“ 3 รหัสร้อน อาฟเตอร์ช็อกการเมือง!!” ​


​“ความจริงสถานการณ์การเมืองเริ่มอุ่น มาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่นายทักษิณ ขออนุญาตศาลเดินทางไปต่างประเทศ พอมาเข้าสู่เดือนสิงหาคม จะมีคดีสำคัญต่างๆสื่อจากประเด็นรหัสร้อน ในช่วงเดือนสิงหาคม คือ 7/14/31 นี่คือรหัสร้อนทางการเมืองล่าสุด”

“มนตรี จอมพันธ์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีต บก.ข่าวการเมือง” วิเคราะห์ “สถานการณ์การเมืองไทยที่ต้องจับตา” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า“3 ปมใหญ่ ทำการเมืองสิงหาคมร้อน”“ความจริงสถานการณ์การเมืองเริ่มอุ่น มาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ทักษิณ ขออนุญาตศาลเดินทางไปต่างประเทศ พอมาเข้าสู่เดือนสิงหาคม จะมีคดีสำคัญต่างๆสื่อจากประเด็นรหัสร้อน ในช่วงเดือนสิงหาคม คือ 7/14/31 นี่คือรหัสร้อนทางการเมืองล่าสุด”

​วันที่ 7 คือ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตายุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ กรณีหาเสียงแก้มาตรา 112 และวันที่ 14 ศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณี 40 สว.ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และวันที่ 31 ซึ่งกรมราชทัณฑ์ กำหนดวันพ้นโทษของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังอยู่ในการควบคุมของกรมคุมประพฤติ

“ปมแรกก้าวไกล เดินหาสู้เต็มสูบทั้งในปท.-ตปท. ปม ยุบพรรค”
​มนตรี กล่าวว่า ประเด็นแรก กรณีพรรคก้าวไกล จะเห็นได้ว่าก้าวไกลสู้เต็มที่ทั้งในศาลและนอกศาล แม้กระทั่งด้านต่างประเทศ มีข่าวว่าไปพบปะพูดคุย กับทูต EU 18 ประเทศ อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นอดีตผู้พิพากษาเก่า ได้วิเคราะห์ถึงผลของคดีในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ว่า นอกจากจะมองในแง่มิติข้อต่อสู้ทางกฎหมายแล้ว ยังโยงไปถึงเรื่องที่ประเทศไทย จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน แห่งองค์การสหประชาชาติ รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นเจ้าภาพประชุมศาลรัฐธรรมนูญโลก ที่ประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน จึงถูกโยงไปอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 สิงหาคมด้วย

กระแสแรง บางพรรคจ้องช้อนซื้อ“งูเห่าสีส้ม”
​มนตรี ระบุว่า แม้ว่าศาลยังไม่ตัดสินแต่อีกด้านหนึ่งปรากฏข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลจ้องที่จะช้อนซื้อ“งูเห่าสีส้ม”สังคมจึงมองว่าจะมีกี่ฉากทัศน์อย่างไร กรณีพรรคก้าวไกล แต่ค่อนข้างไปทางไม่รอด ซึ่งเป็นประเด็นที่ก้าวไกลตระหนักเป็นอย่างดี ซึ่งการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันพฤหัสบดี ( 1 ส.ค.67) ที่ผ่านมา จะเห็นว่าสส.ก้าวไกลบางคนที่ลุกขึ้นอภิปราย พูดในทำนองว่าอาจจะเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้าย

“ก้าวไกลเตรียมหาบ้านใหม่”
​มนตรี วิเคราะห์ว่า มีความเคลื่อนไหวในพรรคก้าวไกล ที่เตรียมจะหาบ้านหลังใหม่เป็นจุดพักคอย โดยจะตั้งต้นที่ “พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล” ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เช่นเดียวกับตัวบุคคลที่จะนำทัพคนใหม่ก็มีการเอ่ยถึงชื่อ “ศิริกัญญา ตันสกุล” หลายสัปดาห์แล้ว เพราะฉะนั้นด้านหนึ่งสู้เต็มที่ แต่อีกด้านหนึ่งหากมองตามกระแสสังคมก็มีแนวโน้มว่าจะไม่รอด ซึ่งหากโชคดี พรรคก้าวไกลรอดจากการถูกยุบพรรค ทุกอย่างก็ขับเคลื่อนต่อไป นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคและ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยังคงเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

“ชะตาก้าวไกลไม่ต่างจากอนาคตใหม่-ตั้งเป้ากวาดสส. 300 เสียงสมัยหน้า”
​มนตรี มองว่า ประเด็นพรรคก้าวไกลไม่แตกต่าง จากพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบ เพราะมีมิติอื่นนอกเหนือจากมิติของกฎหมายล้วนๆ ที่ซ้อนทับอยู่ด้วย ฉะนั้นหากพรรคก้าวไกลโชคดี ก็เท่ากับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต ที่ประกาศว่าการเลือกตั้งสมัยหน้า จะเพิ่มจำนวนสส.จาก 151 เสียงเป็น 300 เสียง ซึ่งแน่นอนว่าพรรคก้าวไกลเป็นคู่ต่อสู้ แข่งขันกันทางการเมืองที่น่ากลัว ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม

“หากไร้ปาฏิหาริย์ สมาชิกแถวถัดไปขึ้นแท่นแทน”
​มนตรี อธิบายว่า หากไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล ก็ต้องไปสร้างพรรคใหม่ตามวิถีทางการเมือง ที่ไม่ได้แตกต่างจากพรรคอนาคตใหม่ จะต่างกันตรงที่จากแถว 1 มาแถว 2 และมาส่งอีกแถว 1 จะทำให้บุคลากรของพรรคการเมือง ที่ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม จะต้องมาสร้างบุคลากรกันใหม่ ไม่แน่ใจว่าเวลาของสภาชุดนี้ จะสั้นจะยาวอย่างไร ถ้าอยู่ถึง 3 ปีเต็มก็น่าจะยังพอมีโอกาส ในการเตรียมบุคลากรจัดทัพใหม่ ซึ่งศิริกัญญาก็คงจะต้องเข้ามารับไม้ต่อในฐานะแม่ทัพ แต่ไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งคราวหน้า จะไปถึง 300 เสียงตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เพราะไม่สามารถประเมินได้ว่า การที่ศิริกัญญาเข้ามาทำหน้าแม่ทัพ กระแสพรรคจะเป็นขาขึ้น เหมือนตอนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รับไม้ต่อมาจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือไม่ ซึ่งกลุ่มที่จะมาทำงานการเมืองต่อจากนี้ คงต้องพิสูจน์ตัวเอง และจำนวนสส.ของพรรคตก้าวไกลเวลานี้ 151 เสียงก็จะเหลือเพียง 144 เสียง เนื่องจากจะมีกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ 7 คน

“หากถูกยุบก็สิ้นสภาพ”
​มนตรี กล่าวว่า แม้ไม่เป็นปัญหากับการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน เว้นแต่จะเป็นไปตามข่าว คือ บางพรรคจ้องจะช้อนซื้อแบบเหมาเข่งยกพรรค หากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นปัญหา เหมือนกับพรรคอนาคตใหม่เวลานั้น ซึ่งเมื่อสิ้นสภาพ ทุกอย่างที่เป็นของพรรคที่ถูกยุบก็จะสิ้นสภาพไปด้วย ยกเว้นสส.ที่จะหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน ขณะที่เก้าอี้ที่ว่างของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก รองประธานสภาผู้แทนราษฏร หากพรรคก้าวไกลถูกยุบก็จะต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย และต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งไม่รู้ว่าพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ตกลงกันได้หรือยังว่าจะให้ใครมาดำรงตำแหน่ง ในพรรคก้าวไกลนาทีนี้ เตรียมการที่จะไปรักษาที่นั่งสส.เขต 1 พิษณุโลกไว้แล้ว

“เชื่อเศรษฐารอดคดี เหตุต่างจากก้าวไกล”
​ประเด็นที่ 2 คดีของนายเศรษฐา ในวันที่ 14 สิงหาคม มนตรี วิเคราะห์ว่า มีแนวโน้มที่จะรอด เนื่องจากความแตกต่างระหว่างคดีของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆด้วย แต่อย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญ เป็นศาลที่มีองค์ประกอบ ทางด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ และที่สำคัญคดีนี้เป็นคดีการเมือง หากย้อนกลับไปดูคดีต่างๆในอดีต ที่เป็นคดีการเมืองและผลที่ออกมา ก็พอจะอธิบายได้ว่า ทำไมผลออกมาเป็น 1 หรือ 2 เพราะเป็นเรื่องของคดีการเมือง

“หากเศรษฐารอด โครงการดิจิทัลได้ไปต่อ“
​มนตรี วิเคราะห์ว่า ทิศทางนโยบายเงินดิจิทัล ถูกนำไปผูกติดกับนายเศรษฐา หากนายเศรษฐารอด เรื่องเงินดิจิทัลก็ไปต่อ แม้จะไปแบบขลุกขลักก็ตาม แต่หากนายเศรษฐาไม่อยู่ เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเมื่อใด ก็เชื่อว่าจะเป็นทางลงนโยบายเรือธงนี้ ซึ่งยักแย่ยักยันมาตั้งแต่ต้นปี เหมือนจะริบหรี่ และดีไม่ดีจะเป็นทางลง ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีคนอื่น ที่ไม่ใช่คนในพรรคเพื่อไทย ก็จะยิ่งทำให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ว่าโอกาสมีน้อยลง เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเรื่องเงินดิจิทัล

“คนลงทะเบียนอื้อ ไม่ได้การันตีโครงการจะสำเร็จ”
​มนตรี มองว่า การลงทะเบียนโครงการดิจิทัล ที่มีกระแสตอบรับดีเยี่ยม 2 วัน 22 ล้านคน ไม่ได้เป็นการการันตีว่าโครงการจะสำเร็จ สิ่งที่จะยืนยันว่าโครงการจะสำเร็จ คือตัวเงินซึ่งนอนอยู่ในมือขณะนี้ 43,000 ล้านบาทที่เหลือเพิ่งอนุมัติในงบกลาง และต้องไปผ่านที่ประชุมวุฒิสภาก่อน แต่เชื่อว่าจะผ่าน ขณะที่งบประมาณ ปี 2568 ยังมีประเด็นข้อกฎหมาย ที่มาของเงิน และซุปเปอร์แอป ที่จะนำมารองรับระบบเบิกจ่าย ซึ่งยังไม่เห็นว่าจะต่อยอดจาก แอปทางรัฐ ที่ใช้ลงทะเบียนอย่างไร แต่เชื่อว่าประชาชนที่เฝ้ารอ หากรอแล้วพอถึงวันสิ้นปี จะต้องขยับไปต้นปีหน้า จะเกิดเป็นพายุลูกใหม่ แทนที่พายุหมุนทางเศรษฐกิจ

“มั่นใจแม้วพ้นโทษ การเมืองกระเพื่อมแน่”
​มนตรี กล่่าวถึง ประเด็นที่ 3 กรณีวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งทักษิณ ชินวัตร จะพ้นโทษ มั่นใจว่า จะสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองแน่นอน ทักษิณสามารถที่จะขับเคลื่อนได้คล่องตัวมากขึ้น ทั้งที่ผ่านมาก็เคลื่อนไหวไม่น้อย แต่เมื่อไม่มีพันธนาการแล้ว ก็จะทำให้รัฐบาลเพื่อไทยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้มีอะไรที่จับต้องได้ ซึ่งทักษิณเคยประกาศไว้ที่จังหวัดสุรินทร์ ตรงนี้คือจุดเปลี่ยนอันแรกที่น่าจะได้เห็น

“คาดมีปรับครม.-ปชป.รอเสียบ”
​มนตรี คาดการณ์ว่า หากนายเศรษฐาไม่รอด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในรัฐบาลแน่ แต่ถ้ารอด ก็ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี ( ครม.) และเป็นการปรับใหญ่ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่ทุกวันนี้หลายคนอาจจะมองว่า เป็นฝ่ายค้านที่รอเข้าร่วมรัฐบาล แต่ดูจากข่าวสารล่าสุดไม่ใช่การนั่งรอ แต่ดิ้นรนที่จะเข้าร่วมรัฐบาลด้วย ฉะนั้นหากประชาธิปัตย์เข้ามา สัดส่วนเก้าอี้ต่างๆก็ต้องมีการปรับกันใหม่ เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ของนายเกรียง กัลป์ตินันท์ ก็อาจจะต้องคืนเข้ามาเป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย และอาจต้องให้พรรคการเมืองใหม่ ที่เข้ามาร่วมรับไป ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในพรรคเพื่อไทยได้ระดับหนึ่ง

​ติดตาม รายการ “ช่วยกันคิด ทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5​