“การที่คนยังนิยมซื้อรถมากกว่า เดินทางโดยรถสาธารณะเพราะ ถ้าพูดกันตามตรงรถเมล์ส่งได้มากสุดแค่หน้าปากซอย แต่รถยนต์ส่งเราได้ถึงหน้าบ้าน เพราะระบบขนส่งมวลชนของประเทศไทย ไม่มีเส้นเลือดฝอยเยอะมากขนาดนั้น ทำให้รู้สึกว่าซื้อรถยนต์ดีกว่า”
“นพฤทธิ์ กมลสุวรรณ บรรณาธิการเว็บไซต์ Brickinfotv.com” ให้มุมมองถึง “รถป้ายแดง มาแรงทะลุ 1.6 ล้านคัน สวนกระแสเศรษฐกิจปัจจุบัน” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า
“ ศก.ซบเซา- 2 ปัจจัยทำผู้บริโภคชะลอจ่ายเงิน”
ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ซบเซา เป็นผลมาจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย เนื่องจากเกิดสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้ประเทศต่างๆรวมทั้งไทยได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้บริหารบ้านเมืองต้องเลือกบาลานซ์ทั้ง 2 ฝ่าย และสถานการณ์การเมืองโลกที่ไม่แน่นอน ประชาชนจึงต้องกำเงินเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตจะหาเงินได้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด 2 ปัจจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยขาดความเชื่อมั่น เศรษฐกิจจึงชะลอตัว
“ค่ายรถจัดโปรฯ ดึงดูดลูกค้า-รถ EV ทำตลาดรถกระเตื้อง”
ถ้าดูภาพรวมคนจะซื้อรถเงินผ่อน เงินดาวน์ และปัจจุบันมีการลดราคา ลดล้างสต๊อกด้วย บางยี่ห้อราคาไม่ถึง 4 แสนบาท ก็สามารถมีรถยนต์ไฟฟ้าขับกลับบ้านได้แถมเป็นรถอีวี 100% ด้วย เมื่อไม่ได้ซื้อเงินสด เวลาจ่ายเงินดาวน์ เงินผ่อน ด้วยความที่รถราคาย่อมเยา ณ เวลาที่ซื้อเราคิดว่าซื้อรถวันนี้แล้วจะอยู่ได้อีก 7-8 ปี หลังจากนั้นสภาพเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้นเอง บางคนผ่อนเดือนละ 5,000 บาท ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมได้สำหรับมนุษย์เงินเดือน แต่อนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ค่ายรถ จึงพยายามทำการตลาด เพื่อดึงกำลังซื้อของคนกลับมาในเวลาปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ซึ่งการเข้ามาของรถอีวีทำให้ภาพรวมตลาดกระเตื้องขึ้นบ้าง เพราะราคาถูก สามารถที่จะดึงกำลังซื้อของคนออกมาได้บ้าง
“รถจีนเข้าไทย ตีตลาดญี่ปุ่นแบบหายใจรดต้นคอ”
หากย้อนไปดูมอเตอร์โชว์ต้นปีที่ผ่านมา รถออกใหม่จะเป็นรถไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า ราคาย่อมเยา เฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีน มียอดจองเป็นอันดับ 2 กว่า 5,000 คัน รองจากค่ายญี่ปุ่น ที่มียอดจองกว่า 8,000 คัน ซึ่งรถไฟฟ้าบางยี่ห้อ หากมีเงินเพียง 7 - 8 แสนบาท ก็สามารถซื้อได้แล้ว นอกจากนี้รถยนต์จากประเทศจีน มีเทคโนโลยีและสเปคของรถสูงกว่า จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่ายรถจากประเทศจีน ตีตลาดรถจากญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้ การทำสงครามของค่ายรถอีวีของจีน ยังดึงรถเทสล่ารถยนต์สัญชาติอเมริกัน ให้ลงมาเล่นด้วย และมีคนไปประท้วงหน้าโชว์รูมเทสล่าเต็มไปหมดเลย
“แนะตรวจสอบราคารถจีนในจีน ควบคู่รถจีนที่ตีตลาดไทย”
นพฤทธิ์ แนะให้สังเกตราคารถยนต์ไฟฟ้าของจีนในประเทศไทย หากราคาใกล้เคียงกับในประเทศจีน ก็แปลว่าราคาน่าจะใกล้เคียงกับทุนมากแล้ว จึงเป็นช่วงที่เราน่าจะพอซื้อและวางใจได้บ้าง ซึ่งวิธีคิดดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และกลยุทธ์การตลาดที่ผู้ประกอบการ ทำให้เราขาดความมั่นใจ ว่าถ้าซื้อไปตอนนี้ ราคาจะติดดอยด้วยหรือไม่ แล้วทุกคนก็จะรอของที่ถูกที่สุด ชะลอการจับจ่ายใช้สอย และรอผู้ประกอบการว่าจะลดราคาให้เท่าใด ตรงนี้ทำให้ กลยุทธ์ของผู้ประกอบการเปลี่ยนไปด้วย
“dump ราคามีผลกับประกัน-ตลาดรถมือสอง”
การ dump ราคารถไฟฟ้าลงมาในขณะนี้ ถ้าพูดถึงยอดขายมือหนึ่งคิดว่าอาจจะไม่มีผลในทางลบ เพราะบางคนคิดว่าตอนนี้เป็นราคาดีที่สุด และบางคนคิดว่าตอนนี้ต้องการใช้รถ ก็จะซื้อเวลานี้และจะใช้ต่อไป ดังนั้นการ dump ราคา น่าจะมีผลกับประกันและตลาดมือสองมากกว่า เพราะราคาขายมือสองจะต่ำลงตามราคารถป้ายแดงด้วย
ในส่วนของประกัน สมมุติว่า ซื้อรถ 1 ล้านบาท เบี้ยประกันอยู่ที่ 1 ล้านบาท แต่หากขับไปอีก 3 เดือน รถคันดังกล่าวลดราคาเหลือ 8 แสนบาท ผู้ซื้ออาจคิดว่า ลองขับไปชน แล้วให้ประกันคืนเบี้ย 1 ล้านบาทดีกว่า และได้รถใหม่ในราคา 8 แสนบาท แล้วยังได้เงินมาอีก 2 แสนบาท ตรงนี้เป็นสิ่งที่ประกันในช่วงแรกๆกังวลกันมาก แต่เชื่อว่าหากสถานการณ์สงครามราคาคลี่คลายลง บริษัทประกันน่าจะเริ่มลงตัว ตอนนี้ราคาประกันภัยของรถอีวีบางค่าย แพงเท่ากับรถเบนซ์ ทั้งที่ราคาอยู่ที่ล้านบาทนิดๆ ขณะที่เต๊นท์รถมือสองบางเต็นท์ไม่รับรถไฟฟ้า เพราะกลัวราคาติดดอย หรือบางเต๊นท์ถึงจะรับก็รับในราคาที่ถูกกว่าปกติ
“แนะ ผู้บริโภคศึกษารอบด้าน ก่อนตัดสินใจซื้อ”
ในมุมของผู้บริโภคควรจะซื้อรถในช่วงนี้ดีหรือไม่ ผมคิดว่า ต้องแยกค่ายรถที่เราสนใจ เช่น ณ เวลานี้เราสนใจค่ายรถจีน เราก็ต้องลองดูค่ายรถที่ไม่ทำสงครามราคาโหด เช่น ราคาเปิดตัวของรถยี่ห้อนั้นๆ เคยเปิดในราคา 1.2 ล้านบาท ตอนนี้เหลืออยู่ที่ราคา 6 แสนบาท ตรงนี้เราจะต้องระมัดระวังและศึกษาให้ดี
นอกจากนี้ในส่วนของค่ายรถจีน หากเราไปดูค่ายที่เขาไม่ทำสงครามราคา เราก็จะเห็นว่าราคายังนิ่ง ยอดขายไม่หวือหวามากและน่าสนใจ ส่วนค่ายรถที่ dump ราคา เราควรดูราคารถรุ่นนั้นในประเทศจีนด้วย ว่าราคาใกล้เคียงกับประเทศไทยหรือไม่ อาจจะบวกลบราว 20% เป็นภาษีนำเข้า หากอยู่ในราคาที่ใกล้เคียงกัน ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
“ค่ายรถยุโรป เน้น Luxury และ experience มากกว่าราคา-จีนแย่งส่วนแบ่งตลาดค่ายญี่ปุ่น”
นพฤทธิ์ บอกว่า ค่ายรถฝั่งยุโรปไม่คุยเรื่องสงครามราคากัน แต่ส่วนใหญ่ เน้นไปทาง Luxury และexperience และพยายามนำเสนอ experience ต่างๆที่เหนือกว่าคู่แข่ง เป็น Luxury experience หรือพยายามนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆที่แตกต่างจากค่ายรถจีนและญี่ปุ่น
ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นก็ต้องจับตามองดีๆ เพราะรถฝั่งจีนมาแย่ง Market share เยอะมากแบบหายใจรดต้นคอโตโยต้าเลย ขณะที่ฮอนด้าก็ลดกำลังการผลิตในประเทศไทย หรือ ซูซูกิก็ถอนโรงงานออกจากไทยกลับไปแล้ว ฉะนั้นหลังจากนี้อาจจะต้อง ติดตามกันว่าฝั่งค่ายรถญี่ปุ่น จะมีอะไรมาเป็นแรงจูงใจหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ค่ายรถญี่ปุ่นสามารถดึงดูดแรงจูงใจของไทยได้ ในการซื้อ คือ ตลาดรถมือสอง
“คาด ครึ่งปีหลังตลาดรถมือสองโต แต่ไม่หวือหวา หลัง ไฟแนนซ์ปรับตัวตามผู้บริโภค”
สำหรับสถานการณ์รถมือสอง ผู้ประกอบการเต๊นท์รถเชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะเติบโต เพราะประเมินว่า ช่วงต้นปีแรกหนี้ NPL ค่อนข้างสูง ทำให้ไฟแนนซ์ต้องจำกัดความเสียหายของหนี้เสีย จึงอนุมัติสินเชื่อยาก และเข้มงวดมากขึ้น แต่ครึ่งปีหลัง เต๊นท์รถหรือแม้กระทั่งเซลล์เริ่มปรับตัวได้แล้ว รถมือสองที่ผ่านไฟแนนซ์จะมีมากขึ้น แต่ตัวเลขอาจจะไม่หวือหวาเหมือนรถมือหนึ่ง เนื่องจากเต๊นท์รถมือสองมีจำนวนมาก และไม่ได้มีตัวเลขให้เห็นเหมือนรถมือหนึ่ง ว่าสถิติปีนี้ที่มีการจดทะเบียนซื้อจำนวนเท่าใด เต๊นท์รถที่ผมมีโอกาสได้พูดคุยกัน บอกว่า ขายได้ 400 ถึง 500 คันโดยประมาณ เจ้าของเต๊นท์รถมือสองจึงเชื่อว่ายังเติบโตอยู่เรื่อยๆ
“เห็นกับตา รถหรูบางยี่ห้อค้างตลาดแรมปี”
ในมุมมองของผม รถที่ขายอยู่ใน Maketplace Facebook มีการชะลอตัวพอสมควร รถบางรุ่นยอดนิยมค้างอยู่ใน Maketplace Facebook เป็นปีๆ ทั้งที่ราคาดีมากแต่ไม่มีใครซื้อ อาจจะมองได้หลายมุมว่ารถคันนี้ใช้งานมาอย่างหนัก แต่อีกส่วนหนึ่งก็มองได้ว่า วันนี้ทุกคนชะลอตัวในการซื้ออย่างมาก เช่นเดียวกัน
“รถยนต์ตอบโจทย์ระบบขนส่งมวลชนมากกว่า เหตุ ขับจากบ้าน-ที่ทำงาน ไม่ต้องเดินทางหลายต่อ”
“การที่คนยังนิยมซื้อรถมากกว่าเดินทางโดยรถสาธารณะ เพราะถ้าพูดกันตามตรงรถเมล์ส่งได้มากสุดแค่หน้าปากซอย แต่รถยนต์ส่งเราได้ถึงหน้าบ้าน เพราะระบบขนส่งมวลชนของประเทศไทย ไม่มีเส้นเลือดฝอยเยอะมากขนาดนั้น ทำให้รู้สึกว่าซื้อรถยนต์ดีกว่า เช่น รถราคา 700,000 บาท แล้วจ่ายเงินผ่อนรถเดือนละ 5,000 บาท ก็ขับรถจากหน้าบ้านไปที่ทำงานได้เลย ทั้งที่ความจริงมีรายจ่ายเยอะกว่านั้น จึงทำให้ตัดสินใจซื้อรถยนต์มากกว่าที่จะขึ้นระบบขนส่งมวลชน”
“แนะ ดูเงินในกระเป๋า-โฉมรถ ก่อนตัดสินใจซื้อ”
นพฤทธิ์ ทิ้งท้ายฝากถึงคนที่กำลังจะซื้อรถว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก คือ เรื่องความสามารถทางการเงิน ต้องบริหารให้ดี เพราะเศรษฐกิจฝืดเคือง เราพร้อมที่จะผ่อนรถดังกล่าว ต่อไปอีก 4 ปี 6 ปี หรือ 8 ปีหรือไม่ เราคิดว่าเงินเดือนเราเท่านี้สามารถผ่อนได้ แต่อีก 2 ปีข้างหน้า อาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถผ่อนต่อได้ เพราะเงินผ่อนรถจะต้องเป็น 20% ของเงินเดือนทั้งหมด หากมากกว่านี้ต้องระมัดระวังสุขภาพทางการเงินเรา และหากจะซื้อรถต้องดูด้วยว่าจะออก Minor Change ใหม่หรือไม่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อันนี้ต้องสอบถามเซลล์ขายรถให้ดี
ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5