“เปิดสาเหตุยาแพง กับสิทธิ์ที่คนไทยควรรู้” 

            “ทุกคนมีสิทธิ์ขอดูรายชื่อยา ขอดูราคาสินค้ายาก่อน ขอเลือกยาที่เราต้องการเอง เหตุผลมาจาก คนไทยค่อนข้างจะเกรงใจ เพราะเชื่อมั่นแพทย์สั่งยาชนิดไหนมาก็ว่าตามนั้น และค่อนข้างที่จะเกรงใจโรงพยาบาล ตรงนี้จึงมีการพูดคุยกันว่า จะพยายามสร้างให้คนกล้าพูดขอดูราคายาก่อน เพื่อที่จะสั่งซื้อและตัดสินใจเอง”

         .

.

“สุจรรยา สุนทรพรเจริญ  บรรณาธิการ และ ผู้อำนวยการ Health & Wellness Destination ฐานเศรษฐกิจ” ให้มุมมอง “ทำไมคนไทยต้องจ่ายค่ายาแพง?” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว”

เปิดปัจจัยทำไม “ยาแพง”

            สุจรรยา บอกว่า ปัญหาเรื่องค่ายาแพงของคนไทย มีการพูดคุยเรื่องนี้มามากกว่า 10 ปีแล้ว ราคายาหลัก ๆ คือ ต้นทุนสินค้า เช่น ต้นทุนของยา, ต้นทุนค่าการตลาด, ความแตกต่างของโรงพยาบาลเอกชนที่เห็น คือ ต้นทุนเรื่องค่าบริการ ที่ต้องบวกไปในค่ายาด้วย เพราะโรงพยาบาลเอกชนมีหลายระดับ เปรียบเหมือนโรงแรมที่มีเกรด 1 – 6 ดาว โรงพยาบาลเอกชนมีตั้งแต่ระดับให้บริการขั้นพื้นฐาน รักษาโรคทั่วไปจนถึงบริการให้การผ่าตัดโรคที่ซับซ้อน และขั้นสูงสุด คือ โรคเฉพาะทางที่มีความพรีเมี่ยมมาก ๆ เทียบเท่ากับโรงแรม 6 ดาว ฉะนั้น ค่าบริการจึงมีความหลากหลาย ตรงนี้ คือ สาเหตุหลักว่า ทำไมค่ายาถึงแพง เพราะผู้ป่วยแต่ละคนเวลาไปใช้บริการ โรงพยาบาล หรือคลินิกต้องแบ่งกลุ่มผู้ป่วยก่อน เช่น ผู้ป่วยกลุ่มที่ถือบัตรประกันสังคม, กลุ่มข้าราชการ, กลุ่มถือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถใช้สิทธิ์เข้ารักษาพยาบาลแต่ละแห่งได้ ตามสิทธิ์ที่ตัวเองเลือกไว้ แต่ถ้าผู้ป่วยนั้น ต้องการความสะดวกสบาย หรือรวดเร็วในการรักษา เช่น เป็นเคสหนักต้องเข้ารับการรักษาด่วน ถ้าเป็นอาการวิกฤตโรงพยาบาลแต่ละที่ต้องรับผู้ป่วยทันทีอยู่แล้วตามกฎหมาย แต่บางเคสต้องการความสะดวก ต้องการหายป่วยเร็ว ๆ ก็เลือกไปโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว

            “ค่ายาแพงมีหลายปัจจัย คือ มีการจดสิทธิบัตร แต่ละบริษัทที่วิจัยพัฒนายาแต่ละตัวใช้เวลาพัฒนาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป เช่น พัฒนาสูตรยาและต้องนำไปทดลองกับสัตว์, ทดลองกับคน ซึ่งเป็นจิตอาสาต่าง ๆ เมื่อออกมาสู่ตลาดแล้ว ก็ยังอยู่ในช่วงของการติดตามผล กว่ายาตัว 1 จะออกสู่ท้องตลาดต้องใช้เวลานานมาก ผู้วิจัยพัฒนาต้องใช้งบลงทุนเยอะมาก และเรื่องค่าการตลาด เมื่อเปรียบเทียบตัวยาเหมือนผลิตภัณฑ์ ต้องสร้างแบรนด์ทำโปรโมชั่นแนะนำตัวสินค้า เช่น ยาบางประเภทต้องส่งเสริมการตลาดการขาย และให้สิทธิประโยชน์กับบริษัทตัวแทนจำหน่ายต่าง ๆ ขั้นตอนต่อไปพอยาตัวนั้นไปอยู่ในโรงพยาบาล แต่ละโรงพยาบาลก็เปรียบเสมือนดีลเลอร์ 1 ราย ก็มีค่าใช้จ่ายที่จะต้องนำไปใช้จ่ายด้วย”

“ย้อนอดีตมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รับร้องเรียนยาแพงต่อเนื่อง”

            สุจรรยา บอกว่า หากย้อนไปในอดีตมีการร้องเรียน เรื่องของปัญหาค่ายาแพง ถูกร้องเรียนไปยัง “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ต่อเนื่องตลอด 10 ปี เมื่อไปใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชน รวมทั้งค่าบริการต่าง ๆ ในการตรวจรักษา และอุปกรณ์การแพทย์ เรื่องนี้จำนวนการร้องเรียนอาจจะไม่มาก เมื่อเทียบกับเรื่องของอสังหาริมทรัพย์หรือเรื่องของรถยนต์ แต่ปัญหาค่าใช้จ่ายค่ายาแพง หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นเรื่องที่ควรได้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน

“ไทยมี พ.ร.บ.สินค้าและบริการ ควบคุมราคายา”

            สุจรรยา บอกว่า ประเทศไทยมี พ.ร.บ.ยา ซึ่งกฎหมายตัวนี้เป็นเรื่องของยาโดยเฉพาะว่า ยาประเภทนี้มีการจดสิทธิบัตรถูกต้องหรือไม่ และขออนุญาตถูกต้องหรือไม่จึงนำเข้ามาขายได้ ส่วนเรื่องของกฎหมายตัวหนึ่งที่ควบคุมเรื่องของยา คือ “พ.ร.บ.สินค้าและบริการ” ซึ่งยาเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกควบคุมด้วย แต่การควบคุมสินค้าและบริการในประเทศ จะควบคุมแค่ให้มีการชี้แจงราคายายาตัวนี้ว่า นำเข้ามาราคาเท่าไร และขายในราคาเท่าไร จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องเก็บข้อมูล เมื่อถึงเวลาที่บริษัทยาต้องการปรับขึ้นค่ายา เขาจะเสนอราคายามาใหม่เปรียบเทียบกับราคาเดิม จากนั้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาว่า สมควรปรับขึ้นราคาหรือยัง ถึงขั้นมาชี้แจงว่า ต้นทุนตัวสินค้าเท่าไร ต้นทุนการตลาดเท่าไร จนถึงราคาขายออกไปเท่าไร สมเหตุสมผลกับราคาหรือไม่

“ถึงเวลาปลดล็อกราคายาแพงอย่างเป็นรูปธรรม! เตรียมขยาย เป็น 10 รพ.” 

            สุจรรยา บอกว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการเจาะลึกลงไปในรายละเอียด ทำให้ราคายาสูงเกินไปถ้าเทียบกับความน่าจะเป็น และเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ก็มีการพูดคุยกันว่า ถึงเวลาหรือยัง ที่ควรจะปลดล็อกราคายาแพงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการพูดคุยกันจริงจัง และเชิญโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาพูดคุยหลายรอบ จนในที่สุดมีการจับมือกับ 5 เครือใหญ่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีสาขา 110 แห่งทั่วประเทศ ชี้แจงเรื่องราคายาสำหรับผู้ป่วยที่มารักษา สามารถสอบถามราคาก่อนได้ หากสะดวกรับยาจากโรงพยาบาลก็รับได้เลยในราคาที่แจ้งไว้ แต่ถ้าไม่สะดวกจะนำรายชื่อยาที่แพทย์สั่งจ่าย ไปซื้อภายนอกโรงพยาบาลก็ได้ โดยแพทย์จะชี้แจงว่า ยาบางตัวมีจำหน่ายที่ไหน เพราะยาเฉพาะบางรายการ ร้านค้าทั่วไปจำหน่ายไม่ได้ ส่วนมากจะเป็นโรคติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดัน, เบาหวาน แต่ถ้าโรคเฉพาะทางจริง ๆ คือ โรคมะเร็งตัวยาอาจจะหายาก แพทย์จะไม่แนะนำให้ไปซื้อข้างนอก

            “ล่าสุดทางกระทรวงพาณิชย์ได้ขยายจากเดิม 5 เครือโรงพยาบาล เป็น 10 เครือโรงพยาบาล และโรงพยาบาลที่สนใจจะเข้าร่วม MOU จะเปิดให้ผู้ป่วยที่มาตรวจรักษา ขอดูรายชื่อยา, ราคายาและเลือกที่จะไปซื้อนอกโรงพยาบาลได้ โดยใน 10 เครือนั้นมีอยู่ประมาณ 354 แห่ง MOU กับร้านขายยาในช่วงแรก เบื้องต้นนี้อาจมีร้านขายยาเข้าร่วมโครงการประมาณ 2,000 แห่ง”

3 สมาคมโรงพยาบาลเอกชน เปิดปัจจัยทำค่าใช้จ่าย รพ.เอกชนสูงกว่า รพ.รัฐ”

            สุจรรยา บอกว่า 3 สมาคมโรงพยาบาลเอกชนยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชน ค่อนข้างสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ มาจากหลายสาเหตุซึ่งโรงพยาบาลรัฐ มีรัฐบาล Support งบประมาณรวมทั้งเรื่องของที่ดินก็ไม่มีต้นทุน, ตัวอาคาร, เครื่องมือแพทย์ รวมทั้งเงินบริจาคด้วย ขณะที่ โรงพยาบาลเอกชนต้องลงทุนเองทุกอย่าง ทั้งเรื่องของที่ดิน, อาคารก่อสร้าง, ระบบต่าง ๆ ในการให้บริการ ซึ่งตอนนี้มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงมาก

สิทธิ์ที่ควรรู้! “คนไทยมีสิทธิ์ขอดูชื่อยาไปซื้อเองได้” 

            สุจรรยา บอกว่า พฤติกรรมของคนไทยเวลาไปหาหมอ ไม่กล้าที่จะพูดหรือบอกกับแพทย์ว่า ขอไม่รับยาตัวนี้แต่จะไปซื้อเอง หรือขอรับยาตัวอื่นแทนได้หรือไม่ ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ขอดูรายชื่อยา, ขอดูราคาสินค้ายาก่อน, ขอเลือกยาที่เราต้องการเอง เหตุผลมาจาก คนไทยค่อนข้างจะเกรงใจ เพราะเชื่อมั่นแพทย์สั่งยาชนิดไหนมาก็ว่าตามนั้น และค่อนข้างที่จะเกรงใจโรงพยาบาล ตรงนี้จึงมีการพูดคุยกันว่า จะพยายามสร้างให้คนกล้าพูดขอดูราคายาก่อน เพื่อที่จะสั่งซื้อและตัดสินใจเอง 

            สุจรรยา บอกว่า สำหรับขั้นตอนนั้นไม่ยุ่งยาก เพราะถ้าเราป่วยก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลอันดับแรกต้องแจ้งก่อนว่า ต้องการพบแพทย์และต้องการขอรายชื่อยา เพื่อไปซื้อภายนอกโรงพยาบาล แพทย์ก็จะทำการวินิจฉัยโรคให้เรา เมื่อวินิจฉัยโรคเสร็จเรียบร้อยก็มีการพูดคุยกันว่า ยาที่ต้องใช้มีตัวไหนบ้าง ชนิดไหนบ้าง แพทย์จะจดรายชื่อให้แล้ว นำใบสั่งยานั้นไปที่หน้าเคาน์เตอร์ เพื่อตรวจดูราคายาว่าพอใจที่จะจ่ายหรือไม่ ถ้าพอใจก็ซื้อที่โรงพยาบาล แต่ถ้าไม่พอใจก็นำใบสั่งยานี้ไปซื้อภายนอก

“นำใบสั่งยาให้ร้านร่วมโครงการ 2,000 สาขา-เภสัชกรจัดยาตามแพทย์สั่ง”

            สุจรรยา บอกว่า เบื้องต้นเมื่อได้ใบสั่งยามา ก็นำไปที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมกับโครงการนี้ มีสัญลักษณ์ติดไว้หน้าร้านเพื่อให้ทราบ คือ “โครงการสุขกายสบายกระเป๋า” มีสัญลักษณ์ว่า โรงพยาบาลไหนบ้างที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว และร้านขายยาที่เข้าร่วมมีร้านอะไรบ้าง ส่วนมากเป็นร้านขายยาที่มีสาขาค่อนข้างเยอะ เช่น ร้านยาฟาร์มาซี, ร้านSAVE DRUG, ร้าน Super Drug, ร้านยากรุงเทพ, ร้าน eXta Plus ในเซเว่นอีเลฟเว่น โดยรวมตอนนี้มีอยู่ประมาณ 2,000 สาขา ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนมีรายชื่อร้านยาอยู่แล้ว ผู้ป่วยสามารถเข้าไปดูรายชื่อร้านขายยาที่ร่วมโครงการได้ เมื่อไปถึงร้านก็ยื่นใบสั่งยาได้เลย แต่เงื่อนไขอย่าง 1 ของร้านขายยา คือ ต้องมีเภสัชชกรอยู่ตลอดเวลา เพราะเภสัชกรจะเป็นผู้สั่งยาให้เราตามเงื่อนไขแพทย์

“พณ.เข้ม! กังวลคุณภาพยา-ร้านยาต้องมีสถานที่จริง พร้อมมีบริการแพทย์ทางไกล” 

            สุจรรยา บอกว่า สาเหตุที่ต้องเป็นร้านมีเภสัชกรประจำตลอดเวลา เพราะกระทรวงพาณิชย์กังวลเรื่องคุณภาพยา ผู้ป่วยที่จะไปรับตามร้านขายยา ควรจะต้องเป็นยาที่จัดเก็บรักษาดีตามมาตรฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการพูดคุยกันอยู่ว่าถ้าหมอสั่งยาไปแล้ว และคนถือใบสั่งยาไปร้านขายยาแล้วได้ยามาทานแล้ว อาการไม่หายเป็นเพราะหมอสั่งยาไม่ตรงหรือไม่ ขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่ายาตัวที่อยู่ร้านขายยา มีการจัดเก็บรักษานานเกินไปหรือไม่ ขณะเดียวกันต้องมีทั้ง On-site และ Telemedicine ด้วย ผู้ที่จะเข้าไปร้านขายยาสามารถ LINE พูดคุยกับเภสัชกรเพื่อสื่อสารกันได้ ทำความเข้าใจกันก่อนว่ามียาตัวนี้หรือไม่ เพื่อความอุ่นใจของผู้ป่วยที่มารับยา

“พณ.ผุด MOU กำหนดราคายากลางแก้ปัญหาราคาแพง” 

            ส่วนการแก้ไขปัญหาค่ายาแพงในระยะยาวนั้น สุจรรยา บอกว่า ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์เสนอให้โรงพยาบาลมาทำ MOU กัน และรับใบสั่งยาไปซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล หลายคนมองว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ความจริงแล้วควรจะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ คือ เรื่องของโครงสร้างราคายาว่า โครงสร้างราคายา 1 ชิ้น หรือ 1 เม็ดที่ออกมามีอะไรบ้าง และควรจะเข้าไปควบคุมตรงไหน ขณะเดียวกัน ควรกำหนดราคากลางขึ้นมา เข้าใจว่า แต่ละโรงพยาบาลมีเรื่องของการลงทุนค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน แต่ควรมีราคากลางด้วย เช่น ยาพาราเซตามอล 1 เม็ด ราคาอยู่ที่ 1-3 บาท ตรงนี้ถือว่า เป็นการกำหนดราคากลาง สมมติว่า ในคลินิกชุมชนอาจจะจ่ายในราคา 1 บาทได้ แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่มีต้นทุนสูง อาจจะจ่ายได้เต็มที่ชนเพดาน 3 บาทไม่สามารถที่จะจ่ายเกินกว่านี้ได้แล้ว โดยต้องมีการกำหนดกำไรสูงสุดของแต่ละโรงพยาบาลด้วย เพราะโรงพยาบาลต้องมีค่าแพทย์เฉพาะทาง เป็นค่าตัวระดับประเทศ หากจะเอาค่าตัวแพทย์มาคำนวณ ย้อนกลับมาเป็นกำไรของโรงพยาบาล ควรมีลิมิตกำไรตรงนั้นว่าควรคำนวณตรงที่เท่าไหร่ ไม่ใช่คำนวณที่ 100% เทียบกับคลินิกหรือโรงพยาบาลทั่วไป 

ทั้งนี้ ผลการวิจัยล่าสุดของสภาผู้บริโภคพบว่า ราคายาต้นทุนเพียง 4-5% เท่านั้น ขณะที่ ราคาค่าบริการทางการแพทย์อยู่ที่ 40-50% ถือเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้น ควรกำหนดทั้งเรื่องค่ายาและค่าบริการทางการแพทย์ด้วย

“รพ.ต่างชาติ ผู้ป่วยต้องไปหาซื้อยานอก รพ.”

            สุจรรยา บอกว่า เหตุผลที่ชาวต่างชาตินิยมมารักษาในประเทศไทยเพราะ 1.ราคาค่าใช้จ่ายถูกกว่าการรักษาในประเทศของเขา 2.การให้บริการของคนไทยค่อนข้างดีกว่า ทั้งแพทย์และพยาบาลค่อนข้างที่จะใส่ใจดูแล ขณะที่ รูปแบบของแต่ละประเทศแตกต่างกันในการรักษา ถ้าโรงพยาบาลในฝั่งของอเมริกา หรือยุโรป แพทย์มีหน้าที่วินิจฉัยโรคอย่างเดียว แต่ไม่ได้มีหน้าที่ขายยา และโรงพยาบาลก็ไม่มีหน้าที่ขายยาให้กับผู้ป่วย เมื่อวินิจฉัยเสร็จจะเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องถือใบสั่งยา ไปหาซื้อยานอกโรงพยาบาล ขณะที่โรงพยาบาลมียาที่ผู้ป่วยอยากซื้อ แต่แพทย์จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของยา และไม่มีเปอร์เซ็นต์การขายยาเวลาหมอแนะนำยา ซึ่งตรงนี้จะตัดเรื่องของค่ายาไปเลย ถ้าเทียบไทยกับประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ในเรื่องของ Innovation ค่อนข้างได้เปรียบ ในเรื่องของการเป็นศูนย์แพทย์เฉพาะทาง ไทยมีความโดดเด่นและการรักษาโรคศัลยกรรมประเทศไทยก็มีความโดดเด่นเช่นกัน ฉะนั้น คู่แข่งหลัก ๆ ของไทยก็จะมีประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ 

            สุจรรยา บอกว่า กรณีประเทศแคนาดาเป็นเคสที่ดีมาก หมอหน้าที่วินิจฉัยอย่างเดียว ที่เหลือผู้ป่วยไปหารักษาเองยกเว้นโรคใหญ่ ๆ หรือหนักจริง ๆ กรณีที่ต้องผ่าตัดแพทย์จะเป็นผู้ดูแลให้ทุกอย่างครบจบกระบวนการ ซึ่งการรักษาโรคเฉพาะทางราคาค่าใช้จ่ายแถบยุโรปหรืออเมริกา ค่อนข้างสูงกว่าประเทศไทยบางรายสูงกว่า 50-100% แต่ถ้าในแถบเอเชียด้วยกันราคาค่าใช้จ่ายและค่ารักษาพยาบาล ค่อนข้างจะเกาะกลุ่มในระดับต้น ๆ คือ ประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมีรายละเอียดในการรักษาพยาบาลมาก แพทย์ของญี่ปุ่นจะไม่รักษาโรคที่มีความซับซ้อน แต่จะวินิจฉัยโรคเป็นหลักมากกว่า โดยจะไม่สั่งยาและไม่มีการรักษาโรค จนกว่าผู้ป่วยจะยินยอมหรือมั่นใจว่า ตัวเองป่วยเป็นโรคนั้นจริงถึงจะทำการรักษา แพทย์ของญี่ปุ่นค่อนข้างที่จะระมัดระวังมากว่า ผู้ป่วยนั้นป่วยด้วยโรคนี้จริง เขาจะไม่วินิจฉัยในทันทีแต่จะดูอาการก่อน และให้การรักษาเบื้องต้นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นถึงขั้นให้ยาเลยยังน้อยมากจน กว่าจะมั่นใจมาก ๆ ก่อนจึงจ่ายยาให้ เพราะบางกรณีผู้ป่วยแพ้ยา ก็จะมีเรื่องราวใหญ่โตฟ้องร้องตามมา

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5