“สถานการณ์ตอนนี้เห็นแล้วว่าการเมืองเปลี่ยแปลงนเร็ว มีทั้งการเมืองสามก๊ก การเมืองสามเหลี่ยมมรณะแล้วแต่จะเรียก และโอกาสที่จะพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา” “ปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหารเนชั่นทีวี” วิเคราะห์ “ทักษิณน้อมรับผิด กู้วิกฤตพรรคเพื่อไทยได้จริงหรือ?” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า
“แม้วเข้าคุก เป็นกลยุทธ์เพื่อไทย หวังผลบวกเข้าตัว”
ปกรณ์ บอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยมียุทธศาสตร์ ที่จะทำให้เกิดภาพบวกกับตัวเอง อย่างการสร้างกระแสวีรบุรุษประชาธิปไตย เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเข้าเรือนจำตามที่ศาลสั่ง พรรคเพื่อไทยพลิกวิกฤตเป็นจุดขาย ซึ่งว่าเขาไม่ได้เพราะการที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำไว้และยอมรับความผิด ผมคิดว่าสังคมไทยพร้อมที่จะให้อภัย หากนายทักษิณกลับมาแล้ววางบทบาทดี เพราะแนวคิดวิสัยทัศน์ของนายทักษิณยังขายได้ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหญ่กลุ่มเจนเอ็กซ์ ที่ยังมีวิธีคิดหรือความหวังทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาผ่านโครงการใหญ่ๆเมกะโปรเจกต์ แต่หากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อาจจะยาก
.
“เข้าคุกแต่มีข่าวชิงพื้นที่สื่อตลอด”
ปกรณ์ บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจาก 3-4 สัญญาณที่เราเห็น และบทบาทของพรรคเพื่อไทยที่พยายามชูนายทักษิณว่าเป็นวีรบุรุษ ตั้งแต่เข้าไปในเรือนจำยังมีความเคลื่อนไหว มีคนออกมาพูดตลอดเวลาเพื่อชิงพื้นที่สื่อ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าตอนนี้ใช้ทุกเครื่องมือ นิติสงครามที่ตัวเองโดนมาไปเล่นงานคนอื่นด้วย การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตัวเองตีกรรเชียงมา 2 ปีซึ่งพูดกันตามตรงว่า เพื่อไทยไม่ได้จริงใจที่จะแก้ไขเพราะหากต้องการจะแก้จริงต้องทำได้ไปแล้ว หรือต้องมีความคืบหน้ามากกว่านี้
.
“จับสัญญาณแม้ว หลังเตรียมตัวอย่างดี”
ปกรณ์ บอกว่า หากดูสัญญาณที่ 1 โพสต์สื่อออนไลน์เกี่ยวกับนายทักษิณ แม้บอกเป็นทีมงานโพสต์แต่เป็นข้อความที่เตรียมไว้แล้ว ดูแล้วน่าจะยังไม่หยุดพร้อมมีบทบาททางการเมืองต่อไป ส่วนสัญญาณที่ 2 คือ เดินหน้าเข้าสู่เรือนจำรับผลจากคดีที่ศาลฎีกา มีการตั้งคณะไต่สวนและสุดท้ายต้องเข้าเรือนจำ ความจริงแล้วเป็นผลที่คาดการณ์ได้อยู่แล้ว เพราะทุกภาคส่วนที่เข้าฟังหรือมีข่าวการไต่สวนพยาน ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่านายทักษิณผิดแน่นอน แสดงว่าตัดสินใจมาแล้วถ้าหนีครั้งนี้ คงต้องหนีตลอดชีวิตไม่ได้กลับมา เพราะจะไปพัวพันกับการขอพระราชทานอภัยโทษต่างๆที่ผ่านมาด้วย ฉะนั้นการยอมรับผิดก็เพื่อที่จะออกมาให้หมดโซ่ตรวนที่จะล็อคนายทักษิณได้
.
“รอดูบทบาทแม้ว หลังออกคุก”
ปกรณ์ บอกว่า นายทักษิณกลับออกมาจะมี 2 ทางเลือก คือ อยู่นิ่งๆ มาเลี้ยงหลานตามที่เคยประกาศไว้ หรือจะยังคงมีบทบาททางการเมืองต่อไป แต่สิ่งที่พบเห็นและจากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดของนายทักษิณ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเมืองคือชีวิตของนายทักษิณ ส่วนตัวเชื่อว่ายังคงมีบทบาทเพียงแต่ว่าจะมีมากเหมือนกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือเป็นแค่เบื้องหลังที่ปรึกษาต้องติดตามดูต่อไป หากย้อนดูหลายคนที่ผ่านการเข้าเรือนจำพอออกมาอาจจะเปลี่ยนความคิด คือ ก่อนเข้าเรือนจำคิดอย่างหนึ่ง แต่พอไปอยู่ในเรือนจำไปเจอสภาพความจริง ของชีวิตอีกมุมหนึ่งอาจจะปลงหรือคิดอีกแบบได้
.
“ตระกูลชินวัตรส่งสัญญาณไม่ทิ้งเพื่อไทย พร้อมเดินหน้าต่อ”
ปกรณ์ บอกว่า สัญญาณที่น่าสนใจ คือ สัญญาณที่ 3 คือ เรื่องของน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและอดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่นายทักษิณเดินเข้าเรือนจำ วันนั้นน.ส.เข้าประชุมพรรคเพื่อไทย ซึ่งผมคิดว่าเป็นการเซ็ตภาพกันไว้แล้ว ยืนยันว่าตระกูลชินวัตรไม่ได้ทิ้งพรรคเพื่อไทย และน.ส.แพรทองธารก็ไม่ได้วางมือ แม้จะมีคำถามเรื่องคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรค ผู้บังคับพรรคต้องไปยึดโยงกับจริยธรรมหรือไม่ แต่น.ส.แพรทองธารยังเดินหน้าต่อ และตอนนี้ลูกพรรคก็ออกมายืนยันว่าข้อบังคับพรรค ไม่ได้ไปยึดโยงกับเรื่องจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ ที่บังคับใช้กับรัฐมนตรี ฉะนั้นน.ส.แพรทองธารและแกนนำเพื่อไทยหลายคนยืนยันเดินหน้าต่อ ตรงนี้เป็นสัญญาณที่ส่งชัดเจนว่าตระกูลชินวัตรไม่ทิ้งเพื่อไทย เห็นได้ว่าพอมีปรากฏการณ์ 2-3 อย่างออกมา เช่น ข่าวว่าพรรคเพื่อไทยเลือดไหลออกจำนวนมากเริ่มหยุดแล้ว เริ่มมีการเจรจากันและเริ่มตั้งหลัก ในการทำงานเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มตัว
.
“สู้ไม่ถอย เตรียมเดินหน้าใช้นิติสงครามยื่นถอดถอนส้ม-น้ำเงิน”
ปกรณ์ บอกว่า อีกหนึ่งสัญญาณที่พรรคเพื่อไทยสู้เต็มที่ไม่ได้ถอย หรือรอช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะมีการเชิญนักกฎหมายมือดีนอกพรรค เข้าหารือและเตรียมที่จะใช้นิติสงครามดำเนินการยื่นเรื่อง ถอดถอนยุบพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย เช่น เรื่องของ MOAที่พรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เขาเดินหน้าต่อแล้วจะไปยื่นอีก 2-3 คำร้องพร้อมกันในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะมีความชัดเจนในการประชุมพรรคเพื่อไทย วันอังคารที่ 16 กันยายนนี้เห็นว่าสัญญาณการสู้ชัดเจนและอาจจะมีการไปถอดถอนนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ในองค์กรอิสระเรื่องการฮั้วสว. โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรงนี้หากเผื่อเดินหน้าไปแล้วหวังที่จะยื่นยุบ พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยด้วย ก็แสดงว่าทิศทางการต่อสู้ทางการเมืองของเขาเดินหน้าไม่ได้ถอย
“รอดูทิศทางพท.ต่อจากนี้”
ปกรณ์ บอกว่า คงต้องดูต่อไปว่าทิศทางหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไรแต่สังเกตว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำทันที คือ พยายามดีดตัวกลับมาเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ตอนนี้กำลังคึกคักเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตรงนี้มีทั้งคนที่ชอบและคนที่รับไม่ได้ ต้องเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน มีฐานเสียงใกล้เคียงกันบางส่วนที่พรรคประชาชนประสบความสำเร็จ ก็เป็นฐานเสียงของเพื่อไทยเดิม ที่ไม่พอใจบทบาทของเพื่อไทยในบางช่วงเวลา แล้วย้ายไปสนับสนุนพรรคประชาชน
“คาด อนาคตพท.เป็นตัวแปรร่วมหมือนภท.ในอดีต-ยากเป็นที่ 1 จัดตั้งรัฐบาล”
ปกรณ์ บอกว่า โครงสร้างพื้นฐานของพรรคเพื่อไทย และคะแนนเสียงที่มีอยู่รวมถึงหากเลือดไม่ไหลออกไปเยอะ พรรคเพื่อไทยยังทรงตัวอยู่ได้ แต่ตอนนี้อาจจะต้องปรับยุทธศาสตร์ และในช่วง 2 ปีนี้จะไปอ้างเรื่องเผด็จการหรือถูกกลั่นแกล้งไม่ได้แล้ว เพราะว่าประชาชนให้โอกาสพรรคเพื่อไทยมา 2 ปีแล้ว เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนซึ่งคนหลัง คือ ตระกูลชินวัตรแต่ทำไม่สำเร็จ ในเรื่องของนโยบายเรือธง ฉะนั้นนโยบายครั้งนี้ถือว่าพรรคเพื่อไทยเสียหายเยอะ เพราะเพื่อไทยเป็นรัฐบาลครั้งนี้เศรษฐกิจยิ่งตกต่ำหนักลงไปอีก โอกาสที่จะไปหาเสียงในมุมเหล่านี้คงยาก จึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ แน่นอนว่าในการเปิดตัวขึ้นมาก็ต้องหวังเป็นเบอร์ 1 แต่ในความเป็นจริงยุทธศาสตร์ทางการเมือง คงจะหวังเป็นพรรคตัวแปร ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะกลับมา เหมือนพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งปี 2562 และ 2566 ที่พร้อมจะร่วมรัฐบาล
“เหตุ ปชน.เลือกข้างภท. คุยสว.ได้”
ปกรณ์ บอกว่า ส่วนพรรคประชานคาดหวังหมุดแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยทำประชามติแล้วผ่าน จึงเลือกจับมือกับพรรคภูมิใจไทย หากเลือกพรรคเพื่อไทยอาจค่อนข้างมีปัญหา เพราะพรรคเพื่อไทยไม่มีเครือข่ายในสว.เลย ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นการทำประชามติผ่านหรือไม่ ต้องไปแก้ไขรายมาตรา คือ 256 ก่อน ซึ่งการจะผ่านทั้ง 3 วาระต้องใช้เสียงสว. ผมคิดว่าตรงจุดนี้ทำให้พรรคประชาชน จำเป็นต้องพึ่งพาพรรคภูมิใจไทยเพราะสามารถพูดคุยกับสว.ได้ ฉะนั้นการจะปักหมุดจุดเริ่มต้นนับหนึ่งได้ สว.ต้องเอาด้วยก่อนจึงใช้บริการภูมิใจไทย แต่สุดท้ายจะโดนหักหลังหรือไม่ ก็มีความเสี่ยงสูงเพราะพอถึงจุดหนึ่งเขาอาจจะบอกว่าเค้าคุมสว.ไม่ได้
“สว.อยากแก้รายมาตรา ไม่ยกร่างทั้งฉบับ”
ปกรณ์ บอกว่า ผมได้พูดคุยกับสว. โดยหลักอยากจะให้แก้ไขรายมาตรา ไม่ได้อยากยกร่างใหม่ทั้งหมด ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่หักเห ซึ่งพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนก็อาจจะสร้างกระแสอีกมุมหนึ่งขึ้นมาได้ และไปอยู่ตรงข้ามพรรคภูมิใจไทยแทน โดยอ้างเรื่องประชาธิปไตย , แก้ไขปัญหาฮั้วสว. และเดินหน้าที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
“ภท.เก๋าเกมทางการเมือง วางหมากอย่างดี-เสียตรงบิ๊กเล็ก ปม เขมร”
ปกรณ์ บอกว่า สำหรับพรรคภูมิใจไทยมีความเก๋าเกมทางการเมืองและไม่ธรรมดา สังเกตได้ว่าสิ่งที่เขาทำมามีการเตรียมวางแผนเป็นอย่างดี คือ ประสบความสำเร็จเรื่องการสื่อสารทางการเมือง ในช่วง 2 สัปดาห์แรกตั้งแต่ที่มีการโหวต แล้วนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งภูมิใจไทยเริ่มเปิดตัวด้วยรัฐมนตรีคนนอก ทำให้ได้รับการยอมรับ ส่วนสิ่งที่พลาดจุดเดียว คือ การให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่นายอนุทิน เชิญพล.อ.ณัฐพลมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นท่าทีของรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน
“ชาวบ้าน หนุน ภท.ผุดโครงการคนละครึ่ง ”
ปกรณ์ บอกว่า การสื่อสารของภูมิใจไทยเห็นภาพว่าวางแผนมาแล้ว คิดว่าเขาจะใช้เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องกัมพูชาหากแก้ไขแล้วดีขึ้น มีข้อตกลงที่ดีหยุดยิง การถอนทหารในช่วงนี้ เพื่อไปกลบกระแสความจำเป็น ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ พรรคภูมิใจไทยใช้ประชานิยม แต่ไม่ใช่ประชานิยมแบบแจกเงิน แต่เป็นประชานิยมที่ทำให้ประชาชนนิยม เช่น ผุดโครงการคนละครึ่งขึ้นมา ไม่มีใครว่าเลยสักคนเดียวแต่สนับสนุนทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยแจกเงินหมื่นไม่ได้ แต่ภูมิใจไทยกระตุ้นเศรษฐกิจลงถึงรากหญ้าจริงๆ คือ SME พ่อค้าแม่ค้าตามตลาดซึ่งเป็นเสียงบ่นที่ดังที่สุดในตอนนี้ ถ้าเข้ามาแล้วทำได้ในสิ่งที่เพื่อไทยทำไม่ได้ในช่วง 2 ปี
“โชว์ศักยภาพบริหารจัดการ ผู้อพยพที่จ.บุรีรัมย์ได้ดี”
ปกรณ์ บอกว่า หากดูเรื่องบริหารจัดการผู้อพยพ ตอนที่ไทยยิงกับกัมพูชาใหม่ๆ กัมพูชาโจมตีเข้ามาตามจุดที่เป็นพื้นที่พลเรือน สังเกตดูว่าพื้นที่มีปัญหาอพยพน้อยที่สุด คือ จ.บุรีรัมย์แล้วยังเปิดสนามช้างให้คนเข้าไป มีการดูแลเป็นระบบได้รับคำชมมากที่สุดทุกจุด ที่เกิดปัญหาตามแนวชายแดน ตรงนี้เป็นการโชว์ศักยภาพการบริหารจัดการ แม้เป็นตัวอย่างเล็กๆแต่อาจจะทำให้สังคมเห็นว่า บางเรื่องเขาจะมองข้ามไปก็ได้ เอาปัญหาเฉพาะหน้าก่อน แล้วเขาบริหารจัดการได้ดี เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเกิดถ้ารัฐบาลภูมิใจไทย ไปต่อรองภาษีทรัมป์ได้ลดลงอีก หรือมีมาตรการเยียวยาที่ดีออกมา และเรื่องของกัมพูชา ผมก็คิดว่าจะทำให้กระแสอีกมุมหนึ่ง ที่พยามกดดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเสียงเบาลงหรือไม่ ตรงนี้เป็นโจทย์ที่น่าคิดและน่าจับตามาก
“ปชป.ไปต่อยาก จุดขายน้อย-ต้องแจงแฟนคลับเรื่องเข้าร่วมรบ.พท.”
ปกรณ์ บอกว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ดูแล้วในอนาคตไปต่อยาก เพราะจุดขายเหลือน้อยมาก และการเมืองเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนนี้ภาพลักษณ์ที่ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย น่าจะเหนื่อยในการชี้แจงแฟนคลับ หรือฟื้นฟูภาพลักษณ์พรรคกลับมา ในเรื่องของการตรวจสอบและการอยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นจุดขายของประชาธิปัตย์ในอดีตตอนนี้ก็สูญเสียจุดขายนั้นไปหมดแล้ว ส่วนอนาคตประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร หรือภาพลักษณ์เป็นแบบไหน จะกลายเป็นพรรคท้องถิ่นนิยมหรือไม่ เพราะการหาเสียงระดับชาติอาจจะยาก ในพื้นที่กทม.อาจจะปิดประตูไปเลย ตรงนี้เป็นเรื่องความท้าทายของประชาธิปัตย์
“กระแสข่าวมาร์ค คัมแบค ปชป.ฟื้นฟูพรรค”
ปกรณ์ บอกว่า ส่วนที่มีข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมาหรือแม้แต่นายชวน หลีกภัย อาจจะเข้ามาประคองก่อน เหมือนกับเป็นหัวหน้าพรรคเฉพาะกาล เพื่อที่จะฟื้นฟูปฏิรูปและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นโมเดลอีกอันหนึ่ง น่าจะต้องมีการทำความเข้าใจกัน มากพอสมควรในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นต้นปีหน้า ตามไทม์ไลน์หรือ MOA ของภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ก็เป็นความเสี่ยงว่าประชาธิปัตย์ จะปรับตัวหรือปฏิรูปวางรากฐานทันหรือไม่ ตรงนี้เป็นโจทย์ยากของประชาธิปัตย์ น่าจะต้องมีการปรับโครงสร้างกันมากพอสมควร
“ปชป.มีระบบเลือกหน.เฉพาะตัว เดชอิศม์ อาจมีภาษีกว่า”
ปกรณ์ บอกว่า กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หากย้อนไปดูตอนที่เลือกนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค จะเห็นได้ว่าน้ำหนักการลงคะแนนมีระบบเฉพาะตัวของพรรคประชาธิปัตย์ คือสส.หนึ่งคนไม่ได้มีเสียงเท่ากับโหวตเตอร์กลุ่มอื่น เพราะเขาถือว่าเป็นผู้แทนประชาชน จึงมีน้ำหนักเสียงที่เป็นโหวตเตอร์มากกว่า ถ้าคุมเสียงสส.ได้โอกาสที่จะเป็นหัวหน้าพรรคมีสูง ตอนนี้หากพูดกันตามตรงนายเดชอิศม์ ขาวทอง ค่อนข้างมีภาษีมากกว่าคนอื่น เพราะเพิ่งจะเป็นรัฐมนตรีแล้วยังเป็นเลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน ถ้าหากคุยกันในระดับแกนนำได้ทั้งนายเฉลิมชัยที่ลาออกไปแล้วและนายแทนก็อาจจะรวมเสียงขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้
“คะแนนนิยมพลิกได้ตลอด”
ปกรณ์ บอกว่า ส่วนเรื่องของคะแนนนิยม ตอนนี้ยังไม่ได้เลือกตั้งทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว จะสังเกตเห็นว่ากว่า 2 ปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลในขณะนั้นหาเสียงว่า “มีเราไม่มีลุง” จึงได้คะแนนท่วมท้น ตอนนั้นทหารและกองทัพถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่าเข้ามาแทรกแซงการเมือง แต่ผ่านมา 2 ปีมีเรื่องของกัมพูชาตอนนี้ทหารเรตติ้งสูง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ขณะที่บางพรรคการเมืองเรตติ้งตก เช่น เพื่อไทยเหลือ 4% ก่อนหน้านี้ที่มีการสำรวจเรื่องความเชื่อมั่นรัฐบาลเพื่อไทย
“คนนิยามการเมือง มีสามก๊ก-การเมืองสามเหลี่ยมมรณะ”
“ตอนนี้เห็นแล้วว่าการเมืองเปลี่ยนเร็ว มีการเมืองสามก๊กด้วย การเมืองสามเหลี่ยมมรณะแล้วแต่จะเรียกกัน มีโอกาสที่จะพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา เห็นเลยว่าพอศาลรัฐธรรมนูญตีความออกมา เรื่องการทำประชามติท่าทีของพรรคประชาชน เรื่องความเกรงใจทางการเมืองนั้นไม่มีเลย มีการแถลงทันทีแล้วบอกว่ารัฐบาลภูมิใจไทยต้องทำทันที ไม่ต้องรอแถลงนโยบาย ซึ่งในทางการเมืองเวลาเราแสดงท่าทีอย่างนี้ ผมคิดว่าอันตราย คือ ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยยังเกรงใจอยู่เพราะยังไม่มีอำนาจ แต่พอมีอำนาจเต็มแล้วจะเป็นอีกแบบ1 ฉะนั้นโอกาสที่จะขัดแย้งกันมีสูงมาก และถ้าภูมิใจไทยทำได้ตามแผนที่วางไว้ ผมคิดว่าเขาก็น่ากลัว” ปกรณ์ กล่าว
“หวังพลิกเกม แม้ผลโพลเป็นรอง”
ปกรณ์ บอกว่า ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มองข้ามไม่ได้ เห็นชัดว่าเขายังเดินหน้าต่อและยังหวังที่จะพลิกเกมกลับมา โดยเฉพาะล่าสุดมีผลสำรวจของนิด้าโพลและสวนดุสิตโพล แม้ว่าคะแนนของพรรคประชาชนนำแต่ก็นำไม่มาก พรรคเพื่อไทยตามหลังก็จริงแต่ว่ายังมีโอกาส เพราะฉะนั้นอาจจะประเมินเร็วไปนิดหนึ่ง ว่าพรรคเพื่อไทยจะล่มสลายเหลือต่ำกว่า 50 ที่นั่ง แต่ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีโครงสร้าง ที่ค่อนข้างแข็งแรงพอสมควร แม้จะต้องอิงกับตระกูลชินวัตร แต่ในเมื่อตระกูลชินวัตร ไม่ได้ถอยหรือถอนตัวออกไปเลยแต่ยังส่งสัญญาณเดินหน้าสู้ต่อ ก็น่าจับตาว่าเค้าจะพลิกเกมกลับมาอย่างไร
“ปชน.ลิสต์ชื่อพร้อมยื่นซักฟอก หาก ภท.ตั้งรมต.ต่างตอบแทน”
ปกรณ์ บอกว่า ตอนนี้หากพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคประชาชน เกมจะพลิกอีกด้านหนึ่ง เพราะสองพรรคนี้เสียงเกือบ 300 จะเหลือเพียงแค่ว่าคุณจะมีสว.หรือไม่ ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 แต่พรรคประชาชนกลับไปจับกับพรรคภูมิใจไทย เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการบริหารงานอื่นๆ หรือตั้งบุคคลที่อาจจะเป็นต่างตอบแทน แล้วพรรคประชาชนไม่สบายใจเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งพรรคประชาชนได้ลิสต์ชื่อออกมาแล้ว และพร้อมที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้อาจจะไม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจโดยตรง แต่อาจจะเป็นการยื่นกระทู้หรือไปร้ององค์กรอิสระ ทำให้โอกาสที่จะขัดแย้งกันมีสูงมาก
“ฉะนั้นช่วง 4 เดือนต่อไปนี้พรรคประชาชนกับเพื่อไทย อาจจะพลิกกลับมาจับมือกันก็ได้ แล้วพอมีการเลือกตั้งก็อาจจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ฉะนั้นพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่ใช่ที่ 1 หรือ 2 แต่อาจจะร่วมรัฐบาลแล้วกลับมาอยู่ในอำนาจได้ ผมคิดว่าทิศทางการเมืองจะเป็นไปในลักษณะนี้ การเมืองสามก๊กอยู่พลิกได้ตลอดเวลา”

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5
