ปรับมุมมองใหม่: “ผู้ลี้ภัยเมียนมาร์ได้สิทธิทำงานถูกกฎหมาย” 

“ผมไม่อยากให้สังคมไทยอยู่กับความกลัว โดยที่ไม่พยายามหาข้อเท็จจริง เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้คนกลัว สุดท้ายก็กลับมาที่อาชีพของสื่อมวลชน บางครั้งเราลงข่าวโดยที่เราแค่ต้องการยอด Engagementโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ต้องอย่าลืมว่าทุกวันนี้สังคมไทยอยู่ในสภาวะ ที่เป็นสังคมผู้สูงวัยมีอัตราการเกิดของเด็กน้อยมากติดอันดับโลก เรากำลังสูญเสียวัยแรงงานลงไปทุกวัน ขณะเดียวกันเรากำลังขับไล่แรงงานข้ามชาติ ที่พยายามมาทดแทนหรือเป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทย ซึ่งผมคิดว่าเราต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าผมจะโปรแรงงานข้ามชาติหรือผู้ลี้ภัย ว่าทุกอย่างดีหมดแต่มีข้อที่ต้องระวังด้วย” 

.

.

“ณฐาภพ สังเกตุ นักข่าวอิสระด้านการโยกย้ายถิ่นฐาน” ให้มุมมอง ผู้ลี้ภัยการสู้รบเมียนมา ได้สิทธิ์ทำงานในไทยได้เป็นกรณีพิเศษ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า 

“นโยบายทรัมป์-เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทำไทยต้องพึ่งผู้ลี้ภัยเป็นแรงงาน”

จุดเปลี่ยนเริ่มจากกรณีที่นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตัดทุนให้เงินสนับสนุนค่าอาหารและใช้จ่ายต่าง ๆ แก่กลุ่มผู้ลี้ภัยในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เมื่อต้นปี 2568 จึงทำให้เกิดปัญหา ทำให้หน่วยงานรัฐด้านสังคมของประเทศไทย เริ่มพูดคุยว่า จะเอาอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ จึงมีนโยบายเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบ จากประเทศเมียนมาสามารถทำงานได้ ซึ่งผู้ลี้ภัยดังกล่าวอยู่ในประเทศไทยประมาณ 30-40 ปี ที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้ จะอยู่ภายในแคมป์อย่างเดียว ถูกจำกัดพื้นที่และจำกัดให้อยู่ภายในแคมป์อย่างเดียว โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ 

ณฐาภพ บอกว่า เรื่องนี้ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้นำมาประเมินตั้งแต่ต้นปี แต่จุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง คือ หลังจากที่ประเทศไทย ปะทะกับกัมพูชา นโยบายรัฐบาลกัมพูชาเรียกแรงงานกลับประเทศ ซึ่งตนได้สัมภาษณ์เลขานุการคณะกรรมาธิการความมั่นคง สภาผู้แทนราษฎร แจ้งว่า มีแรงงานกัมพูชากลับประเทศกว่า 90% หรือ หลักแสนคน ทำให้ขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะแรงงานเกษตรกรรม ที่อยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของประเทศไทย จึงเป็นที่มาของการหารือกัน สุดท้ายเหมือนว่าไม่มีทางเลือก เพราะประเทศไทยขาดแรงงาน หลังจากที่คนกัมพูชากลับประเทศ แต่ก็มีกลุ่มคนที่พร้อมทำงาน และอยากทำงาน จึงเป็นนโยบายดังกล่าวที่ได้อนุมัติให้ผู้ลี้ภัยทำงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

“แนวทางจัดการแรงงานผู้ลี้ภัยถึงมือนายจ้างเข้มงวด!”

         ณฐาภพ บอกว่า สำหรับแนวทางการจัดการผู้ลี้ภัยของประเทศไทย มี 3 ทางคือ 1. ผลักดันกับประเทศต้นทาง 2. ให้ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม และ 3. ให้กลมกลืนกับประเทศที่เขาอยู่ เช่น ประเทศไทย ทั้งนี้ ข้อแรกทำไม่ได้เพราะเมียนมา ยังมีการสู้รบ การผลักดันกลับ คือ กลับไปตาย ส่วนประเด็นที่ 2. พอเกิดการตัดทุน เท่ากับว่า โอกาสที่คนกลุ่มนี้ จะได้ไปใช้ชีวิตในประเทศที่สามแทบจะเป็นไปไม่ได้ จึงเหลือหนทางที่ 3. คือต้องทำให้กลมกลืนกับสังคมไทย 

         ณฐาภพ บอกว่า วิธีการอนุมัติแตกต่างจากรับแรงงานข้ามชาติทั่วไป เพราะมีการคัดกรอง แต่จะไม่ผลักคนกลุ่มนี้ ไปเป็นคนกลุ่มเดียวกับแรงงานข้ามชาติ เพราะยังคงสถานะผู้หนีภัยการสู้รบที่มาจากในแคมป์ ทั้งนี้ หลายคนเข้าใจผิดว่า นโยบายนี้ออกมา คนกลุ่มนี้จะทำงานได้เลยซึ่งไม่ใช่ เพราะข้ออ้างอิงจากประกาศของกระทรวงมหาดไทย แนวทางการขออนุญาตออกนอกพื้นที่การควบคุม ของกลุ่มคนที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ทั้ง9 แห่งมีประมาณ 70,000-90,000 คน แต่มีกลุ่มคนวัยแรงงานที่ทำงานได้ประมาณ 40,000 คน

         ณฐาภพ บอกว่า การจะออกไปทำงานได้ต้องยื่นคำขอก่อน การขอออกพื้นที่ของเขา ไม่ใช่แบบอิสระเสรี เหมือนที่เราเดินทางไปไหนก็ได้ แต่ว่า มีพื้นที่ควบคุมที่เขาไปได้ อาทิ ภาคเหนือ, ภาคกลางที่ต้องการแรงงาน โดยมีคำขอจากนายจ้างถึงจะออกได้ การอนุญาตนี้ ต้องผ่านการพิจารณาของนายอำเภอ หรือคนควบคุมพื้นที่นั้น ๆ อนุมัติ และออกไปแล้ว เมื่อไปถึงปลายทางภายใน 48 ชั่วโมง จำเป็นต้องรายงานตัวและต้องรายงานตัวทุก ๆ 4 เดือน กลายเป็นว่า ไม่ได้มีอิสระเสรีภาพ ที่จะไปไหนก็ได้ แต่ต้องถูกควบคุม และถูกจับตาโดยรัฐ เพื่อให้แน่ใจว่า ทำงานอยู่สถานที่นั้น ๆ โดยไม่หลบหนีไปไหน ขณะเดียวกันก็มีข้อกำหนดอีกเยอะ ที่เขาจะต้องปฏิบัติตามที่กระทรวงมหาดไทยแจ้งมา

“นโยบายแรกในรอบ 40 ปี มั่นใจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม” 

         “ผมคิดว่า ณ วันนี้เป็นเพียงการลองผิดลองถูก ซึ่งภาครัฐต้องพยายามออกแบบ ภาคประชาสังคมต้องเข้าไปสนับสนุน และสื่อมวลชนต้องเข้าไปสื่อสาร ต้องเข้าใจว่า เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี ซึ่งผมคิดว่าสังคมไทย คงไม่อยากให้คาดหวังว่า ทุกอย่างต้องออกมาสมบูรณ์แบบ เพราะอาจจะมีติดขัดบ้าง หรืออาจจะทำให้คนไทยไม่สบายใจบ้าง ผมคิดว่าในฐานะสื่อมวลชน พยายามพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง มองว่า ท้ายที่สุดแล้วนโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย”

“นายจ้างภาคการเกษตรยังหวั่น ทักษะแรงงานผู้ลี้ภัยไม่ตอบโจทย์”

         ณฐาภพ บอกว่า ได้พูดคุยกับนายกสมาคมชาวไร่อ้อย จ.สระแก้ว เล่าว่า พื้นที่ในฝั่งตะวันออก ทำงานกับแรงงานชาวกัมพูชาเป็นเวลา 10-20ปี ฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างคนไทยกับลูกจ้างชาวกัมพูชา ค่อนข้างเหนียวแน่น และทำงานรู้มือกัน ซึ่งไม่ใช่งานง่าย เพราะต้องตัดอ้อยให้ได้ระยะ เพื่อให้อ้อยได้ความหวาน ซึ่งเป็นงานที่ยากและหนัก ภายใต้อากาศที่ค่อนข้างร้อน จึงจำเป็นต้องใช้กำลังแรงงาน ดังนั้น ทางสมาคมชาวไร่อ้อย ยอมรับว่า หากให้ผู้ลี้ภัยจากฝั่งตะวันออกในค่ายผู้ลี้ภัยไปทำงาน จะไม่สามารถตอบโจทย์ ความต้องการแรงงานของสมาคมชาวไร่อ้อยได้100% แต่ดีกว่าไม่มีเลย เพราะแรงงานผู้ลี้ภัย เชี่ยวชาญทางด้านเกษตรกรรมอยู่แล้ว เพราะสื่อสารกันได้และอยู่ในแคมป์บนผืนแผ่นดินไทยมา 30-40 ปี น่าห่วงน้อยกว่าการไปนำแรงงานจากที่อื่น เช่น ศรีลังกา หรือเอเชียใต้เข้ามา

วาทกรรม “ต่างด้าวแย่งงานคนไทย”เก่าแล้ว!

         ส่วนที่บางฝ่ายระบุทำไมไม่จ้างคนไทย ณฐาภพ บอกว่า ผู้ประกอบการชาวไร่อ้อย ระบุทุกครั้งจะได้ยินเสียงประมาณว่า อยากได้แรงงานคนไทย แต่ไม่มีแรงงานไทยมาทำงานกรรมกรแล้ว คนไทยที่มาสมัครส่วนใหญ่มาในตำแหน่งบินโดรน หรือควบคุมรถไถ เป็นทักษะระดับกลางไปแล้ว ตนคิดว่า วาทกรรมที่บอกว่า คนอื่นจะมาแย่งงาน แล้ว มองว่า สังคมไทยเราพัฒนาแล้ว ไม่ได้อยู่กับที่เหมือน 10-20 ปีที่แล้ว ไทยกำลังพัฒนาไปเป็นหัวหน้างาน หรือเจ้าคนนายคน อย่างที่เราได้รับการสั่งสอนมาฉะนั้นงานเหล่านี้ ก็ควรที่จะให้คนกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทำ แม้คนเหล่านี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ 100%

“เผยนักวิชาการมั่นใจแรงงานลี้ภัยไม่กระทบแรงงานไทย”   

         ณฐาภพ บอกว่า เคยสัมภาษณ์ รศ.ดร.วรพล ยะมะกะ ศูนย์ความเป็นเลิศทางเศรษฐมิติ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาเรื่องนี้ เห็นว่า ประเทศไทยมีแรงงาน 40 ล้านคน และการที่มีคนเพิ่มอีก 40,000 คนคิดเป็น 0.01% ในตลาดแรงงาน จึงแทบไม่ส่งผล หรือนัยยะสำคัญต่อตลาดแรงงาน ที่จะกระทบเป็นวงกว้าง ฉะนั้น การที่คิดว่า เขากลับไปประเทศ และค่อยหาคนมาเติม มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่การที่เราสูญเสียแรงงานกัมพูชา คือ การสูญเสียทักษะบางอย่างที่ติดตัวของเขาที่มีอยู่ แล้วเอากลับไปด้วยเราไม่สามารถเรียกคืนเอากลับมาได้

“ผู้ลี้ภัยเมียนมา” ดีใจนโยบายรัฐไทยไฟเขียวทำงานได้-ไม่ต้องแบมือรอความช่วยเหลือ”

         ณฐาภพ บอกว่า เคยลงพื้นที่ค่ายแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก หลังจากช่วงสหรัฐอเมริกาตัดเงินช่วยเหลือ แต่ยังเป็นช่วงที่ได้รับเงินสนับสนุนค่าอาหาร ตนคิดว่าค่ายแม่หละ เป็นค่ายที่เจริญที่สุด และใหญ่ที่สุด มีคนพักอาศัยอยู่เป็น 10,000 คน เหมือนชุมชน หรือหมู่บ้านขนาดใหญ่ ที่คนใช้ชีวิตเหมือนปกติทั่วไป เข้าไปข้างในมีร้านอาหาร, ร้านตัดผม, ร้านขายของชำ, โบสถ์, มัสยิด และมีบริษัทขนส่งเอกชนไปส่งของ เหมือนกับเมืองเล็ก ๆ ในชนบท มีทุกอย่างที่จำเป็น เหมือนกับคนที่ใช้ชีวิตทั่วไป แต่ในค่ายผู้ลี้ภัย คนก็ดิ้นรน ไม่ได้แบมือขอเงินอย่างเดียว เพราะมีบางส่วนที่แอบไปทำงานโดยติดสินบนเจ้าหน้าที่ เพื่อออกไปทำงานบางอย่างข้างนอกชั่วคราว บางคนมีทักษะเป็นล่าม ก็ช่วยงาน NGOs ที่เข้าไปทำงานข้างใน หรือทำงานในโบสถ์ บางครอบครัวก็ไปใช้ชีวิตตั้งรกรากที่ประเทศที่สามแล้วส่งเงินกลับมา ฉะนั้น เห็นว่า ในแคมป์มีเศรษฐกิจหมุนเวียน มีการบริโภคเกิดขึ้นและช่วยหมุนเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่ง

         ณฐาภพ บอกว่า ตนได้พูดคุยกับผู้ลี้ภัย 3 คน ถึงเรื่องที่ประเทศไทยอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงานเป็นครั้งแรก พวกเขาดีใจมาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทักษะที่เขามี คือ อยากเป็นล่าม แต่นโยบายนี้ออกมาเพื่อให้ผู้ลี้ภัยทำงานเป็นกรรมกร อาจจะไม่ตอบโจทย์แต่เขายังรู้สึกว่า เป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยยังมีโอกาสไปทำงาน ซึ่งบนพื้นฐานคนในค่ายส่วนใหญ่ เท่าที่คุยมาไม่ได้อยากงอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือ ทุกคนมีศักดิ์ศรี ต้องการพึ่งพาตนเอง ไม่ต้องการแบมือขอเงินใครไปตลอด 

         ณฐาภพ เล่าว่า ผู้ลี้ภัยบอกว่าถ้าทำงานได้เงินมา จะแบ่งเงินเป็น 3 ส่วน 1.ไว้สำหรับซื้ออาหาร 2.ยามที่ลูกป่วยไม่สบาย 3.จะเก็บไว้สำหรับการศึกษาของลูก ซึ่งตนคิดว่า เป็นคำพูดที่เรียบง่าย แต่บ่งบอกถึงความต้องการขั้นพื้นฐานของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานมาก โดยที่ไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ ๆ หรือซื้อรถยนต์ แต่ต้องการมีแค่ชีวิตรอดเท่านั้นที่เขาต้องการ

วอนสังคมไทย “ปรับทัศนคติ” ต่างด้าวแย่งงานคนไทย-ขอคำนึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

         ณฐาภพ ยังอยากสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจกับสังคม ถึงวาทกรรมที่เป็นประเด็นหลักที่คนเข้าใจผิด ทั้ง 1.ต่างด้าวแย่งงานคนไทย 2.ต่างด้าวแยกสิทธิรักษาพยาบาลคนไทย 3.แย่งโอกาสการเรียนของเด็กไทย โดยเห็นว่า วาทกรรมแบบนี้เป็นความกลัว ที่เกิดจากข้อมูลข่าวสารในโลกออนไลน์ สุดท้ายแล้ว วาทกรรมแบบนี้เป็นจริงแค่ไหน ตนได้ลงพื้นที่ทำข่าวเจาะ พูดคุยกับคนที่ทำงานจริง ๆ เช่น เรื่องการแย่งงาน ได้พูดคุยกับนักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้ง 2 ท่าน พยายามศึกษาว่า สุดท้ายแล้วแรงงานข้ามชาติ มาแย่งสิทธิคนไทยหรือไม่ ซึ่งผลตอบรับด้านเศรษฐศาสตร์จากการที่นักวิชาการศึกษา บ่งชี้ว่า คนกลุ่มนี้ไม่ได้มาแย่งงาน แต่เขามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ ขณะที่ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่บอกว่า ทุก 1 บาท ที่เราลงทุนกับผู้ลี้ภัยสุดท้ายแล้ว จะคืนทุนกลับมาให้สังคมไทย 12 บาท 

         ณฐาภพ บอกว่า นักวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตีเป็นตัวเลขว่า เป็นต้นทุนเท่าใด ที่จะต้องจ่ายให้คนเหล่านี้ และคำนวณว่า การเงินของเขาส่งผลต่อเศรษฐกิจอะไรบ้าง การจับจ่ายใช้สอยเขา เช่น ต้องจ่ายค่าใบอนุญาตทำงาน, ต้องจ่ายการประกันสุขภาพ พอหักกลบจริง ๆ แล้ว สิ่งที่จ่ายให้เขา น้อยกว่าสิ่งที่เขาต้องจ่าย เพราะเขาต้องกินต้องใช้ และต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพ เรื่องของสิทธิพยาบาลไม่ได้ใช้ฟรี แต่ใช้ผ่านกองทุนของเขา เช่น ประกันสังคม เขาเป็นคนจ่าย หรือมีกองทุนอื่น ๆ ของ INGO ซึ่งตนรู้สึกว่า รัฐบาลไทยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามออกแบบระบบประกันสุขภาพ ให้กระทบคนไทยน้อยที่สุดที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ ให้เขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และทำงานได้ ส่วนเรื่องการศึกษากลุ่มบุตรหลานของผู้ลี้ภัย หรือ แรงงานข้ามชาติ ที่เรียนในศูนย์การเรียน เงินที่เขาได้รับมาจาก NGOs หรือต่างชาติ หรือผู้ปกครองเขาที่จ่ายให้ศูนย์การเรียน ตนคิดว่า การศึกษา คือ การลงทุนอย่างหนึ่งแม้ว่าให้กับกลุ่มที่ไม่ได้เป็นคนไทยเด็กไทย แต่ก็ได้ประโยชน์กับสังคมไทยในระยะยาว

“ผมไม่อยากให้สังคมไทยอยู่กับความกลัว โดยที่ไม่พยายามหาข้อเท็จจริง เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้คนกลัว สุดท้ายก็กลับมาที่อาชีพของสื่อมวลชน บางครั้งเราลงข่าวโดยที่เราแค่ต้องการยอด Engagement โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา ต้องอย่าลืมว่าทุกวันนี้สังคมไทยอยู่ในสภาวะ ที่เป็นสังคมผู้สูงวัยมีอัตราการเกิดของเด็กน้อยมากติดอันดับโลก เรากำลังสูญเสียวัยแรงงานลงไปทุกวัน ขณะเดียวกันเรากำลังขับไล่แรงงานข้ามชาติ ที่พยายามมาทดแทนหรือเป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทย ซึ่งผมคิดว่าเราต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าผมจะโปรแรงงานข้ามชาติหรือผู้ลี้ภัย ว่าทุกอย่างดีหมดแต่มีข้อที่ต้องระวังด้วย” 

ไทยสังคมไทยต้องมองข้างหน้า-ก้าวพ้นสังคมสูงอายุ

         ณฐาภพ คิดว่า วาทะกรรมหรือความกลัว ไม่ควรจะใช้คำว่าต่างด้าว หรือผู้ลี้ภัยเข้ามาแย่งงานคนไทย แต่ควรมาคุยกันว่า วันนี้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นสังคมผู้สูงวัย ทำอย่างไรควรให้สังคมไปข้างหน้า ในมุมที่คนไทยก็มีงาน แต่ไม่ใช่งานที่เป็นกรรมกร แต่เป็นงานที่ใช้ทักษะคุมกรรมกรอีกทีหนึ่ง และให้แรงงานข้ามชาติ เข้ามาเติมเต็มในด้านอื่น ๆ โดยมองในเชิงบวกและมองในระยะยาวว่า การที่เขามาทำงานไร้ทักษะ คนไทยจะได้ Upskill – Reskill ทักษะที่มากขึ้น

“มั่นใจรัฐบาลผุดนโยบายแรงงาน แต่ยังรักษาประโยชน์คนไทย

         ณฐาภพ มั่นใจว่า ทุกนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติหรือผู้ลี้ภัย ของทุกรัฐบาลที่ออกมา จะเอาผลประโยชน์ของคนไทยเป็นตัวตั้ง ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่แคร์สายประชาคมโลก และเป็นประเทศที่มีอารยธรรมด้วย ฉะนั้น เรื่องราวบางอย่าง ก็ต้องเคารพสิทธิของคนทุกคนในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่า นโยบายนี้ เป็นครั้งแรกอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่สามารถลองผิดลองถูก ขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องปรับตัว ซึ่งทุกคนก็ต้องปรับตัวเข้าหากันและกัน

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น. โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5