“จับตาทิศทางรัฐบาล หลังจบศึกชิงนายก อบจ.” 

“สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ คือ ดุลอำนาจหรือดุลต่อรองในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย จะลำบากมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงคะแนนนิยม และสร้างฐานทางการเมือง เพราะไม่สามารถสยบภูมิใจไทยให้อยู่ใต้อำนาจได้

“ปกรณ์ พึ่งเนตร” บรรณาธิการบริหาร สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี วิเคราะห์ “การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สะท้อนการเมืองใหญ่” ว่า การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ( อบจ.) ครั้งนี้ ประชาชนตื่นตัวกันมาก ประเด็นที่น่าสนใจ คือ “การปักธงจังหวัดแรกของพรรคประชาชน” ซึ่งประสบความสำเร็จ, “การเปิดหน้าหาเสียงอย่างหนักของนายทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเป็นเสมือนที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนำนโยบายระดับชาติ ลงไปหาเสียงในเวทีท้องถิ่น ซึ่งเป็นการหาเสียงเลือกตั้ง สส.ล่วงหน้าก่อนปี 2570 ด้วยการประกาศนโยบายของพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลเพื่อไทยผ่านเวทีนายก อบจ.จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ และ “ความพยายามของนายทักษิณที่จะสร้างผลงาน” เพื่อส่งสัญญาณ 

ปิดหีบ อบจ.: สิ้นมนต์ “ทักษิณ” เพิ่มอำนาจ “ภูมิใจไทย”

ปกรณ์ บอกว่า มีการจับตากัน เพราะถ้าเชื่อเรื่อง “ดีลทางการเมือง” หรือ “ซุปเปอร์ดีล” เพื่อที่จะต่อดีลต่อไป เพราะตัวเองทำสำเร็จ โดยชนะเลือกตั้งจำนวนมากตามเป้า และสกัดพรรคประชาชน หรือภูมิใจไทย ให้ได้มากที่สุดตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ฉะนั้น สนามนายก อบจ.จึงเป็นแค่เครื่องมือ เพราะพอเลยเลือกตั้งนี้ไปแล้ว จะไม่ใช่สนามใหญ่แบบนี้อีก แต่จะมีการเลือกตั้งเทศบาลเป็นการเลือกตั้งระดับย่อยลงไป ระดับอำเภอเท่านั้นซึ่งเล็กกว่าเขตเลือกตั้ง สส. พร้อมยังมองว่า ผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ฝ่ายที่เสียหายหนัก คือ พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะตัวนายทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยส่งลงสมัคร 16 คน และส่งในนามพรรคเพื่อไทย 14 คนเป็นสมาชิกพรรค 2 คน แต่มีการตั้งเป้าคุยกันวงในว่าจะได้ 13-14 คน แต่ได้จริง ๆ 10 คนถือว่า ต่ำกว่าเป้า อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหา และนำมาสู่การพาดหัวของสื่อจำนวนมาก คือ“ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง” เพราะหลายจังหวัดที่ไปเปิดเวทีเองไม่ชนะ เช่น จ.เชียงราย และจ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ชนกับพรรคภูมิใจไทย จึงส่งผลทางการเมืองต่อเนื่อง แม้พรรคภูมิใจไทย จะไม่ได้ออกหน้า แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย วิ่งรถไป จ.ศรีสะเกษแสดงความยินดี มีการจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ กัน ภาพออกมาชัดเจนว่า ทำให้อำนาจต่อรองของภูมิใจไทยมีมากขึ้น

สนาม อบจ. “ศึกช่วงชิง-ขบเหลี่ยม เพื่อไทย-ภูมิใจไทย”

ปกรณ์ ยังมองว่า นายทักษิณพยายามทำให้ตัวเองมีแต้มต่อมากขึ้น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ หากชนะหมดตามที่ประกาศไว้ หรืออาจจะชนะจังหวัดพื้นที่ช่วงชิงที่แพ้ และไปเวทีต่าง ๆ เป็นพื้นที่ช่วงชิงทั้งนั้น เช่น จ.เชียงใหม่ เพื่อไทยช่วงชิงกับพรรคประชาชน, จ.เชียงราย และ จ.ศรีสะเกษ ช่วงชิงกับภูมิใจไทย รวมทั้ง จ.มหาสารคามด้วย แต่มหาสารคามพรรคเพื่อไทยชนะ จึงเป็นเสมือนศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะที่ผ่านมา มีการขบเหลี่ยมกันอยู่ ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อมาถึงยุคนางสาวแพทองธาร ก็ขบเหลี่ยมกันมาตลอด เช่น มีนโยบายอะไรทางนี้ไม่เห็นด้วย ทางนั้นเตะตัดขาที่ชัดเจน อย่างกรณีที่ดินอัลไพน์กับที่ดินเสากระโดง ที่แลกกันคนละหมัดมาตลอด ล่าสุดก่อนหย่อนบัตรนายก อบจ. คือกรณีตัดไฟฟ้าชายแดนในจุดซื้อขายไฟฟ้าไปยังเมียนมาร์ว่า ตัดได้หรือไม่ได้

ปกรณ์ บอกว่า นายทักษิณ ประกาศทุกเวที สะท้อนชัดเจนว่า อึดอัดใจในการทำงาน เพราะงานที่รับผิดชอบงาน หรือสั่งการ ไม่เต็มไม้เต็มมือ เหมือนตอนยุคพรรคไทยรักไทยที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในสมัยแรกแม้ว่า ไม่ได้แลนด์สไลด์ แต่ก็ได้เป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่มีเสียงเกือบครึ่ง ทำให้พรรคการเมืองอื่นไม่กล้าหือ ภายหลังมีการยุบรวมเข้ามาอยู่ใต้ร่มพรรคไทยรักไทยหมด จนกระทั่งปี 2548 ในการเลือกตั้ง ตอนนั้นจึงได้ถึง 377 เสียง เรียกว่า รัฐบาลพรรคเดียวสบาย ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรียังไม่ได้เลย ซึ่งดูเหมือนนายทักษิณจะชอบโมเดลแบบนั้น

จับตา! อำนาจต่อรอง “เพื่อไทย” หลังนายก อบจ.ไม่เข้าเป้า 

ส่วนกรณีที่ศาลอนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางไปมาเลเซียได้นั้น ปกรณ์ บอกว่า เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งนายกอบจ.วันเดียว ซึ่งมีการมองว่า หากนายทักษิณชนะ อบจ. 14 จังหวัดตามที่ประกาศไว้ จะเรียกว่า “พาวเวอร์ฟูล” สามารถเอาไปโม้ทางการเมืองได้ว่า “ซุปเปอร์ดีล” น่าจะอยู่ข้างตัวเอง เพราะลงเลือกตั้งที่ไหนก็ชนะหมด มีความขลัง แต่เมื่อในพื้นที่ช่วงชิงไม่ได้ตามเป้า แล้วยังเสียพื้นที่ที่ไม่น่าจะเสียด้วย โดยเฉพาะ จ.เชียงราย, ลำพูน และศรีสะเกษ จึงส่งผลทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง นำไปสู่เกมนับจากนี้ว่า จะกดดันพรรคภูมิใจไทยได้จริงหรือไม่ ที่มีข่าวว่า จะปรับคณะรัฐมนตรี จะขอบางกระทรวงคืน และยังไปพูดที่ศรีสะเกษว่า จะต้องผ่าตัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีรัฐมนตรีนามสกุลชิดชอบ จะทำได้หรือไม่ และจะขอกระทรวงคืนได้หรือไม่ ตรงนี้เป็นประเด็นทางการเมืองสืบเนื่องจาก เลือกตั้งนายกอบจ.ทั้งสิ้น

“สิ่งที่น่าจับตาต่อจากนี้ คือ ดุลอำนาจหรือดุลต่อรองในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย จะลำบากมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงคะแนนนิยม และสร้างฐานทางการเมือง เพราะไม่สามารถสยบภูมิใจไทยให้อยู่ใต้อำนาจได้ เช่น กฎหมายประชามติ ที่คาดว่า ต้องรอไป 6 เดือน และพอถึง 6 เดือนแล้ว อาจจะมี สว.ที่ส่วนใหญ่รู้ว่าเป็นสีอะไร ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเพื่อวินิจฉัยหรือไม่ว่า การทำประชามติชั้นเดียวอาจจะผิดหลักการหรือไม่ หรือเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ที่กระแสต้านเริ่มแรง และพรรคภูมิใจไทยเคยตั้งข้อสังเกตว่า พร้อมไม่เห็นด้วย รวมถึงเรื่อง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มีข่าวว่าเตรียมจะส่งกลับมาเสนอใหม่ เป็นการเพิ่มอำนาจฝ่ายการเมืองให้เข้าไปล้วงลูก แต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลได้หรือไม่ ซึ่งนายอนุทินระบุไม่เห็นด้วย ขณะที่ นายทักษิณยังแซวว่า หล่อเร็วไปหน่อยหรือเปล่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องค้างเก่า คือ กฎหมายกัญชา ตกลงจะให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ปกรณ์ ระบุ  

เชื่อ “ภูมิใจไทย” รุก! เดินเกมพรรคอนุรักษ์นิยมอันดับ 1 ชิงพื้นที่อีสาน

ส่วนพรรคภูมิใจไทยนั้น ปกรณ์ เห็นว่า เตรียมเดินเกมจัดระบบท้องถิ่นใหม่ โดยจะเสนอกฎหมายเกี่ยวกับท้องถิ่นเร็ว ๆ นี้ และภูมิใจไทยคุยกันวงในว่า เลือกตั้งครั้งหน้า ขอเป็นพรรคอันดับ 1 ถ้าได้ 100 -120 เสียง หากเป็นที่ 1 ในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ตอนนี้ เพื่อไทยถูกจัดมาอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย จะเป็นการกินพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นฐานเดียวกัน คือ ภาคอีสาน แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นเป้าหมายที่พรรคภูมิใจไทยตั้งไว้ ตรงนี้ก็จะเกิดการขัดกันทางการเมืองมากขึ้น ทำให้ค่อนข้างที่จะร้อนแรงในช่วงถัดจากนี้ไป ซึ่งศึกแรกที่จะเจอ คือ เรื่องรัฐธรรมนูญ ในเดือนกุมภาพันธ์ จากนั้นจะมีอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงกลางเดือนมีนาคม

“ปชน.” ชนะ 1 นายก อบจ.แต่คว้าชัย 2 เท่า 

 ส่วนพรรคประชาชนได้รับเลือกตั้ง 1 เสียงครั้งนี้ ปกรณ์ เห็นว่า เมื่อดูคะแนนแต่ละจังหวัดของพรรคประชาชนส่วนใหญ่ทำได้ดี แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีอะไรเข้าทางเลย เพราะถ้าเป็นการเลือกตั้งที่มีองค์ประกอบเหมือนการเลือกตั้ง สส.นั้น พรรคประชาชน จะได้คะแนนมากกว่านี้ แต่การที่พรรคประชาชนฝ่ามาได้ ถือว่าประสบความสำเร็จ 2 เท่า เพราะทั้งที่เป็นการเลือกตั้งวันเสาร์ อาจจะทำให้คนจำนวนมากไปใช้สิทธิ์ไม่ได้ ถ้าลางานก็อาจจะโดนปรับค่าจ้าง ไม่พร้อมที่จะลา แม้แต่สถาบันการศึกษาหลายแห่ง ขอให้หยุดการเรียนการสอนวันเสาร์ เพราะบางแห่งเด็กต้องเรียนทำให้ไปลงคะแนนไม่ได้ ทำให้เห็นว่าการลงคะแนนวันเสาร์มีปัญหาจริง และการเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่เข้าทางพรรคประชาชน คือ ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าและไม่มีการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร ทำให้คนที่เรียน และทำงานนอกภูมิลำเนา ไม่สามารถกลับไปเลือกตั้งได้ และการกำหนดวันเลือกตั้งหลังปีใหม่ที่หยุดยาวเพียง 1 หนึ่งเดือน และเลือกตั้งก่อนสงกรานต์เดือนกว่า ๆ ถ้าบ้านอยู่ไกล ไม่น่าจะลงทุนกลับบ้านเพราะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่าย และเพิ่งกลับบ้านช่วงปีใหม่ อาจจะกลับในช่วงสงกรานต์ จึงไม่ได้เข้าทางพรรคประชาชนเลย ฉะนั้น สิ่งที่ฐานเสียงของเขาออกมา หรือเขาได้คะแนนเพิ่มขึ้น แสดงว่าเป็นฐานเสียงกลุ่มใหม่ เพราะฐานเสียงกลุ่มเก่าจำนวนหนึ่งลงคะแนนไม่ได้

            “วิธีแบบนี้เป็นวิธีการที่ผู้มีอำนาจใช้กัน ในการเอาเปรียบเลือกตั้ง เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ประเทศมาเลเซีย ก็มีปัญหาแบบนี้โดยจัดการเลือกตั้งวันพุธ ทำให้คนมาเลเซียประท้วงและต่อว่ากันมาก แต่ก็เกิดกระแสตีกลับมาอีกทางหนึ่ง คือ คนยอมลางานไปเข้าคิวกันลงคะแนน เมื่อถึงเวลาปิดหีบแล้วคนยังต่อคิวล้น ก็ต้องให้สิทธิเขาลงคะแนน ผลการเลือกตั้งจึงเปลี่ยนไปอีกแบบ ทำให้พรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคอัมโน่แพ้การเลือกตั้งไปเลย ถือเป็นแรงต้านกลับ” ปกรณ์ ระบุ

            ปกรณ์ บอกว่า ในการเลือกตั้งปี 2566 ตนเคยคุยกับ สส.จังหวัดหนึ่ง ที่ไม่ใช่เขตเมือง และพรรคก้าวไกลยังไม่ถูกยุบ และชนะเลือกตั้ง บางเขตชนะเพราะคะแนนเลือกตั้งนอกเขต กับนอกราชอาณาจักร ในเขตนั้น 9,000 คะแนน โดยระหว่างที่ 1 กับ 2 ปรากฏว่า 7,000 กว่าคะแนน มาจากการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร เป็นของพรรคก้าวไกลหมด เป็นของผู้สมัครคนอื่นเพียงหลัก 10 เท่านั้น เห็นชัดว่า ถ้ามีการเลือกตั้งล่วงหน้า ผลการเลือกตั้งจะไม่ใช่แบบนี้ 

“นายก อบจ.-สจ.ต่างพรรค ส่งผลดีต่องาน”

 ส่วนการทำงานระหว่างสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด กับ นายก อบจ.ที่อยู่ต่างพรรคการเมืองจะมีปัญหาการทำงานหรือไม่นั้น ปกรณ์ มองว่า เป็นเรื่องดี เพราะจะมีการตรวจสอบถ่วงดุลเข้มข้นขึ้น ประชาชนได้ประโยชน์ ทำให้โครงการต่าง ๆ มีความโปร่งใสมากขึ้น เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่าง ๆ ถูกมองว่า ทุจริตสูง ฉะนั้น ความหลากหลายของที่มา ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับผู้บริหาร ทำให้โครงการต่าง ๆ โปร่งใสขึ้น

ชวนประชาชนตรวจการบ้าน อบจ.-เช็กลิสต์หาเสียง  

ปกรณ์ บอกว่า สำหรับประชาชนควรโฟกัสการทำงานของ อบจ.เรื่องอำนาจหน้าที่ และสิ่งที่หาเสียงไว้ ทั้งห้วงเวลา, การใช้งบประมาณที่โปร่งใส, ความสัมฤทธิ์ผลของโครงการ ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับ สส.และเทศบาล หรืออบต. ซึ่งมีอยู่ 21 ข้อ ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วม ซึ่งการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาก ๆ น่าจะส่งผลดี เป็นการป้องกันผู้บริหารขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเองด้วย 

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00 – 12.00 น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5​