“ระยะเวลาที่เหลือของรัฐบาลแน่นอนว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ยุบสภาไม่ลาออกแต่ต้องการปรับครม.ใหญ่เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองในช่วงเวลาที่เหลือตรงนี้เป็นการได้เสียทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยว่าจะมีผลงานชิ้นโบว์แดงอะไรออกไปขายในการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งวิกฤตภาวะผู้นำนี้เป็นโจทย์สำคัญของพรรคเพื่อไทยเพราะวอร์รูมเพื่อไทยประเมินแล้วว่าถ้ายุบสภาตอนนี้เลือกตั้งกลับมาพรรคเพื่อไทยแพ้แน่นอน”
“ปราเมศเหล็กเพ็ชร์ ผู้สื่อข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” วิเคราะห์ “ฮุนเซนเอฟเฟคสะเทือนวิกฤติศรัทธารัฐบาล!” จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และกรณีที่ปรากฏคลิปเสียงระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย และอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน ผ่าน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า สถานการณ์ประเทศกัมพูชา ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ และการเมืองในประเทศ ซึ่งกัมพูชามีปัญหาการเมืองภายในประเทศตั้งแต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้ว่า “ฮุน มาเนต” จะชนะการเลือกตั้ง แต่ผลการเลือกตั้ง ยังค้านสายตาของนักการเมืองฝ่ายค้านในกัมพูชา และกัมพูชาใกล้เลือกตั้ง ดังนั้น เมื่อมีปัญหาภายในประเทศ “กระแสชาตินิยม” ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ที่นิยมนำมาใช้บริหารจัดการทางการเมือง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องรอดู เพราะไม่มีใครประเมินได้ นอกจาก “ประชาชนชาวกัมพูชา”
“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ปัจจัยสัมพันธ์สะบั้น”
ปราเมศยังมองว่า เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลไทยเร่งเดินหน้า ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแตกสะบั้น เพราะรายได้จากธุรกิจตรงนี้ของกัมพูชาเช่นกัน ส่วนกรณีเรื่องอื่น ๆ น่าจะซับซ้อนมากกว่านี้ เชื่อว่า ฮุน เซน กุมความลับของนักการเมืองไทยบางคนไว้ รวมถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย
“ความมั่นคงโยงการเมืองไทย-ปมชายแดนเป็นตัวเร้า”
ปราเมศยังบอกว่า มีเรื่องที่ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา คือ มิติความมั่นคง ที่เกี่ยวโยงกับการเมืองไทย ซึ่งมีส่วนได้เสียทางการเมือง และเชื่อว่า เมื่อถึงเวลา ถ้าเปิดออกมาตามที่มีการประเมินกัน น่าจะเป็นการแตกหักกันของ 2 ตระกูลนี้ ดังนั้น การกุมความลับเรื่องความมั่นคงสำคัญมาก แต่เชื่อว่า เร็ว ๆ นี้จะมีการเปิดออกมา เพราะสถานการณ์ตามแนวชายแดน เป็นตัวเร่งเร้า และอยู่ในช่วงเปราะบาง
สัมพันธ์ “ชินวัตร-ฮุนเซน” เบื้องหน้าสะบั้นจับตา! สายลับเขมรแฝงไทย”
ปราเมศให้มุมมองความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และ “ตระกูลชินวัตร” กับ “ตระกูล ฮุน” หลังจากนี้ว่า ยังไม่รู้อะไรลึกกว่านั้น และที่แน่ ๆ คือ มี “สายลับสองหน้าของกัมพูชา” อยู่ในประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งฝ่ายความมั่นคงคงตัดสินใจแล้วว่า จะทำอะไร เพราะถือว่าบุคคลนี้เป็นอันตรายต่อมิติความมั่นคง และรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศมาก ตรงนี้ก็มีการตั้งข้อสังเกตในมิติความมั่นคง แต่ดูแล้วก็เป็นปมหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา
“หน้าฉากความขัดแย้งของ 2 ตระกูลจริงหรือไม่แต่หลังฉากที่ทับซ้อนกันตรงนี้เราไม่รู้อาจจะไม่แตกก็ได้ต้องดูกันยาวๆดูไปจนถึงการเลือกตั้งของกัมพูชาแล้วเสร็จดูไปถึงปัญหาแนวชายแดนแล้วเสร็จถึงจะชี้ได้ว่าแตกกันจริงหรือเปล่าใครจะไปรู้นอกจาก 2 ตระกูล”
รบ.ผ่านฮุนเซนเอฟเฟคได้-แต่เหนื่อย “นิติสงคราม” แน่
ส่วนกรณีรัฐบาลถูกสั่นสะเทือนจาก “ฮุนเซนเอฟเฟค” นั้น “ปารเมศ” เชื่อว่า รัฐบาลจะผ่านไปได้อยู่แล้ว แต่หลังจากยุบสภาแล้ว หรือนายกรัฐมนตรีลาออก หรือถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ตอบเลยว่า เหนื่อยสำหรับพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ตามระบบถ้ารัฐบาล ไม่ลาออกหรือไม่ทำอะไร ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรรัฐบาลได้ นอกจากใช้กลไกของนิติสงคราม หรือถ้าผลงานไม่มี ซึ่งพรรคเพื่อไทยหาเสียงบอกว่า จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจแต่เมื่อกู้ไม่ขึ้น ก็ไม่รู้จะไปตอบกับชาวบ้าน หรือตอบโหวตเตอร์ในการหาเสียงอย่างไร บวกกับเจอเรื่องกระแสชาตินิยมเข้าไปอีก ก็จะติดลบเข้าไปใหญ่ คงรอดูรัฐบาลแก้เกมก่อนว่า หลังจากปรับ ครม.ใหญ่แล้ว จะเป็นอย่างไร
“ระยะเวลาที่เหลือของรัฐบาลแน่นอนว่านางสาวแพรทองธารจะไม่ยุบสภาและไม่ลาออกแต่ต้องการปรับคณะรัฐมนตรีใหญ่เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของตัวเองในช่วงเวลาที่เหลือของวาระรัฐบาลตรงนี้เป็นการได้เสียทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยว่าจะมีผลงานชิ้นโบว์แดงอะไรออกไปขายในการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งวิกฤตภาวะผู้นำตรงนี้เป็นโจทย์สำคัญของพรรคเพื่อไทยเพราะวอร์รูมเพื่อไทยประเมินแล้วว่าถ้ายุบสภาตอนนี้เลือกตั้งกลับมาพรรคเพื่อไทยแพ้แน่นอนเท่ากับว่าไม่พร้อมเลือกตั้ง ดังนั้น 8 เก้าอี้ของพรรคภูมิใจไทยจะเป็นเค้กแห่งผลประโยชน์ถ้าบริหารจัดการดีก็จะตกกับประชาชนแต่ถ้าบริหารจัดการไม่ดีก็จะตกให้กับฝ่ายการเมืองตรงนี้ก็จะเป็นตัวซ้ำวิกฤตให้กับพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีอะไรจะขายได้ด้วย” ปารเมศ กล่าว
“แจกเก้าอี้รมต.-ชิงงูเห่า” แก้โจทย์รัฐบาลเสียงข้างน้อย
ปราเมศยังบอกว่า อีกเรื่องที่พรรคเพื่อไทยประเมินไว้ ก่อนที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะประชุมและตัดสินใจ คือ หากพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวแล้วต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็จะเดินต่อไปอีกหน่อย เพราะสามารถประคองไปได้ ช่วงเปิดประชุมสภา คือ 3 กรกฎาคม 2568 และจนกว่าจะมีกฎหมายสำคัญ คือ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์ เข้าสภา ถึงจะมีส่วนได้เสียทางการเมือง แต่วิธีการที่แง้มให้เห็นแล้วว่า ไพ่ตัวที่พรรคเพื่อไทยมี คือ งูเห่ากลุ่มต่าง ๆ ที่จะดึงมา ขณะที่ พรรคร่วมรัฐบาลก็จัดสรรตำแหน่งสำคัญ ๆ กันไป โดยเฉพาะกรทรวงมหาดไทย ที่เพื่อไทยต้องการวางกลไกปกครองทั้งหมดที่พรรคภูมิใจไทยเคยวางไว้ จึงต้องปรับใหญ่ เพื่อที่จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง แต่บางตำแหน่ง เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่าง ๆ อาจจะเป็นตัวที่ดึงดูดที่หอมหวานให้กับงูเห่าต่าง ๆ ที่จะรวมกลุ่มกันได้ 6 – 7 คน แล้วเอาไป 1 เก้าอี้เข้ามาเสริมทัพให้รัฐบาลได้
“ถ้าไม่ไหวจริงๆอาจจะเปลี่ยนตัวแล้วเซตรัฐบาลใหม่เพราะยังมีตัวแปรคือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคนในพรรคเพื่อไทยถ้าสถานการณ์บีบแล้วไปสู่จุดนั้นอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ได้พรรคเพื่อไทยอาจจะไปได้อำนาจตรงนั้นเพราะกำลังจะมีอีกส่วนคือรัฐบาลพิเศษเป็นรัฐบาลที่มาตามกลไกของรัฐธรรมนูญยังเป็นบัญชีนายกรัฐมนตรีตามกลไกรัฐธรรมนูญกำหนดหรือถ้าหนักเข้าอาจจะใช้ตามกลไกมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญก็ได้คือการใช้ช่องนำนายกรัฐมนตรีคนนอกเข้ามาก็เป็นไปได้ตรงนี้ผมไม่ได้คิดเองแต่มีคนที่คิดตามนี้หมดแล้วซึ่งพรรคเพื่อไทยก็รู้ตรงนี้คือกรณีที่สถานการณ์แรงสุดตามระบบของรัฐธรรมนูญ” ปารเมศ ระบุ
“ลุ้น! ฟัน 44 สส.พรรคส้ม - ถูรัฐบาลส่งท้าย 2 ปีพิสูจน์มือเพื่อไทย”
ปราเมศเห็นว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยมองไว้ คือ เดือนกรกฎาคม เมื่อเปิดประชุมสภาแล้ว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.จะออกมาฟันเรื่อง 44 สส.ของพรรคก้าวไกลเดิม โดยจะมี 25 สส.ของพรรคประชาชนอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้น ถ้าบวก-ลบ-คูณ-หาร เอาตัวเลขกลม ๆ 20 คน ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลแล้ว อัยการส่งฟ้อง ก็ทำให้ สส.กลุ่มนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เสียงตรงนี้ก็จะสามารถทำให้รัฐบาลถู ๆ ไถ ๆ หรือ ถูลู่ถูกัง ผ่านการพิจารณางบประมาณฯ 69 ไปได้ และไม่ต้องห่วงว่า เวลาอีก 2 ปีที่เหลือ การบริหารงานของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร เพราะ 2 ปีที่อยู่ ก็พิสูจน์แล้วว่า ไม่สามารถผลักดันนโยบายเป็นชิ้นเป็นอันได้ เนื่องจากว่า มีทั้งวิกฤตการเมือง, วิกฤติเศรษฐกิจต่าง ๆ ถาโถมรัฐบาลมาก ต่อให้รัฐบาลที่บริหารประเทศเก่งกว่านี้ ก็ยังเหนื่อย ถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ถึงได้บอกว่าเรื่องต่างๆ จะเป็นตัวพิสูจน์ศักยภาพของ “พรรคเพื่อไทย” และ “ตระกูลชินวัตร” ว่า จะเสื่อมทรุด หรือว่าเรืองอำนาจต่อไป
“ระทึก! 28 มิ.ย.ม็อบระดมพลผนวกนิติสงครามเขย่ารัฐบาล”
ปราเมศยังกล่าวถึงการรวมพลของมวลชนที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นตัวแปรสำคัญ คือ เรื่องของกระแสชาตินิยม และเรื่องของภาวะผู้นำ รวมทั้งเรื่องปกป้องอธิปไตยรวมกันอิลุงตุงนัง เท่ากับว่า วันที่ 28 มิถุนายนนี้ นี้จะสามารถชี้ทิศทางการเมืองได้ระดับหนึ่งเพราะหนักกว่าการชุมนุมครั้งแรก ที่ต่อต้านการนำกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์เข้าสภา และหลังจากเกิดปรากฏการณ์คลิปเสียงของ 2 ผู้นำประเทศ จะไม่ใช่แค่ภาคประชาชน แต่ว่ามีทั้งภาคการเมือง และ สว.ที่ขยับ มีการใช้กลไกนิติสงครามเข้ามา ซึ่งเป็นกลไกตามกฎหมายปกติ แต่ใช้แง่งทุกแง่งในกฎหมายเข้ามาจัดการผู้นำ และรัฐบาล ฉะนั้น นิติสงครามกับภาคประชาชนในครั้งนี้ จะเป็นอีกตัวแปร
“นิติสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นภาคประชาชนกำลังเคลื่อนไหวจะเป็นตัวกดดันแม้พรรคพรรคเพื่อไทยจะบอกแล้วว่าไม่ยุบสภาไม่ลาออกแต่ว่าตัวแปรที่ยังไม่ได้โชว์พลังตรงนี้กำลังจะสำแดงฤทธิ์เดชส่วนจะขนาดไหนไม่รู้ต้องรอให้เกิดก่อน”
“โชคดี! ผบ.ทบ.การันตีไม่รัฐประหาร”
ปราเมศบอกว่า กรณีที่ไม่มีใครอยากเกิด คือ วันที่พรรคภูมิใจไทยแอคชั่น ทุกคนกลัวว่า จะเกิดเหตุการณ์นอกระบบหรือไม่ ยังดีที่ผู้บัญชาการทหารบก ออกมายืนยันว่า ทหารมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและเรียกร้องให้คนไทยสามัคคี เพื่อที่จะจัดการกับปัญหานอกประเทศ ตรงนี้ทำให้กระแสการเมืองเบาลง และเดินสู่ระบบอีกครั้ง ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกองทัพ มาที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อมีภาพตรงนี้ออกไป ก็เลยทำให้เหตุการณ์นั้น เบาใจไปได้ ทำให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อปรับ ครม.ครั้งใหญ่ ส่วนจะสะดุดหรือไม่ ต้องรอดูช่วงการเปิดประชุมสภาฯ จะเป็นการเช็กกำลังกัน แต่ถ้ามองว่า ประเทศได้อะไร อันนี้ตอบไม่ได้ แต่ดูจากสถานการณ์หุ้นที่ร่วงลงมา ก็เป็นดัชนีชี้วัดอีกตัวหนึ่ง
“ภูมิใจไทย” จะอยู่หรือไป “เพื่อไทย” ก็เหนื่อย!
ส่วนกรณีพรรคภูมิใจไทยลาจากพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ปราเมศบอกว่า ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน เพราะมีถึง 69 เสียง ทำให้เสียงรัฐบาลจากท้วมท้น กลายเป็นปริ่มน้ำ และมีเสียงไม่สะเด็ดน้ำอีก ทำให้ต้องลุ้นระทึกทุกครั้งในการโหวตกฎหมายสำคัญ โดยเฉพาะกฎหมายที่รัฐบาลส่งเข้าไปพิจารณา จึงเป็นตัวแปร 1 ที่ทำให้รัฐบาลเหนื่อย หรือหากปล่อยให้ภูมิใจไทยคุมกระทรวงมหาดไทยอยู่ พรรคเพื่อไทยก็เหนื่อยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“ทักษิณเงียบดีต่อรัฐบาล”
ปราเมศบอกว่า การที่นายทักษิณเงียบนั้น เป็นเรื่องดี เพราะถ้าออกมาสถานการณ์จะแรงกว่านี้ เนื่องจาก สไตล์ของนายทักษิณเวลาพูดแต่ละครั้ง ประเด็นที่พูดแต่ละครั้งเวลาให้สัมภาษณ์ โอ้โห! ล่อสหบาทาทุกครั้ง! ซึ่งนายทักษิณก็รู้ และตามปกติ เมื่อนักการเมืองปราศรัยหรือให้สัมภาษณ์ เวลามีปัญหา นายทักษิณ ก็จะออกมาเป็นประจำ และสร้างแนวร่วมในการขย่มรัฐบาล ตนจึงคิดว่า นายทักษิณ ตั้งใจที่จะเงียบ ตั้งแต่เจอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เงียบมาตลอด จนมีคนบอกว่า คงนี้ออกนอกประเทศไปแล้ว จึงต้องออกมาการันตีให้เห็นว่า ยังอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่หนีไปไหน

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5