“การประสานการทำงานของผู้ว่าฯธปท.คนใหม่กับรมว.คลังและรัฐบาล จะต้องเหมือนร้องเพลงคีย์เดียวกัน ไม่ได้หมายความว่ายอมตามรัฐบาลทุกเรื่อง แต่อาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยรัฐบาลมากขึ้น”
“นครินทร์ ศรีเลิศ หัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ-นโยบาย กรุงเทพธุรกิจ” ให้มุมมอง “การสรรหาผู้ว่าการการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ คนที่ 22” ที่มีผู้เสนอตัวถึง 7 คน ผ่าน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า การเปิดตำแหน่งสำคัญอย่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผู้สมัครถึง 7 คน น่าดีใจที่ประเทศ ยังมีคนเก่ง ที่พร้อมจะเข้าทำงานเพื่อส่วนรวม เพราะตำแหน่งนี้ มีความกดดันสูงมาก และแต่ละคน Profile ดีทั้งนั้น และคิดว่า สาเหตุหนึ่งที่คนเข้ามาสมัคร คือ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขที่ตายตัวเกินไป เช่น ต้องมีเรื่องความรู้ความสามารถ ต้องมีความเชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน การธนาคาร มีความรู้เข้าใจนโยบายการเงิน นโยบายกำกับดูแลสถาบันการเงิน นโยบายเกี่ยวกับระบบการชำระเงิน หรือต้องบริหารหน่วยงานธนาคาร หรือมี Market Cap กี่หมื่นล้าน ไม่ได้ไปลงรายละเอียดตรงนั้น แต่มีความรู้ความสามารถ หรือประสบการณ์ด้านอื่น ที่เป็นประโยชน์ในการทำหน้าที่ผู้ว่าฯ ธปท. ซึ่งทั้ง 7 คน มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ และการเงิน แม้ว่า ประสบการณ์ทำงานแตกต่างกันไป จึงมีภาษีเท่ากันหมดในการที่จะเข้าสู่การสมัครซึ่ง วันที่ 20 มิถุนายนนี้ ผู้สื่อข่าว ก็น่าจะรู้แล้วว่า ใครบ้างที่จะเข้ารอบ การแสดงวิสัยทัศน์ในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันแสดงวิสัยทัศน์ ตนคิดว่า วันนั้นน่าจะจับตา แต่ไม่รู้ว่าใน 7 คน จะได้รับเลือกเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์กี่คน ซึ่งรายชื่อที่จะต้องเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มี 2 ชื่อ เมื่อเหลือ 2 ชื่อ ก็จะรู้แล้วว่า ใครเต็งมากกว่ากัน และก็จะรู้ว่า กรรมการให้น้ำหนักไปทางไหน
“ผู้ว่าฯ ธปท. 1 ในเสาหลักเศรษฐกิจ”
“ตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. เป็น 1 ในเสาหลักของเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการเงินทั้งหมดต้องดูว่า ผู้ว่าฯ ธปท.มีมุมมองอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยตอนนี้ มีหลากหลายด้านมาก เช่น คณะกรรมการ ที่ร่วมประชุมกับรัฐบาล เรื่องการกำหนดกรอบนโยบาย เรื่องการทำงบประมาณแต่ละปี และความเห็นต่าง ๆ ที่จะออกมาในช่วงที่รัฐบาล จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การกำหนดกรอบเงินเฟ้อแต่ละปี ก็เป็นทิศทางหลัก ๆ ของเศรษฐกิจ ซึ่งหน่วยงานที่ทำเรื่องนโยบายการเงิน จะช่วยเศรษฐกิจอย่างไร การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กับผู้ว่าฯ ธปท.จึงจำเป็นมากในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องดำรงความเป็นอิสระในการทำงาน ฉะนั้น การที่นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียกผู้ว่าฯ ธปท.มาคุย ก็จะเกิดความตื่นตัวขึ้นในสังคม และสื่อมวลชน ก็จะมากันเยอะมาก แม้จะรู้ว่า โอกาสได้สัมภาษณ์น้อย เพราะปิดห้องคุยกันแต่ก็รู้ว่าไม่ปกติ” นครินทร์ กล่าว
“บทบาทผู้ว่าฯ ธทป.คอยชี้แนะ-เป็นบันไดลงให้รัฐบาล”
นครินทร์ อธิบายว่า วาระของผู้ว่าฯ ธปท. 5 ปีเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมา ได้เห็นบทบาทของผู้ว่าฯธปท.คนปัจจุบัน คือ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ให้ความเห็นหลายเรื่อง เป็นการไกด์ไลน์รัฐบาล เช่น นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ การแจกเงิน Digital Wallet ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย มีจุดยืนว่า กระตุ้นแบบนี้ไม่ยั่งยืน ควรนำเงินไปทำอย่างอื่นมากกว่า จึงจะเกิดผลต่อเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลต้องลงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ใช้ความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นบันไดในการลงว่าควรนำเงินจำนวน 1.57 แสนล้านบาท ไปดำเนินการผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐมากกว่า
“แม้จุดยืนผู้ว่าฯ ธทป.ต่างรัฐบาล แต่เป้าการทำงานไม่แตกต่างร้องเพลงคีย์เดียวกัน”
นครินทร์ บอกว่า เป้าเรื่องการทำงานเศรษฐกิจความจริงแล้ว เป้าหมายของรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ต่างกัน คือ ต้องการให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตแข็งแรง แต่กรอบระยะเวลาในการมองแตกต่างกัน เพราะรัฐบาล มีกรอบระยะเวลาการทำงาน 4 ปี แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย มองเรื่องของเสถียรภาพยาวกว่า ฉะนั้น บางทีจุดยืนของทั้งผู้ว่าฯ ธปท.กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือนายกรัฐมนตรี อาจจะดูว่าไม่ตรงกันเสียทีเดียว
“การประสานการทำงานของผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐบาล จะต้องเหมือนร้องเพลงคีย์เดียวกัน ไม่ได้หมายความว่า ยอมตามรัฐบาลทุกเรื่อง แต่อาจจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยรัฐบาลมากขึ้น ในเรื่องของนโยบายการคลัง ในการทำนโยบายการเงิน ดูสภาพคล่องและสินเชื่อ คงจะต้องเข้ามาช่วยดูตรงนี้มากขึ้น” นครินทร์ กล่าว
“ผู้สมัครผู้ว่าฯ ธปท.แต่ละคนมีแรงหนุนหลัง”
ส่วนที่มองว่าผู้สมัครผู้ว่าฯ ธปท.บางคน มีความใกล้ชิดกับการเมืองนั้น นครินทร์ บอกว่า เราจะดูในมิติไหน เอาเป็นว่า คนที่ได้รับการสนับสนุนจากการเมืองปัจจุบัน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้สนับสนุน ก็มาสมัครในช่วงโค้งสุดท้าย มาจากธนาคารของรัฐคน 1 ส่วนคนที่ได้รับการสนับสนุนจากที่ปรึกษาของรัฐบาลก็มี 1 คน เรียกได้ว่า แต่ละคนก็จะมีแรงสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
ส่วนคนที่การเมืองที่ทุกคนรู้ คือ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นนายแบงค์มาตลอด และเป็นอดีตลูกหม้อธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
ส่วนคนที่ดูแล้วว่าจะปลอดการเมือง คือ นางรุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการฯ ธปท.ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท.ซึ่งเป็นคนในลงสมัคร
ขณะที่ นางสาวสุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล จำกัด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง กับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
นครินทร์ ยังบอกว่า รัฐบาลก็อยากได้คนที่พูดคุยกันได้ด้วยความเข้าใจ ถ้าเราไปดูขั้นตอนของการรับสมัคร ถามว่าการเมืองเกี่ยวอย่างไรนั้น ก็ต้องแต่การตั้งคณะกรรมการคัดเลือก ตอนนี้เรากำลังจะได้ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนตั้งคณะกรรมการคัดเลือก จากนั้นคณะกรรมการคัดเลือกจะต้องเลือก เมื่อแล้วเสร็จ ก็ต้องส่งชื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2 ชื่อ เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ครม.จะเลือก 1 ชื่อ เพื่อทูลเกล้าฯ รายชื่อ ซึ่งไทม์ไลน์ออกมาชัดเจนแล้วว่า ผู้ว่าฯธปท.คนปัจจุบัน จะครบวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568 ดังนั้น 7 รายชื่อที่เสนอเข้ามา ต้องแสดงวิสัยทัศน์วันที่ 24 มิถุนายนนี้ จากนั้นไม่เกินวันที่ 2 กรกฎาคม จะเสนอชื่อต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่กับคนเก่าจะต้องส่งมอบงาน
“การเมืองมีส่วนสำคัญ หนุนผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่”
นครินทร์ บอกว่า ผมสัมภาษณ์ผู้สมัครแคนดิเดตผู้ว่าฯ ธปท.แต่ละคน จะรู้ว่า เหตุผลในการที่จะได้รับตำแหน่ง การเมืองมีส่วนสำคัญในการสนับสนุน เพราะเรารู้กันอยู่แล้วว่า การตั้งกรรมการสรรหา ก็มาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมาจากพรรคการเมือง จึงปฏิเสธไม่ได้ แต่การเลือกและได้คนที่มาทำงานแล้ว ซึ่งตนพูดอย่างตรงไปตรงมา และทุกคนก็รู้ว่า ผู้ว่าฯ ธปท.คนปัจจุบัน ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีการขยายระยะเวลาในการรับสมัคร เพราะไม่มีคนมารับสมัคร สุดท้ายแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ทาบทาม นายเศรษฐพุฒิ มาสมัครในวันสุดท้าย
“รัฐบาลและกรรมการฯ มีส่วนสำคัญในการเลือกผู้ว่าฯ ธปท.แต่เวลาท่านดำรงตำแหน่งแล้ว ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย เกิดจากการทำงาน แม้ว่าการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ได้คนที่รัฐบาลมั่นใจว่า ทำงานด้วยได้ มีแนวความคิดนโยบายไปในทิศทางเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพอท่านดำรงตำแหน่งแล้ว ท่านจะไปคำนึงถึงที่มาจากการเมือง ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นจุดสำคัญและก็มีการพิสูจน์ ให้เห็นมาหลายครั้งแล้ว ว่าการทำงานของผู้ว่าฯธปท.ทุกคนมีความเป็นอิสระ รัฐบาลสั่งได้ยากและสั่งไม่ได้เพราะความเป็นอิสระนั้นสำคัญ” นครินทร์ กล่าว
นครินทร์ บอกว่า ดร.รุ่ง ให้สัมภาษณ์ประชาชาติธุรกิจ บอกว่า เรื่องที่ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่จะต้องเจอ คือ การปรับ Credit Rating ซึ่งประเทศไทยโดนปรับ Outlook ลงไป 1 Step ทำให้มีโอกาสที่ไทย จะโดนปรับ Credit Rating ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ และภาคธุรกิจ เพราะต้นทุนทางการเงินจะสูงขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ถ้าผู้ว่าฯ ธปท.ไม่มีความเป็นอิสระเพียงพอต่อการเมือง จะทำให้มุมมองตรงนั้น โดนลดCredit Rating ลงได้ ฉะนั้น รัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะต้องระมัดระวัง
นครินทร์ บอกว่า ขณะที่ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ( NPL) สูงและขยับอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งนโยบายการเงิน ก็ต้องเข้ามาช่วยนโยบายการคลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีผู้ว่าฯ ธปท.เป็นประธาน คงจะต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบมาก ๆ โดยในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ จะมีการประชุม ตลาดก็มองว่า คงจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง อีกประมาณ 0.25% เป็น Basis point แต่ก็อาจจะลดลงได้อีก อย่างไรก็ตามทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่มีอยู่ คงต้องมานั่งดูกันดีๆว่าจะใช้อะไรในช่วงไหน
“ความผันผวนทางเศรษฐกิจ: โจทย์หินผู้ว่าแบงก์ชาติ”
นครินทร์ บอกว่า สิ่งที่ท้าท้าทายผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ คือ ตอนนี้โลกไม่ค่อยปกติ และส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทยโดยตรง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา World Bank ปรับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยลงมาเหลือปีนี้ 1.8% ปีหน้า 1.7% เป็น 2 ปีที่เศรษฐกิจของไทยโตไม่ถึง 2% ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะมีอะไรตามมาอีกเยอะในทางเศรษฐกิจ เช่น ผู้ประกอบการการจ้างงาน SME จะอยู่อย่างไร เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี Buffer ต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องของการคลังในประเทศไทยก็ได้แข็งแรง หมายความว่า เรากำลังมีเพดานหนี้สาธารณะที่สูงมากตอนนี้ใกล้แตะ 70% แล้ว นอกจากนี้ ภาพรวมหนี้ของประเทศก็สูง ส่วนหนี้ครัวเรือนของประชาชน แม้ว่า จะต่ำลงมาอยู่ที่ 89% ต่อ GDP แต่เราก็สบายใจไม่ได้
นครินทร์ บอกว่า นอกจากนี้ ตะวันออกกลางก็มีการสู้รบกัน Goldman Sachs คาดการณ์แล้วว่าอัตราราคาน้ำมันจะทะลุขึ้นถึง 100-130 ดอลลาร์สหรัฐ/บาเรล หมายความว่า ตอนนี้อัตราเงินเฟ้อในประเทศต่ำ อาจจะขยายตัวไม่ได้เลยในปีนี้ ซึ่งล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ มองว่า อาจจะขยายตัวได้ต่ำมาก ๆ และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กกร.) มองว่า อาจจะเห็น 0% ก็ได้ พอราคาน้ำมันสูงขึ้น และเงินเฟ้อสูงอีก เราจะกดอัตราดอกเบี้ยลงมาตอนนี้ได้หรือไม่ ตรงนี้เป็นความไม่แน่นอนหลายเรื่อง ที่กำลังรอในช่วงที่จะเปลี่ยนผ่านผู้ว่าฯ ธปท.ต้องเข้ามารับช่วงทำงานที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังผันผวนมาก ๆ ซึ่งคงต้องดูจังหวะ และดูเครื่องมือให้ดี เพราะเรามีข้อจำกัดในเรื่องของกระสุน ทางด้านของนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน ความสำคัญครั้งนี้ คนที่จะเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร บนพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ และความไม่แน่นอนของโลก
“ชื่นชมแคนดิเดตทั้ง 7 คน”
นครินทร์ บอกว่า ส่วนตัวตนชื่นชมทุกคน และรู้สึกว่าประเทศมีความหวัง เพราะแต่ละคนมี Profile ดี ทำงานดี ผ่านการศึกษาระดับสูงมาทั้งนั้น ถือว่าประเทศมีคนเก่งอีกเยอะ เพราะการเปิดรับสมัครแบบนี้ หลายคนจะต้องลาออกจากตำแหน่งเดิม เท่ากับเสียสละ ฉะนั้น ใครมานั่งตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.ตอนนี้ ต้องยอมรับว่า เหนื่อยเพราะมีหลายเรื่องที่รออยู่ และเป็นเรื่องที่เป็นความเสี่ยงทั้งนั้นของระบบเศรษฐกิจประเทศ

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5