“ผมคิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรที่จะละวางอคติที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ให้มันหมดไป ตอนนี้เราเข้ามาสู่ทศวรรษที่ 3 ของศตวรรษที่ 21 แล้ว ทำไมเรายังทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ไม่ได้เลย มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่มันเกิดขึ้นมาเป็น 100 ปีแล้ว”
“สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผู้สื่อข่าวอาวุโส และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร” มองสถานการณ์ “ไทย-กัมพูชา” ผ่าน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า เป็นปัญหาที่กลายเป็นเรื่องคาราคาซังกันมาตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ที่มีอยู่ คือ ทัศนคติ และอารมณ์ต่อประสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่เป็นปัญหา เรื่องอื่นเราร่วมมือกันได้หมด ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไป มีความร่วมมือต่าง ๆ เซ็นสัญญาความร่วมมือหลายด้าน ทั้ง Infrastructure, Connectivity, แรงงาน, สาธารณสุข และร่วมมือกันปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“เรื่องของปราสาทพระวิหาร ผมไม่แน่ใจว่า ทำไมคนไทยถึงปล่อยให้คดีปราสาทพระวิหาร หลอกหลอนเรานานขนาดนี้ จนกระทั่งปิดประตูตายในทุก ๆ เรื่องที่เจรจากับกัมพูชา ผมคิดว่า ข้อเจรจาของกัมพูชา fair เพราะถ้าเราตกลงกันเอง ไม่ได้คุยกันไม่รู้เรื่อง JBC ชุดนี้ภายใต้ MOU43 ผ่านมา 25 ปีแล้ว ทำการปราบและสำรวจเขตแดนยังได้ไม่ถึงครึ่งของทั้งหมดที่มีอยู่ 798 กิโลเมตร แต่ทำได้นิดเดียว ซึ่งจะทำก็ได้ถ้ามี Spirit ที่จะทำ แต่ที่ผ่านมาพอเกิดเหตุการณ์ปะทะ เราก็ไม่ทำหรือทะเลาะกันได้ง่ายเกินไป”
ประเด็นต่อต้านกัมพูชาถูกโหมตั้งแต่ปม “เกาะกูด”
สุภลักษณ์ บอกว่า ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีการโหมเรื่องเกาะกูด ต่อต้านกัมพูชาไม่อยากให้เจรจา กรณีการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน หรือ OCA ก็เลยลุกลามมาเรื่อย ๆ ก่ออารมณ์แบบนี้ ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม ที่อีกฝ่ายขึ้นไปร้องรำทำเพลง เราก็คิดว่า เป็นเรื่องใหญ่โตโพนทะนา เรื่องนี้ออก Social Media ใหญ่โตก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา ต่อมาก็เคลื่อนย้ายไปที่ศาลาตรีมุข ที่ช่องบก ซึ่งเกิดเหตุไฟไหม้เพราะมีคนไปเผา หรือลุกลามมาจากที่ไหนไม่ทราบ มีข่าวออกมาไม่ค่อยตรงกัน แรก ๆ บอกว่า ทหารกัมพูชามาเผา ไป ๆ มา ๆ กระทรวงกลาโหม และกองทัพบกแถลงว่า ไฟไหม้แถวนั้น ไม่มีใครเผา และลุกลามมาถึงศาลาตรีมุข นานไปพอมีปัญหา ก็บอกว่า ฝ่ายกัมพูชาเป็นคนเผา ตกลงใครเผากันแน่ เกิดเหตุอะไรขึ้น เรายังไม่ทราบ ต่อมาเรื่อย ๆ มีการเผยแพร่ภาพของการขุดคูเรต ความเห็นของผมดูเหมือนจะเป็นคูหลอกไม่ใช่คูเรตอะไร แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยไม่ทำให้ชัดเจนว่า ตกลงอยู่ตรงไหนใครขุดอะไร เพราะความจริงเรามี MOU43 อยู่
แนะ “รัฐบาล-กองทัพ” รายงาน-ประท้วงปมกัมพูชาอย่างเปิดเผย
สุภลักษณ์ เห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลไทย และกองทัพไทยควรต้องทำนั้น กองทัพควรรายงานขึ้นไปตามขั้นตอนว่า มีการมาเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ทำให้เกิดผลกระทบ ผิดต่อข้อตกลงปี 2543 ซึ่งรัฐบาลไทยควรที่จะสืบสาวราวเรื่องให้ได้ว่า พื้นที่นั้นอยู่ตรงไหน มีการขุดจริงหรือไม่ ใครเป็นคนขุด ก็ทำการแจ้งและประท้วง ไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเปิดเผย เพราะเรื่องนี้ต้องทำอย่างเปิดเผยว่า กัมพูชาดำเนินการขัดกับ MOU2543 เพราะพรมแดน มีปัญหาอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะหยิบจุดไหนขึ้นมาเท่านั้น เช่น ไทย กับ สปป.ลาวกรณีบ้านร่มเกล้าตั้งแต่ปี 2527 และปี 2530 เรื่องยังไม่จบ อยู่ที่ว่า จะเอามาพูดกันวันใด ถ้าไม่พอใจ สปป.ลาวอาจหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นได้ เป็นต้น ส่วนกรณีไทยกับเมียนมา มีเขตแดนยาวถึง 2,000 กว่ากิโลเมตร ทำไปได้ 100 กว่ากิโลเมตร หาหลักเขตแดนก็ไม่เจอไม่เรียบร้อยสักจุดเดียว ฉะนั้น ถ้าหากจะหยิบจุดไหนขึ้นมาเพื่อสร้างอารมณ์ก็ทำได้หมด
“ไม่เชื่อสาเหตุมาจากปมการเมืองเขมร”
ส่วนกรณีที่มีการมองทุกครั้งที่กัมพูชามีปัญหาเรื่องการเมืองภายในประเทศ จะดึงกระแสมาทางประเทศไทยนั้น สุภลักษณ์ บอกว่า ตนไม่ค่อยเห็นด้วยทั้งหมด เพราะตอนนี้กัมพูชา ไม่มีปัญหาการเมืองภายใน รัฐบาลพรรคประชาชนกำปงเจีย ของสมเด็จฮุนเซ็น และฮุนมาเนต ครองเสียงข้างมากเกือบจะเบ็ดเสร็จในสภา พูดได้เลยว่า ประเทศกัมพูชาไม่มีฝ่ายค้านเป็นตัวเป็นตน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในต่างประเทศเพราะถูกยุบพรรคกำจัดไปจนเหี้ยนแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยซ้ำไป ฉะนั้น ที่คิดว่าเกิดปัญหาการเมืองภายในกัมพูชาจริง ๆ ผมยังมองไม่ออก
สุภลักษณ์ ยังบอกว่า การถ่ายโอนอำนาจในพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ช่วงที่ผ่านมาเมื่อปี 2566 ก็เป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าจะเห็นข่าวระหองระแหงระหว่าง 3 Section ระหว่างตระกูลฮุน, ตระกูลเตีย และตระกูลซอ ที่คุม 2 – 3 อย่างอยู่ด้วยกัน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ คือ ลูกชายทั้ง 3 ตระกูล ขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อหมดคือ ลูกชายฮุนเซ็น เป็นนายกรัฐมนตรี ,ลูกชายซาร์ เข่ง เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ และลูกชาย เตีย บัน เป็นรัฐมนตรีกลาโหมแทนพ่อก็จบไม่มีอะไรขัดแย้งกัน
เชื่อ “ฮุนเซ็น” จับทางรบ.ไทยออก
“ผมคิดว่ารัฐบาลไทยแสดงความอ่อนแอ ให้รัฐบาลกัมพูชาเห็นเป็นปัญหาแรก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไม่ราบรื่น สมเด็จฮุนเซ็น เป็นคนที่ติดตามการเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และมีส่วนร่วมแทรกแซงด้วยในบางเวลา รู้ดีว่า การกลับไปของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ไปทำดีลมา แต่ดีลครั้งนี้ไม่แข็งแรง เพราะกองทัพไทย ไม่เคยไว้วางใจพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อย จะสังเกตว่า การเมืองนโยบายที่เป็นทางการทหาร รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่กล้าออกคำสั่งใด ๆ ให้กองทัพปฏิบัติเลย มีแต่ฟังว่า แล้วแต่กองทัพจะว่าอย่างไร แม้แต่การปิดด่าน เป็นความคิดริเริ่มของกองทัพ รัฐบาลจึงทำตามใจกองทัพ ซึ่งฮุนเซ็นมองออก และเห็นว่า ความเป็นเอกภาพนี้เป็นจุดอ่อน เขาก็เริ่มสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อโจมตีจุดอ่อนที่สำคัญสุด”
นอกจากนี้ ทั้งกองทัพ และรัฐบาลไม่ค่อยเป็นมืออาชีพในการดำเนินนโยบาย ไม่สามารถตกลงกันได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องทางยุทธวิธีที่กองทัพจะต้องจัดการดูแล เรื่องไหนเป็นยุทธศาสตร์ที่รัฐบาล จะต้องจัดการดูแล เรื่องไหนเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ และการทูต ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเช่นกัน ทำให้เกิดจุดอ่อน และการปฏิบัติที่ไม่มีเอกภาพ ไขว้เขวสับสนในบางเวลา ทั้งข้อมูล และแผนงานที่จะทำก็ไม่ชัดเจน ทำให้กัมพูชา เป็นฝ่ายรุกตลอดเวลา ขณะที่ ไทยเป็นฝ่ายตั้งรับตลอดเวลา
“แนะ วางอคติ ชี้ช่อง นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยหาทางออก ปม เขตแดน”
สุภลักษณ์ บอกว่า ในอนาคตตนอยากให้ประเทศไทย รัฐบาลไทย ทหารไทย และประชาชนคนไทย พิจารณาว่า ในความสัมพันธ์ 100% เรื่องเขตแดนจุดเล็ก ๆ บนแผนที่ เราสามารถจัดการกันได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เรามีดาวเทียม, มี GPS, มีแผนที่ชุดใหม่ ๆ แต่ต้องตกลงในบรรยากาศที่ดี ยืดหยุ่นและอะลุ่มอล่วยกันให้ได้ก่อน แต่ถ้ามาเริ่มต้นว่า กัมพูชาจะยึดดินแดนไทย เราต้องเสียไปไม่ได้ ชาตินี้จะอยู่กันแบบนี้
“ผมคิดว่าทั้ง 2 ฝ่ายควรที่จะละวางอคติที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ให้มันหมดไป ตอนนี้เราเข้ามาสู่ทศวรรษที่ 3 ของศตวรรษที่ 21 แล้ว ทำไมเรายังทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ไม่ได้เลย มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่มันเกิดขึ้นมาเป็น 100 ปีแล้ว” สุภลักษณ์ กล่าว
“เขมรด้อยกว่าไทยหลายเรื่องแต่มีเอกภาพกว่า เชื่อ ไม่คิดฮุบดินแดนไทย งง ไทยไม่ใช้เวทีสากลจัดการปัญหา”
สุภลักษณ์ บอกว่า กัมพูชาผ่านสงครามครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอด แล้วก็เป็นประเทศเล็กนิดเดียว เล็กกว่าไทยหลายเท่า ทั้งในแง่ขนาดภูมิประเทศ, ประชากร, เศรษฐกิจ, กองทัพ จินตนาการง่าย ๆ ตนนึกไม่ถึงว่ากัมพูชา จะบุกประเทศไทย หรือฮุบดินแดนไทยได้อย่างไร ด้วยขนาด และความสามารถไม่มีทางเลย ขณะที่ ฮุนเซ็น สร้างประเทศของเขาจากเถ้าถ่านของสงครามด้วยความช่วยเหลืออย่างแข็งขันของกลุ่มอาเซียน, ประเทศไทย และสหประชาชาติ ต้องไม่ลืมข้อนี้ด้วย เวลาเขามีปัญหา ก็จะให้เวทีสากลจัดการ เขาเก่งเรื่องนี้แล้วประเทศไทยก็เป็นตัวตั้งตัวตีที่ให้เอาปัญหาของกัมพูชา ไปพูดกันที่ UN ไปพูดกันที่อาเซียน แต่พอเวลาไทยมีปัญหากับกัมพูชา ทำไมเราถึงละเลยเครื่องมือที่เราเคยใช้ อยากให้คิด และตระหนักให้ดีว่า แม้ว่า ปัจจุบันกัมพูชาเป็นประเทศเล็ก แต่ความเป็นเอกภาพของเขาเป็นต่อเรามาก กองทัพกัมพูชาปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยมือของฮุนเซ็น
คนไทยควรใช้สติ รู้เขา-รู้เรา – หนุนใช้เวทีระหว่างประเทศ
สุภลักษณ์ บอกว่า กองทัพกัมพูชาในอดีต ที่กองทัพทหารไทยเคยมีส่วนร่วมและมี Connection ได้สลายไปแล้ว คือ กองทัพเขมรแดง และเขมร 3 ฝ่าย ฝ่าย Royalist Army ของกัมพูชาไม่หลงเหลืออยู่เลย Connection ของไทยที่มีอยู่ในกัมพูชา ผ่านคนที่พูดไทย ซึ่งไม่ได้มีอำนาจ คือ “ตระกูลเตีย” แม้ว่า คุมกลาโหมก็จริง แต่ไม่ได้คุมกองทัพ ฉะนั้น อาจจะต้องดูว่า เรามีอะไร Access ในกัมพูชาบ้าง ก่อนที่เราจะรบกับกัมพูชา เราต้องเข้าใจตรงนี้และดูว่ากัมพูชามีอะไรที่ Access ในประเทศไทยบ้าง ตรงนี้ต้องหาให้เจอ ผมอยากให้คนไทยทั่วไปใช้สติปัญญากับเรื่องนี้ให้มากขึ้น กลไกระหว่างประเทศ ผมคิดว่าเป็นกลไกที่แฟร์ เราสามารถใช้ได้ ถ้าเราเชื่อว่า นักกฎหมายเราเก่ง หรือถ้าเราเชื่อว่า เรามีความรู้ และฉลาดกว่าคนกัมพูชา ผมคิดว่าไปสู้กันในเวทีระหว่างประเทศเลย

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00 – 12.00 น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5