“คนที่สนับสนุนทรัมป์หรือไม่ก็ตาม มีแนวโน้มเชิงบวกกับรัฐบาลชุดใหม่ จะช่วยเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศและการรักษาสันติภาพ ดูจากคะแนนของคนที่โหวตให้ทรัมป์ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา”
“วรรษมน อุจจรินทร์ อนุกรรมการฝ่ายต่างประเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ฉายภาพรวม “ทรัมป์ หวนคืนอำนาจ” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ถึงกรณี “ระบบการปกครองของอเมริกา ทำให้การเปลี่ยนผ่าน รบ.ราบรื่น-ไม่เคยมี รปห.”
วรรษมน บอกว่า ตามปกติการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ของสหรัฐอเมริกาทุกยุคสมัยมีความราบรื่น เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในระบบประธานาธิบดีเป็นระบบการปกครองที่เป็นพื้นฐานของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่เคยมีการถูก Disrupt หรือถูกขัดขวางมาก่อน ไม่เคยมีการรัฐประหาร ประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ ไม่เคยเผชิญกับการรัฐประหาร แต่สิ่งที่ใกล้เคียงกับการรัฐประหารหรืออำนาจนอกการเลือกตั้ง ที่เคยเกิดขึ้น คือ เหตุการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ระหว่างที่ โจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตน
.
“คนอเมริกันมองทรัมป์บวกเพราะชนะเลือกตั้ง”
วรรษมน กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของคนอเมริกัน ที่มองแง่บวกต่อรัฐบาลทรัมป์เพราะระบบของอเมริกา พรรคการเมืองที่จะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง แม้จะไม่ได้ชนะด้วย Popular Vote แต่ชนะด้วย Electoral college ซึ่งการชนะในระบบการเลือกตั้งของอเมริกาจึงขึ้นเป็นรัฐบาลได้ หากพรรคการเมืองไหนชนะเลือกตั้งก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล ฉะนั้นประชาชนจะต้องเชื่อมั่นในรัฐบาลที่เลือกมาว่า มีแนวโน้มจะทำให้ประเทศดีขึ้น
.
“เรื่อง เศรษฐกิจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ดันให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง”
วรรษมน เล่าย้อน ถึงเรื่องเศรษฐกิจทำให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดเก่าของทรัมป์ ที่มีผลงานเด่นเรื่องของการลดภาษี สำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ประชาชนอเมริกันคาดหวังในเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น ด้านนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์กว่า 10 ท่าน เคยออกแถลงการณ์ร่วมกัน เพราะกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์เข้ามา อาจจะทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อแย่ลง จากนโยบายที่จะเพิ่มกำแพงภาษีมากขึ้น อาจส่งผลต่อระดับเงินเฟ้อในประเทศได้ ทั้งนี้ ต้องรอดูกันต่อไปเพราะขณะนี้ชาวอเมริกันเชื่อว่า ทรัมป์เข้ามาบริหารแล้วจะช่วยทำให้ภาพรวมด้านเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
.
เหตุที่ทรัมป์ถูกจับตา “เดินเกมต่าง” จากอดีตประธานาธิบดีคนอื่น
วรรษมน มองว่า ทรัมป์มีรูปแบบการเดินเกมทางการเมือง ที่แตกต่างจากประธานาธิบดีคนอื่นๆ จึงทำให้เขาดูน่าสนใจมากขึ้น แต่การลงคำสั่ง Executive order จำนวนมากในวันแรกเป็นเรื่องปกติที่ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาทำกันอยู่แล้ว ทั้งนี้ ทรัมป์เคยเป็นประธานาธิบดีมาแล้วในช่วงปี 2016-2020 แต่ตอนนี้บริบทหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก ทรัมป์มีชนักติดหลังมากขึ้น นอกจากนี้นโยบายของอเมริกาต่อทั่วโลกจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่แล้ว เช่น เรื่องเงินเฟ้อในอเมริกาช่วงที่ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดียุคแรก ไม่มีมากขนาดนี้เรียกได้ว่า“คนเดิมบริบทใหม่” หรือ “เริ่มต้นใหม่กับคนเดิม” หลายอย่างอาจจะคาดการณ์ได้ แต่หลายอย่างคงต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้เรื่องของคดีที่เขามีติดตัวก็ต้องดูว่าจะเป็นอย่างไร
.
ประธานาธิบดีอเมริกา “ไม่ห้ามคนต้องโทษ-ถูกตัดสินว่าผิดเป็นผู้นำประเทศ”
วรรษมน ยอมรับว่า สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือรัฐธรรมนูญของอเมริกา ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมาทรัมป์มีรัฐธรรมนูญแค่ฉบับเดียว ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลยแต่หลังจากนั้นอาจจะมีบทแก้ไขบ้าง แต่บทหนึ่งที่ไม่ได้มีการแก้ไข คือ เรื่องคุณสมบัติของตัวประธานาธิบดี ซึ่งตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมาเขาระบุว่าคนที่จะมาเป็นประธานาธิบดี จะต้องมีคุณสมบัติ 1-2-3-4 แต่สิ่งที่ไม่ได้เป็นข้อห้าม คือ ไม่ได้ห้ามนักโทษ , ไม่ได้ห้ามผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดเป็นประธานาธิบดี จึงเป็นจุดที่ว่าต่อให้เขาถูกตัดสินมีความผิด จากคดีจ่ายเงินอดีตดาราหนังผู้ใหญ่ แต่เขาสามารถดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีได้ต่อไป ขณะที่หลายประเทศกำหนดไว้ว่า ถ้าเป็นคนที่จะเป็นตำแหน่งผู้นำจะต้องไม่ถูกต้องโทษส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของอเมริกายากมากๆ มีขั้นตอนซับซ้อนเยอะ
.
“คะแนนนิยมทรัมป์ สูงถึง 60% มากกว่ารับตำแหน่งสมัยแรกที่ 56%”
วรรษมน บอกว่า การเปลี่ยนผ่านอำนาจจากยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นทรัมป์ มีผลอ้างอิงการสำรวจของสำนักข่าว CBS News Polls จัดทำร่วมกับบริษัทวิเคราะห์ทางการเมืองต่อประชาชน ระบุว่าชาวอเมริกัน 60% มีทัศนคติเชิงบวกกับยุคของทรัมป์ในอีก 4 ปีข้างหน้า สูงกว่าไบเดนซึ่งอยู่ที่ 58% และผลสำรวจระบุว่าชาวอเมริกัน มีความเห็นเชิงบวก 60%ต่อรัฐบาลทรัมป์ในยุคนี้สูงกว่ายุคแรก ที่ทรัมป์เข้ามาเป็นประธานาธิบดี เมื่อปี 2016 ตอนนั้นอยู่ที่ 56% ตอนนั้นยังไม่เคยดำรงตำแหน่งอะไรทางการเมือง ถือว่าเป็นผู้นำหน้าใหม่
.
“ทรัมป์มีชนักติดหลังอื้อ”
วรรษมน บอกว่า แม้ว่าทรัมปก์เป็นนักธุรกิจมานาน นอกจากนี้ผลงาน America First ที่เขาทำไว้ตั้งแต่เป็นประธานาธิบดียุคแรก แต่ตอนนี้เขาถือว่ามีชนักติดหลังเยอะ เพราะถูกตัดสินว่ามีความผิด ข้อหาเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ ออกมาแล้ว และมีคดีบุกรัฐสภาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ระหว่างที่ไบเดนเข้าสาบานตน แม้ทรัมป์มีคดีติดตัวเยอะมากแต่ประชาชนยังเชื่อมั่นศรัทธา มากกว่าทรัมป์ในปี 2016 แต่คะแนนของทรัมป์ น้อยกว่า บารัค โอบามา สมัยที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีคะแนนนิยมถึง 79% ถือว่าเป็นคะแนนนิยมที่สูงมาก ถ้านับถอยหลังไปเมื่อ 20 ปีก่อน
.
“คนอเมริกัน 88% หนุนทรัมป์ มั่นใจนโยบายตปท.-ทำสันติภาพโลกเกิด-ราคาสินค้าถูกลง”
วรรษมน บอกว่า เหตุผลหนึ่งที่ทรัมป์ได้รับความเชื่อมั่นจากคนอเมริกัน เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ชาวอเมริกัน 56% เห็นว่าเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ดี แต่ว่าความคาดหวังหลังจากที่ทรัมป์เข้ามาเห็นว่าจะดีขึ้น สำหรับคนอเมริกันสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกว่า ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ คือ ราคาสินค้าต่างๆในซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่ง74% ของผู้ที่โหวตให้ทรัมป์เชื่อมั่นว่ารัฐบาลทรัมป์ จะช่วยให้ราคาสินค้าต่างๆลดลงได้ และเรื่องนโยบายต่างประเทศ , นโยบายการสร้างสันติภาพ , การรักษาความมั่นคงเสถียรภาพในโลก 46% ของชนทั่วไปทั้งที่โหวตและไม่โหวตให้ทรัมป์ คิดว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้ความมั่นคงและเสถียรภาพในโลกสูงขึ้นมากกว่า 37% ที่เชื่อว่าสันติภาพในโลกจะลดลง แต่ 88% เชื่อว่ารัฐบาลทรัมป์จะทำให้สันติภาพและความมั่นคงในโลกสูงขึ้น
“คนที่สนับสนุนทรัมป์หรือไม่ก็ตาม มีแนวโน้มเชิงบวกกับรัฐบาลชุดใหม่ จะช่วยในเรื่องเศรษฐกิจในประเทศและการรักษาสันติภาพ ดูจากคะแนนของคนที่โหวตให้ทรัมป์ในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้เชื่อมั่นมากๆ ในการที่ทรัมป์จะกลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง”
.
“ไบเดน ทำบรรยากาศถ่ายโอนอำนาจราบรื่น ขณะที่ทรัมป์กลับทำตรงข้าม”
วรรษมน บอกว่า บทความของสำนักข่าวหนึ่งในสหรัฐได้สรุปว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาล่าสุด แม้จะมีความขัดแย้งเยอะแต่รัฐบาลไบเดน พยายามสร้างความมั่นใจในเรื่องการถ่ายโอนอำนาจ ให้รัฐบาลของทรัมป์ที่จะเข้ามาอย่างสันติและราบรื่น ซึ่งเป็นการมุ่งมั่นที่เคารพต่อสถาบันทางการเมืองซึ่งไบเดน ได้ย้ำถึงความสำคัญในการรักษาประเพณีประชาธิปไตย และการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติสะท้อนให้เห็นว่าไบเดน ได้ที่เข้าร่วมในพิธีสาบานตนของทรัมป์ในครั้งนี้ หากมองย้อนกลับไป 4 ปีก่อนทรัมป์ไม่ได้เข้าร่วมในพิธีสาบานตนของไบเดน
วรรษมน บอกว่า แม้คาดหวังว่าการเปลี่ยนผ่านราบรื่น แต่ก็ยังเกิดความตึงเครียดขึ้นโดยเฉพาะการลงคำสั่ง ช่วงท้ายก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่ง ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการลงคำสั่ง Executive order ของไบเดน ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ และลงคำสั่งที่จะไม่ให้มีการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง โดยทรัมป์ บอกจะยกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูว่าเค้าจะทำได้จริงหรือไม่
.
“ซูซี่ ไวลส์ ชม เจฟฟรีย์ ดันสตัน เซียนต์ส ให้คำแนะนำงานด้วยดี”
วรรษมน บอกว่า แม้ทรัมป์ได้วิจารณ์การเปลี่ยนผ่าน ของไบเดนในที่สาธารณะ แต่ทางด้านเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว คือ ซูซี่ ไวลส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบอกว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้ด้วยดี และเขาก็ชื่นชมเจฟฟรีย์ ดันสตัน เซียนต์ส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนยุคของไบเดน เขาบอกว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นไปได้ด้วยดี มีความเป็นมืออาชีพ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนเก่าได้ให้คำแนะนำกับซูซี่ ไวลส์ว่าภารกิจการเปลี่ยนผ่านอำนาจครั้งนี้ เป็นไปตามเวลาที่กำหนดและยังอำนวยความสะดวกในเรื่องของคำสั่งต่างๆด้วย
.
“ทรัมป์ เปลี่ยนนโยบายหลายอย่างของไบเดน อาจส่งผลกระทบหลายเรื่อง”
ส่วนการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญไบเดนหลายเรื่อง วรรษมน บอกว่า ผู้สื่อข่าวตอบว่าสำนักข่าว The Guardian สรุปบทวิเคราะห์ข่าวว่านโยบายต่างประเทศ แบบAmerica Firs ของทรัมป์ อาจจะส่งผลกระทบต่อพันธมิตรของสหรัฐทั้งในแง่บวกในแง่ลบ และหลายฝ่ายจับตามองเรื่องของการถอนตัวจาก WHO ซึ่งทรัมป์ให้เหตุผลถึงการจัดการโรคระบาด โควิด-19 และความสัมพันธ์ระหว่าง WHO กับจีน ซึ่งการตัดสินใจจะถอนตัวจาก WHO อาจจะส่งผลกระทบในแง่ลบ ต่อความพยายามด้านสาธารณสุขทั่วโลก และอาจจะสร้างความขัดแย้งต่อพันธมิตรของสหรัฐ ที่การสนับสนุน WHO
ส่วนการยกเลิกคว่ำบาตร ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลใช้ความรุนแรง คือ คำสั่งทรัมป์อนุญาตให้ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ใช้อำนาจในการจัดการเรื่องนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าอเมริกาสนับสนุนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง แต่เรื่องนี้อาจจะสร้างความกังวล เรื่องความเป็นกลางของอเมริกาประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์
.
“America Firs ส่อกระทบบรรยากาศระหว่างประเทศ-ทำพันธมิตรดั้งเดิมของอเมริกาผันผวน”
วรรษมน บอกว่า อีกคำสั่งของทรัมป์ คือ ระงับการช่วยเหลือด้านการต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือจากอเมริกาไปยังต่างประเทศ อาจจะส่งผลต่อการช่วยเหลือหลายล้านดอลลาร์ การเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนให้กับประเทศต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาทางการเงินจากสหรัฐอเมริกา จะเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพันธกิจ และคำมั่นสัญญาของสหรัฐที่มีในเวทีโลก
สำหรับ นโยบาย America Firs ของทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะสร้างบรรยากาศระหว่างประเทศ ที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอน สำหรับพันธมิตรสายดั้งเดิมของอเมริกา แม้ว่าพันธมิตรระหว่างประเทศจะได้รับประโยชน์ จากการที่ทรัมป์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ประเทศอื่นๆอาจจะต้องเผชิญกับแรงกดดัน หรือถูกโดดเดี่ยวเนื่องจากการลงคำสั่ง Exclusive Order ของทรัมป์ ในวันแรกรวมถึงคำประกาศและแนวทางอื่นๆของทรัมป์ ซึ่งต้องจับตาดูเรื่องนี้ต่อไป
.
“ครม.ทรัมป์ 2 ถูกวิจารณ์ ตั้งคนไม่เหมาะกับงานมาดำรงตำแหน่ง”
ส่วนโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีทรัมป์ 2 วรรษมน บอกว่า เปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยนำคนมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักหลากหลายอาชีพเข้ามาร่วมทำงานด้วย ซึ่งบทความของสำนักข่าว USA Today ระบุว่าตัวเลือกคณะรัฐมนตรีทรัมป์ครั้งนี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เช่น ลินดา แม็กมาฮอน ที่ถูกเสนอให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ แทบไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการศึกษามาก่อน ส่วนคนอื่นที่ถูกเสนอชื่อและเป็นที่ถกเถียงคือคนที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองงานแห่งชาติ และผู้อำนวยการเอฟบีไอซึ่ง USA Today สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า การขาดประสบการณ์โดยรวม ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของอเมริกา ซึ่งอาจจะทำให้นำไปสู่การบริหารงานที่ผิดพลาด ในหน้าที่สำคัญของรัฐบาลกลางได้
.
“คนหนุนทรัมป์เห็นต่าง”
วรรษมน บอกว่า ขณะที่ผู้สนับสนุนทรัมป์มองว่าเป็นการ disruption อาจจะเป็นการทำลายรูปแบบขนบทางการเมืองเดิมๆแต่อาจจะเป็นผลดี และหากมองย้อนกลับไปในปี 2016ตอนนั้นก็เป็น disruption เหมือนกัน เพราะตามปกติคนที่เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา จะต้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาก่อน แต่ทรัมป์เป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ชนะการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่ง ที่สำคัญที่สุดในประเทศได้ซึ่งผู้ที่สนับสนุนนายดอนัลด์ ทรัมป์มองว่าถ้านายทรัมป์ ทำได้คนอื่นก็น่าจะทำได้ พวกเขาเชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ซึ่งเป็นคนนอกที่ไม่ได้มีประสบการณ์ ไม่ถูกครอบงำโดยรูปแบบทางการเมืองเดิมๆจะนำแนวคิดใหม่ใหม่และอาจจะนำมาสู่ความท้าทายของระบบได้
.
“ทรัมป์ การันตี เลวิตต์ เหมาะนั่งเก้าอี้โฆษกทำเนียบขาวคนใหม่”
วรรษมน กล่าวปิดท้ายถึง คาโรไลน์ เลวิตต์ วัย 27 ปีว่าน่าจะเป็นโฆษกทำเนียบขาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ CBS News โดยระบุว่า เลวิตต์ เคยมีประสบการณ์ทำงานที่สำนักโฆษกของทำเนียบขาวในช่วงที่ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ซึ่งทรัมป์บอกว่าเลวิตต์ฉลาดและอดทนเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูง

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5