสามารถ สื่อใหม่ถือว่ายังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้มากนั้น ดังนั้นการนำเสนอข้อมูล จึงเป็นลักษณะที่เรียกว่าปนกันระหว่างความรู้และความเห็น
  3. เรื่องกรอบความคิดไม่ชัดเจน  อยากเขียนอะไรก็เขียน โดยไม่รับผิดชอบ ซึ่งต่างจากอดีต เพราะว่าที่นักข่าวจะเขียนหนังสือได้ ต้องอาศัยประสบการณ์ และระยะเวลาในการสั่งสม ดังนั้นการสร้างบุคลากรในสื่อใหม่จึงแตกต่างจากสื่อยุคเก่า

“ระยะที่ผ่านมาสื่อมวลชนไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้การจัดการสื่อมีปัญหา การขยายตัวไม่ทันตามโครงสร้างสังคมทำให้เป็นปัญหา ผมเคยตั้งคำถามไว้ว่า ในศูนย์ราชการ ที่แจ้งวัฒนะ มีนักข่าวประจำอยู่กี่คน เพราะในศูนย์ราชการนั้นเป็นที่ตั้งของหลายหน่วยงาน หรือขณะที่ประเทศไทยเปิดพรมแดนเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน  อย่างประเทศลาว โครงสร้างนักข่าวเราเปลี่ยนไปตามนั้นหรือไม่ หากการปรับปรุงโครงสร้างของราชการสื่อยังตามไม่ทัน อาจทำให้เกิดปัญหาได้ หรือการนิยามความเป็นสื่อ ผมว่ายังมีความสับสน เช่น ตอนที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกยิง สมาคมนักข่าวฯ ก็เอากระเช้าไปเยี่ยมเพราะมองว่าสื่อถูกคุกคาม จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำถูกต้องหรือไม่ และเพราะคุณสนธิ ได้ออกไปมีบทบาททางการเมืองแล้ว”

ภัทระ กล่าวอีกว่า สำหรับความน่าเชื่อถือรวมถึงการควบคุมกันเอง ผมว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากเราเชื่อว่าว่าการควบคุมโดยรัฐ โดยกฎหมาย เป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจ แต่สภาพเป็นจริงของสังคมที่เปลี่ยนไป สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ก็ไม่สามารถคุมได้ทุกสื่อ ทำให้กลายเป็นช่องว่างที่สื่อที่อยู่นอกการควบคุมใช้เสรีไปการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น  ส่วนการจัดการของสำนึกคนเป็นสื่อวลชน ฐานะที่เป็นปัจเจกชน ในบางครั้งนักข่าวก็ตกเป็นข่าวซะเอง ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่โหดร้าย เดชะบุญ ที่นักข่าวมีจิตสำนึกที่รอบคอบ จึงไม่เกิดอันตราย แต่หากเป็นผู้ที่ไม่มีวุฒิภาวะ อาจจะได้รับอันตรายได้มาก

“ความเป็นสื่อจะน้อยลง หากไม่บูรณการ การเชื่อมโยงความคิด ไม่นำข้อมูลมาประกอบ  เช่น ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม การรายงานข่าวโดยส่งนักข่าวลงในพื้นที่ นักข่าวก็รายงานว่ามีคนตาย ใครยิงใคร ผมจึงตั้งคำถามกับทีมว่า ผมไม่ต้องการข่าวแบบนี้ หากให้นักข่าวลงสนามแล้วไปชะโงกดูว่าใครยิงใคร ผมไม่ต้องการ  แต่สิ่งที่ต้องการคือ เขามารวมกลุ่มตรงนี้ได้อย่างไร มาด้วยองค์ประกอบใด หรือใครมาจัดตั้ง เช่น ที่เวทีที่คลองเตย เห็นนักการเมืองพื้นที่เข้ามา เห็นการเชื่อมโยงของผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งหากมีการเชื่อมโยงก็จะเข้าใจ ส่วนคนที่มาชุมนุม เขาบอกว่าเขามาเรียกร้องเรื่องความทุกข์ยาก แต่เสธฯแดง บอกไว้ว่า ในจำนวนผู้ชุมนุมมีผีขนุนอยู่ 3,000 คน นั่นเป็นผู้เดือดร้อนจริงๆ สำหรับองค์กรชาวบ้านที่มาชุมนุมแล้วถอนตัวไป เป็นเพราะอะไร ต้องเข้าใจ  หากเราไม่เห็น หรือไม่เข้าใจก็จะพูดกุมๆ ว่า เดี๋ยวก็ต้องมีการฆ่ากันอีกรอบ คำถามที่มีคือจะลุกมาฆ่ากันเพื่ออะไร ต่อสู้เพื่ออะไร เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออก ให้คุณทักษิณกลับมา หรือแก้ไขปัญหาสองมาตรฐาน หรือแก้ไขปัญหาความยากจน การเข้าไปพื้นที่ เพื่อให้รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นทหารมาจากพลไหน ใครบังคับบัญชา มีหน่วยแม่นปืนไหม รู้แล้วก็สามารถตรวจสอบได้ รู้ว่าใครต้องรับผิดชอบ”

บก.โพสต์ทูเดย์ กล่าวอีกว่า ผมว่าการเข้าถึงแหล่งข่าวจำเป็นมาก ช่วงเดือนพฤษภาคม มีสื่อมวลชนเท่าไรที่เข้าถึงเสื้อแดง นักข่าวที่เฝ้าแกนนำเสื้อแดง มีกี่คนที่ได้คุยกับแกนนำและเข้าใจเขาจริงๆ ผมว่าน้อยมาก ซึ่งโพสต์ทูเดย์ เราพยายามสัมภาษณ์ให้พื้นที่เขา แล้วจะพบว่าคนอย่างอริสมันต์ ที่ถูกมองว่าเป็นแกนนำกลุ่มฮาร์ดคอร์ ก็เป็นแฟมิลี่แมน เพราะก่อนเริ่มต้นสนทนา เขาเปิดรูปลูกสาวให้ดู ดังนั้นต้องเข้าไปคุยคุยเพื่อให้รู้ว่าในสมอง และหัวใจว่าเขาคิดอะไร  แกนนำ และมวลชนคนเสื้อแดงคิดอย่างไร ต้องมองอย่างละเอียด อย่างที่ผ่านมาผมว่านักข่าวภาคสนามเขาไม่มีคำถามที่ว่าคุณวีระ หายไปไหนแต่มันเป็นคำถามที่เกิดจากนักข่าวภายนอก ส่วนภาวะอึมครึมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ ไม่ว่าใครก็ตัดสินใจไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลตัดสินใจอย่างไร เพราะนักข่าวไม่มีใครไปถามนักการเมือง เพราะนักการเมืองเก็บตัว หรือจะถามใครไม่มีใครบอก พอนักการเมืองออกมาพูดที ก็ไม่มีคนเชื่อ  การเข้าถึงแหล่งข่าวทั้งฝ่ายเสื้อแดง และรัฐบาล มันเป็นเรื่องที่ยาก แต่ โดยพื้นฐานโดยวิชาชีพ ต้องเข้าหาแหล่งข่าวมากที่สุด แม้ว่าจะยาก

สำหรับบทบาทของสื่อ “ภัทระ” บอกเอาไว้ว่า หากบทบาทของสื่อไม่ชัดเจน ผมว่าสุ่มเสี่ยง ที่จะตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งและเข้าไปอยู่ในวงความขัดแย้ง ภาพที่พูดเป็นภาพย่อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ยกตัวอย่าง วันที่มีเหตุเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของกทม. ไม่กล้าเข้าไปดับไฟ เพราะกลัวถูกยิง ผมมองว่าหากเจ้าหน้าที่ไม่เข้า หรือไม่ทำหน้าที่ ประเทศนี้ก็แย่ไปหมด และหากต่างคนต่างทำหน้าที่ โดยไม่ไปชี้หน้าว่าคนนี้เป็นแม่มดแล้วออกตามล่า แต่ต้องเป็นการทำหน้าที่เต็มที่ให้เต็มที่ ด้วยความรับผิดชอบ

“ผมเห็นด้วยที่สมาคมสื่อฯ ต้องเป็นผู้นำในการปฏิรูปสื่ออย่างครบวงจร แต่ต้องทำด้วยฉันทามติของสังคม ว่าจะเอาอย่างไรก็คนที่เป็นสื่อ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรง ปัจจุบันผมว่ามีคนที่เอาตัวรอดไปได้เป็นหย่อมๆ เราเห็นประชาชนที่เอาตัวรอดในสังคมได้ โดยละการพึ่งพาบุคคลอื่น ในวงการสื่อก็เช่นกัน ความเป็นองค์กรหมดความหมายไปมาก เพราะมันแต่วิ่งเข้าหาสื่อใหม่ แต่ผมว่าผมต้องการกัลยาณมิตร แทนที่จะหาเพื่อนใหม่  เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นกัลยณมิตรและชื่อมต่อกัน ถือว่าเป็นเรือโนอาร์ได้เลย หากคนเหล่านี้ที่ขับเคลื่อนด้วยวิชาชีพ ด้วยธรรมมะ จะเป็นพลัง ที่คล้ายๆ กับการช่วยประกอบเรือโนอาร์ ขึ้น และพากันไปให้รอด เพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่” ภัทระ สรุปในตอนท้าย

ดร.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าฐานะผู้ทำวิจัยเรื่องของการสื่อสารการเมืองในบริบทการเปลี่ยนแปลงในชนบท พบว่าในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ทำให้ล้มทฤษฎีคนชนบทตั้งรัฐบาล คนเมืองล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากว่าคนชนบท ในฐานะคนที่อาศัยฐานการจ้างงานในชนบท เขาคาดหวังว่ารัฐ ต้องตอบสนองเขาให้ได้มากกว่านี้ ส่วนในเรื่องของการเมืองแนวคิดที่ว่าหากการเมืองในระบบปกติทำไม่ได้ ก็ใช้การเมืองบนถนนมีมากขึ้น ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการเปิดรับสื่อ และในปัจจุบันคนชนบทเลือกรับสื่อทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น เห็นได้จากการติดจานดาวเทียมที่เป็นสื่อการเมือง เช่น ดาวเทียมพีทีวี ดาวเทียมเอเอสทีวี ทำให้สื่อกระแสหลักที่กลางๆ มองว่าทำไมคนเลือกอ่านน้อย แต่เป็นเพราะว่าเขาเชียร์ข้างไหน เขาก็จะเลือกอ่านสื่อตามกระแสนั้นๆ  ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการสร้างความแตกแยก แต่เป็นการสร้างลักษณะ ทั้งนี้สื่อกระแสหลักต้องตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า ทำไมไม่เป็นฝ่ายที่ถูกเลือก หรือพูดถึงน้อยหลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าไม่ค่อยแยกข้อมูลออกจากความเห็น ดังนั้นเมื่อสื่อที่เขาติดตามถูกปิดกั้น ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกว่าทำไมต้องปิดกั้นสิ่งที่เขาเลือก

“ทุกวันนี้เราจึงเห็นภาพของการปิดสื่อมากกว่าการนำกฎหมายหมิ่นประมาทมาใช้  และที่สำคัญ การนำเสนอข่าวบางครั้งทำให้รู้สึกว่าคู่กรณีมีความเป็นมนุษย์น้อยลงกว่าคุณ สะท้อนภาพได้จากช่วงการชุมนุมทางการเมือง เมื่อคนเราคิดว่าคู่ตรงข้ามมีความเป็นคนน้อยกว่าเลยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการอารยชนกับคนๆ นั้นหรือไม่ ซึ่งความคิดดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากกับบุคคล ดังนั้นสื่อต้องมีบรรทัดฐานที่ไม่เอาสิ่งที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไปกระทบกับการศึกษาของบุคคลที่ไม่อยู่ข้างเดียวกัน”

ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า ทางออกของสื่อปัจจุบันคือ ต้องมีการติดตามข่าวให้หลากหลายด้าน  เช่น คนเสื้อแดงที่กลับบ้านไปแล้วเขาเป็นอย่างไร เพราะหากสื่อคิดจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นแล้ว ต้องทำให้คนรายย่อยๆ นั้นรู้ว่าเสียงของเขาได้รับการฟัง ส่วนหลักการทำงานของสื่อในภาวะวิกฤตทางการเมือง ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นแล้วว่า สื่อกำลังเมาหมัด คือสะท้อนปรากฎการณ์มากกว่าการแสวงหาทางออก มีแต่การนำเสนอปรากฎการณ์ สัมภาษณ์ได้ข้อมูลมาแล้วแต่ไม่รู้จะเลือกอย่างไร เพราะข้อมูลดูเหมือนจริงทุกเรื่อง ดังนั้นการกลั่นกรองเป็นสิ่งจำเป็น และหากต้องนำพื้นที่สาธารณะมาใช้ ต้องมีหลักการ คือ ต้องเป็นข้อมูลข้อเท็จจริง ไม่ใช้มาจากความเห็น, ค่านิยมพื้นฐานทั่วไป และต้องนำไปสู่การสร้างสิ่งที่เรียกว่าฉันทามติ คือทำให้คนอยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีความแตกต่าง เพราะสังคมประชาธิปไตย สอนไว้ว่าให้ต้องยอมรับคนแตกต่างให้มีพื้นที่ที่ยืนอยู่ได้ ซึ่งสื่อเป็นตัวสำคัญอย่างมาก

“ส่วนนักวิชาการ เป็นสิ่งที่ต้องกลับมามองและย้อนทบทวนแก้ไขตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาก่อนความขัดแย้งจะเริ่มขึ้น ไม่มีใครที่กล้าวิจารณ์สายเหยี่ยวในแต่ละข้าง เพราะมัวแต่คิดว่าพูดไปจะสร้างความเสียหาย  ส่วนประเด็นที่สังคมกำลังลืมคือ สังคมจะอยู่ได้ หรือ ไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบังคับ แต่อยู่ที่ความสมัครใจ ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าปัจจุบันความรุนแรงสามารถขยายได้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งประเด็นพวกนี้ไม่ค่อยมีใครคิด และปล่อยให้เกิดขึ้น จะกลับมาซ่อมอีกครั้ง ก็ซ่อมยากแล้ว ในฐานะที่อาจารย์เป็นพวกสันติวิธี คงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่าสันติวิธี หากไม่ได้ทำอะไร เพราะขณะนี้ความรุนแรงกลายเป็นความรุนแรงทางวัฒนธรรมไปแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนหลังจากที่เกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งที่ผ่านมา” ดร.นฤมล สรุปทิ้งท้าย

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าผมว่าสื่อที่เสนอวิกฤตการเมือง กำลังทำภาพให้เหมือนกับการแสดงละคร คือ แบ่งเป็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย มีการจัดแบ่งที่ชัดเจนมาก รวมถึงการนำเสนอที่เพื่อผลักภาระไปให้คนชม เพราะสื่อเลือกนำเสนอข่าวลักษณะ 2 ด้าน คือไม่ดำ ก็ขาว ไม่เหลือง ก็แดง ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจที่คนรุ่นใหม่ เช่น นักศึกษาที่ผมสอน แสดงอารมณ์ชัดเจน เลือกข้างอย่างแน่นอน โดยการสะท้อนในสื่อออนไลน์เช่น เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ โดยไม่ได้พิจารณาระหว่างข้อมูลข้อเท็จจริง อารมณ์ และเหตุผล วัยรุ่นสมัยนี้จึงแสดงอารมณ์ตามความคิดและความเชื่อ และโดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อความเป็นกลางของสื่อ หากสื่อเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงก็พอยอมรับได้ แต่หากให้ข้อมูลบิดเบือนผิดพลาดกระตุ้นให้เกิดการฆ่า การเกิดสงคราม นั่นเป็นการล้ำเส้น ผมยอมรับไม่ได้

“เมื่อข่าวเป็นการการนำเสนอเชิงละคร ซึ่งสะท้อนออกมามากในเรื่องของแหล่งข่าว ที่ไม่หลากหลาย กลุ่มคนแบบเดิมๆ ไม่มีการใช้มุมมองที่เปิดกว้าง  ถ้าหากสื่อใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ในการค้าหาข้อมูล นอกเหนือไปจากนักวิชาการหน้าเดิมๆ ผมว่าจะเป็นการนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันพื้นที่ของสื่อออนไลน์ เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วง หากองค์กรวิชาชีพสื่อไม่ให้ความสำคัญ กับจริยธรรมของสื่อยุคดิจิตอล อาจจะทำให้เกิดปัญหา เพราะอย่าลืมว่าความเร็วของเทคโนโลยี ก็เป็นดาบสองคมได้ คือ สื่อสารได้เร็ว แต่หากเป็นข้อมูลที่ผิด เสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นความเห็นเกลียดชัง มันก็เผยแพร่ไปได้เร็วเช่นกัน “

ดร.มานะ กล่าวอีกว่า ผมว่าทางออกของปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ คือ ผู้ใช้ทั่วๆ ไป จำเป็นต้องเรียนรู้วางรากฐานกันเอง สร้างจริยธรรมของคนใช้ควบคุมด้วยกันเอง  หลังจากเกิดวิกฤต คนในสังคมออนไลน์ก็พูดคุยกันเยอะขึ้น ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่จะมีการพูดคุยกันให้มากขึ้น สื่อมวลชนน่าจะมีการสะท้อนภาพ ส่วนการปฏิรูปสื่อผมว่าต้องเกิดจากคนทุกคน พวกเราทุกคนฐานะปัจเจกชนต้องลุกขึ้นมาตรวจสอบสื่อและสื่อต้องตรวจสอบตัวเอง และในวิกฤตที่ผ่านมาผมมองว่าต้องพลิกให้เป็นโอกาสคือให้ผู้ใช้กำหนดกฎ ระเบียบ ด้วยตัวเองและสร้างสิ่งที่ดีงาน แทนที่จะให้รัฐเป็นผู้มากำหนด

ดร.อัจฉริยา อักษรอินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเนคเทค กล่าวว่าฐานะนักเทคโลยีและ นักเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางสังคม เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า  ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เป็นสื่อสารสาธารณะ มากกว่าเป็นสื่อส่วนตัว เพราะในหลายประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าองค์กรทางสังคมสามารถใช้เอาผิดกับบุคคลได้ และทำให้เราเห็นกันได้โปร่งใสมากยิ่งขึ้น  อาจารย์เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เชื่อในอัจฉริยภาพของคน ในเนื้อหาระบุว่าอัจฉริยภาพของคนเกิดได้ คือ ต้องมีความหลากหลายของคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย , ความคิดเห็นของคนทุกคนต้องเป็นอิสระไม่ถูกโน้มน้าวไปทางใดทางหนึ่ง ขณะที่ปิดกั้นในอีกหลายๆ ทาง, ต้องกระจายอำนาจจากส่วนกลาง ไม่มีกลุ่มคนที่จะจูงความคิดเห็นของคนไปในทางเดียวกัน ไม่รวมศูนย์อำนาจ และ การตกผลึกทางความคิดแบบฉันทามติ  ส่วนการลดอัจฉริยภาพในตัวเองก็เช่นกัน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการสร้างอัจฉริยภาพ คือ  หากไม่มีความหลากหลายทางสังคม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก็จะลดลง ก็จะกลายเป็นคนสีเดียวกัน เช่นคนที่มาชุมนุมก็จะไม่มีความหลากหลาย ไม่มีความยุติธรรมเกิดขึ้นในกลุ่มคนดังกล่าว , ถ้าคนกลุ่มเล็กๆ รวมศูนย์อำนาจทางความคิด คนกลุ่มอื่นไม่มีโอกาสได้รับการแตกยอดทางความคิด อัจฉริยภาพทางความคิดก็จะหายไป, มีการแบ่งแยกความคิด ทำให้ได้ภาพไม่เหมือนกัน การแบ่งแยกความคิดแบ่งเป็นห้วงๆ , การเลียนแบบ การว่าตามกัน, ชี้นำความคิดด้วยอารมณ์ ความรู้สึก หยิบจุดอ่อนของอารมณ์คนนำมาพูด

“ในการชุมนุมใดก็ตามแค่ 2 ใน 5 การนำพาฝูงชนไม่เกิดอัจฉริยภาพ เป็นการว่าตามกัน หรือเฮไหนเฮนั่น  สำหรับสื่อออนไลน์ถ้าไม่ลองจะไม่รู้ ไม่คลุกก็ไม่รู้รสชาติ ซึ่งคนที่เข้าไปต้องมีธรรมะ อย่างตอนที่อาจารย์เรียนขับรถ มือไม้สั่นไปหมด ผู้สอนก็บอกว่าหากคิดว่าพร้อมแล้ว จะ ชน จะเฉี่ยว ก็ต้องชน ต้องเฉี่ยว เพื่อให้เราเกิดการเติบโต และเรียนรู้ไประหว่างทาง สื่อออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อใช้ก็จะเกิดการเรียนรู้ และใช้อย่างเท่าทัน แต่ถ้ารู้ว่าไม่พร้อมก็อย่าไปยุ่ง ดูอยู่ข้างนอก อาจารย์ชอบดูหนังฝรั่ง ตอนท้ายที่ตำรวจจับผู้ต้องหาได้มีคำพูดหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นมิรันดาไรท์ คือ  “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด ไม่โวยวาย เพราะคำพูด คำโวยวาย และข้อเขียนของคุณ สามารถนำไปปรักปรำคุณในชั้นศาลได้” ดร.อัจฉริยา ให้ข้อคิดทิ้งท้ายก่อนจบการเสวนา