“ไม่ว่าคนที่ให้บริการคริปโตจะอยู่ในประเทศไทย จดทะเบียนเรียบร้อยหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมไปถึงกลุ่มที่อยู่นอกประเทศด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการโยกย้ายเงินของมิจฉาชีพ”
“พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ”ให้มุมมอง “กฎหมายใหม่ พ.ร.ก.คุมภัยไซเบอร์-ดิจิทัล” ในรายการ “ช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า
ราชกิจจาฯประกาศกฎหมายใหม่ล่าสุด 2 ฉบับ ขยายขอบเขตธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล
พีรพล กล่าวว่า กฎหมายใหม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 เมษายนแล้ว มีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น มี 2 ฉบับคือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับที่2 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอลฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ทั้งคู่ เผอิญว่าฉบับที่ 2 ซึ่งประกาศมาพร้อมกัน ก็ไปขยายขอบเขตของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอลด้วย
นำข้อมูลมาสรุปรายละเอียด อิงข้อมูลดีอี
ลองลิสต์และสรุปแบบละเอียดออกมา และดูข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ชัดเจนและเด่นมากๆและเป็นเชิงโครงสร้างและเชิง Eco system คือ ทำให้คนที่มาเกี่ยวข้องทั้งระบบขยายวงขึ้น จนมีส่วนช่วยมากขึ้น คือ การครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิตอล จากเดิมฉบับที่ 1 จะมีความหมายของ ผู้ประกอบธุรกิจ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยระบบการชำระเงิน แต่กฎหมายฉบับใหม่รวมผู้ประกอบธุรกิจสินค้าดิจิตอล ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินค้าดิจิตอลด้วย
ปิดช่องทางมิจฉาชีพ
“ไม่ว่าคนที่ให้บริการคริปโตฯจะอยู่ในประเทศไทย จดทะเบียนเรียบร้อยหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายฉบับนี้ครอบคลุมไปถึงกลุ่มที่อยู่นอกประเทศด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือในการโยกย้ายเงินของมิจฉาชีพ ทำให้กฎหมาย พ.ร.ก.ปราบปรามภัยไซเบอร์ฉบับใหม่ ครอบคลุมถึงเงินดิจิตอล ผู้ประกอบธุรกิจ กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิตอล และครอบคลุมไปถึงบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์”
ตั้งหน่วยงานร่วมกำหนดมาตรฐาน-มาตรการ-ขึ้นบัญชีดำอาชญากร
สำหรับส่วนที่มีการกำหนดตั้งหน่วยงานร่วมมือกัน เพื่อกำหนดมาตรฐานหรือมาตรการ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประกาศมาตรการและมาตรฐานออกมา สิ่งที่น่าสนใจ คือ กฎหมายกำหนดให้ผู้ให้บริการ สารสั้นหรือ SMS มีหน้าที่ต้องคัดกรองข้อความและเนื้อหาก่อนส่งถึงผู้ใช้บริการ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของค่ายมือถือและผู้ส่ง SMS ดังนั้นในอนาคตอาจมีมาตรการต่างๆเพิ่มขึ้น เช่น หากได้รับ SMS ที่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถดำเนินการเอาผิดด้วยกฎหมายนี้ได้ และจะมีการขึ้นบัญชีดำอาชญากร โดยห้ามเปิดบัญชีหรือทำธุรกรรม รวมทั้งจะมีการเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานสามารถแจ้ง กสทช.สั่งระงับเบอร์ที่ใช้ก่อเหตุได้
ไทยมีอินเตอร์เน็ตเสรี ป้องกันมิจฉาชีพยาก
ถ้ากล่าวถึงธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล ก็จะนึกถึงคริปโตเคอเรนซี่ ถ้าจดทะเบียนในประเทศไทยก็อยู่ในตัวธุรกิจนี้อยู่แล้ว แต่ระยะหลังมีบริษัทต่างชาติไม่ได้มาจดทะเบียนในประเทศไทย แต่ให้บริการคนไทย เมื่อมีการดำเนินการกับต่างชาติ ประเทศไทยเป็นอินเตอร์เน็ตเสรีเราก็ทำได้อยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าเราไม่ได้รับการคุ้มครอง กลายเป็นว่าธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอลประเภทนี้ เป็นปลายทางของเงินมิจฉาชีพ ด้วยการยักย้ายถ่ายโอนออกไป จากเดิมที่จะต้องกดเอทีเอ็มตามตู้ ก็โอนไปเข้าเงินดิจิตอลแล้วออกไป ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นกฎหมายใหม่ จึงครอบคลุมถึงบริษัทต่างชาติที่ไม่ได้จดทะเบียนในไทยด้วย โดยมีการกำหนดลักษณะ 7 อย่างตามประกาศใหม่ คือ 1. การแสดงผลโดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิตอล ทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นภาษาไทยก็แสดงว่าเข้าข่าย 2. มีชื่อโดเมนเนมเป็น “.th” หรือมีคำว่าไทยหรือมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยเกี่ยวกับประเทศไทย 3. มีการกำหนดว่ารับเป็นสกุลเงินบาทหรือรับผ่านบัญชีเงินฝากบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย 4. ดำเนินคดีในศาลไทยได้ 5. มีการจ่ายค่าบริการ Google Search โฆษณาในประเทศไทย 6. มีการจัดตั้งสำนักงานบุคลากร และ 7. มีลักษณะอื่นๆที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประกาศเพิ่มได้ด้วย
ไทยออกกฎหมายหลังสิงคโปร์ แต่ครอบคลุมกว่า
พีรพล กล่าวว่า ไทยมีการรวมแพลตฟอร์มอยู่ในกฎหมายด้วย ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายของสิงคโปร์ ความจริงแล้วการร่วมรับผิดชอบ เป็นส่วนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ประเทศสิงคโปร์ได้ออกกฎหมายและกำหนดว่าต้องร่วมรับผิดชอบด้วย ในส่วนของประเทศไทยก็ออกกฎหมายส่วนที่เกินขึ้นมาหน่อย คือ เรื่องของแพลตฟอร์มซึ่งเป็นการครอบคลุมในทางที่ดี เพราะคนที่เกี่ยวข้องจริงๆไม่ได้มีเพียงธนาคารหรือค่ายมือถือ แต่อาจมีแพลตฟอร์มด้วย และความจริงแล้วกฎหมายใหม่ยังประกาศมาพร้อม พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินค้า digital ด้วย ซึ่งประกาศพร้อมกันและบังคับใช้พร้อมกัน
หน่วยงานกำกับดูแล อยู่ระหว่างวางมาตรการ-มาตรฐาน
ถ้าถามว่าจะร่วมรับผิดชอบกันอย่างไร บางคนฟังข่าวแล้วรู้สึกว่าแบบนี้เราก็ไม่ต้องระวังมาก เพราะอย่างน้อยคนอื่นจ่ายให้เราครึ่งหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วสัดส่วนไม่ได้มีการกำหนดตายตัวลงไปในกฎหมาย และไม่ได้กำหนดว่าจะต้องรับผิดชอบทุกกรณีด้วย เพราะการจะต้องร่วมรับผิดชอบ ต้องอยู่ในกรณีที่ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบเขาทำไม่เต็มที่จริงๆ ซึ่งหากเขาทำตามมาตรการและมาตรฐานของเขาอย่างเต็มที่แล้ว แต่เรายังถูกหลอก เขาก็ไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ เช่น สมมุติว่าธนาคารทำตามมาตรการนี้ทุกประการ มีหลักฐานพิสูจน์ได้ แต่เราถูกคนร้ายหลอกทำให้เราเสียหาย ตรงนี้ธนาคารจะไม่เกี่ยวแล้ว หรือหากค่ายมือถือทำตามมาตรการ ก็เป็นที่เรา เขาก็ไม่เกี่ยวแล้ว ซึ่งขณะนี้หน่วยงานซึ่งกำกับดูแล อยู่ระหว่างวางมาตรการและมาตรฐานความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย
อาจารย์ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ ท่านให้ความรู้ว่ากฎหมายนี้ สมมุติว่าหากประกาศออกมา แล้วเราจะไปคิดแบบนั้น อันนี้เป็นเรื่องอันตรายมากกับเรา เพราะบางทีเขาไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบกับเราเสมอไป ที่เขาอาจจะไม่รับผิดชอบแน่ๆ คือ โรแมนซ์สแกรม ถ้าหลอกให้รักและโอนเงินก็ไม่มีใครมาร่วมรับผิดชอบกับเราแน่ๆ เพราะว่าเราทั้งรักทั้งหลง แล้วก็เป็นฝ่ายโอนให้เขาเอง ดังนั้นเป็นสิ่งที่เรายังต้องระวังอยู่ ไม่ใช่ทุกกรณีที่เราจะเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์ แล้วจะมีใครมาร่วมจ่ายเงินให้เรา”
ดีอี เริ่มแล้ว ตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี อยู่ระหว่างเริ่มต้นแล้ว โดยจะทำหน้าที่ครอบคลุมหลายเรื่อง อาทิ รับแจ้งเหตุหรือสั่งระงับบัญชีต้องสงสัย , เพิกถอนหรือสั่งให้หน่วยงานส่งข้อมูลบัญชีและธุรกรรมต้องสงสัย , รวบรวมบัญชีเงินฝากของบุคคลแต่ไม่รวมถึงจำนวนเงินในบัญชี เช่น ตรวจสอบได้ว่าคนคนหนึ่งมีบัญชีเงินฝากกี่บัญชี แต่ไม่สามารถรู้จำนวนเงินรวมในบัญชีนั้นๆได้, เปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง , ประกาศรายชื่อบุคคลหรือเลขที่สินทรัพย์ดิจิตอลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม , แจ้งเบอร์โทรหรือเบอร์ SMS หรือชื่อของผู้ส่ง ให้ กสทช.สั่งระงับ
กม.ใหม่ ทั้งจำทั้งปรับ ป้องกันซิมม้า และการนำข้อมูลคนเสียชีวิตไปหาประโยชน์
กฎหมายใหม่นี้ครอบคลุมถึงกรณีซิมม้าด้วย ที่ผ่านมามีการนำชื่อผู้เสียชีวิตไปเปิดซิม กฎหมายระบุว่าหากใครลงทะเบียนซิมไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือจงใจปกปิดข้อมูลต้องมีโทษจำคุก 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือใช้ข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรม เพื่อนำไปกระทำความผิด ก็ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หากนำข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรมไปซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนหรือแสวงหาประโยชน์ ก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มีผู้เสียหาย ถูกหลอกลงทุน-กู้เงิน-ทำงาน
การหลอกลวงให้ลงทุนมีจำนวนมาก ทุกวันนี้ใครที่กำลังลงทุนอยู่ หรือกำลังจะลงทุนอะไร แล้วผลตอบแทนดีมาก อาจจะต้องตรวจสอบให้ดีว่าเป็นการลงทุนที่ถูกต้องหรือไม่ ที่น่าสงสารมากๆเป็นเรื่องการหลอกให้กู้เงิน เพราะคนที่ไปขอกู้เงินก็เดือดร้อนอยู่แล้ว แต่ยังถูกหลอกอีก กับหลอกให้ทำงาน ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
มุมมองคนข่าว และความคาดหวังของประชาชน
พีรพล ตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายนี้มีหลายส่วนที่ยังรอการประกาศ เช่น ศูนย์ก็ยังรอการจัดตั้ง รอการประชุมและรอการดำเนินงาน ยังมีขั้นตอนถัดไปอีก คือ การร่วมรับผิดชอบจะต้องร่วมรับผิดชอบอย่างไร แบบไหนไม่ต้องร่วมรับผิดชอบก็คงต้องรอมาตรการ หรือมาตรการที่ว่าใครจะต้องทำอะไร เช่น ค่ายมือถือจะคัดกรอง SMS แปลว่าเขาจะต้องอ่าน SMS ของเราทุกข้อความหรือไม่ ตรงนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งคำถามเช่นกัน
ส่วนในมุมของประชาชน สิ่งที่คาดหวัง คือ เมื่อกฎหมายออกมาแล้วก็อยากให้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง เพราะจะครอบคลุมไปถึงพื้นที่ ที่หน่วยงานรัฐอยากจะทำแต่ไม่กล้าทำเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายรองรับ หากกฎหมายใหม่นี้มีการคุ้มครองถึงแล้ว ก็คาดว่าจะดีขึ้น เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา ป้องกันและปราบปรามภัยไซเบอร์

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น. โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5