สะท้อนปัญหาสังคมผ่านมุมข่าวอาชญากรรม กับ “ดร.อลงกรณ์ เหมือนดาว”

''ข่าวอาชญากรรมของเราจากนี้ ต่อไปจะไม่ทำเรื่องเลือดท่วมจอ เพราะในยุคก่อนข่าวอาชญากรรมต้องเห็นเลือดท่วมจอ แต่จะมองมิติในเชิงสังคมว่า ทำไมเด็ก 6 ขวบ ฆ่าเด็ก 8 ขวบตาย เพื่อชิงจักรยาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2538 แต่จะไม่มองว่าเด็ก 6 ขวบเป็นฆาตกร จะมองมิติเชิงสังคมว่า กรณีนี้เป็นปัญหาสังคม ไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรม''

///

“ดร.อลงกรณ์ เหมือนดาว บรรณาธิการข่าวช่อง 3 SD และบรรณาธิการรายการข่าว 3 มิติ” เล่าภูมิหลัง “กว่าจะเป็น ‘อลงกรณ์ เหมือนดาว‘ นักข่าวสืบสวนดีกรีด๊อกเตอร์” ผ่าน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า ตั้งแต่เด็กอยู่ในชุมชนแออัดแถวเตาปูน ซึ่งในชุมชนแออัดมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเยอะมาก ยกพวกไล่ยิงไล่ฟันกัน เพื่อนบางคนที่สนิทกันสมัยเรียน อาจจะเรียนได้แค่ชั้นประถม หลายคนหายไปหลายปีเพราะเข้าเรือนจำ แต่ตนเป็นคนเดียวที่พ่อแม่ ห้ามออกไปอยู่ในวิถีนั้น ไม่ให้ไปตีรันฟันแทง ห้ามไปทะเลาะวิวาท พ่อแม่ให้ตั้งใจเรียน ตนก็ตั้งใจเรียนเป็นเด็กเรียนตั้งแต่ยังเด็ก สมัยก่อนไม่มีเกรดตอนประถมเรียนได้คะแนนกว่า 90% ก็ถือว่าไม่เริดเท่าไร แต่เราก็มุ่งเรื่องเรียน

''ตี๋ใหญ่'' จุดฝัน ''อลงกรณ์'' สู่นักข่าวอาชญากรรม

อลงกรณ์ บอกว่า สิ่งที่เห็นตอน ป.4 ทำให้อยากเป็นนักข่าว เพราะในชุมชนมีทั้งภาพบวก และภาพลบ อีกอย่างตนโชคดี คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงห์แก้ว ชวนให้มาอยู่ด้วย ซึ่งบ้านของศาสตราจารย์ฯ อยู่ติดกับชุมชนแออัด แต่มีถนนในซอยขั้นกลาง เมื่อมาอยู่บ้านของศาสตราจารย์ ก็ได้เห็นอีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง เช่น มีรัฐมนตรีมาเยี่ยมที่บ้าน, เห็นคุณหมอรางวัลแมกไซไซในอดีต ที่ช่วยเหลือสังคม เพียงแค่ข้ามถนน ก็เห็นสังคมอีกแบบหนึ่ง ที่ได้เจอคนที่มีบทบาทในสังคม เจอผู้บริหารแบงค์ชาติไปที่บ้านหลังนี้หมดเลย แต่พอข้ามถนนกลับมาที่บ้านเรา ก็จะเจออีกแบบหนึ่ง ที่ตนผมเห็นภาพอาชญากรรมมากมายในชุมชน ทั้งบ่อนการพนันทุกอย่างในสมัยนั้น แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว และตนเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนเข้าไม่ถึงนักการเมือง แต่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ ป.4 ทั้งไทยรัฐ, เดลินิวส์ และมติชน

''เวลาเกิดเหตุในชุมชนแออัด รถเข้าไม่ได้เพราะเป็นถนน และตรอกเล็ก ๆ เวลาได้ยินเสียงรถชนกัน ตูม!! ก็จะวิ่งออกมาจากตรอกเล็ก ๆ แข่งกับเพื่อน ๆ เพื่อมาดูว่า มีใครตาย หรือบาดเจ็บหรือไม่ แล้วก็เก็บข้อมูลวิ่งกลับไปเล่าให้คนในชุมชนฟัง ทั้งเหตุการณ์ และรายละเอียด เช่น ตายกี่ศพ รถอะไรชนกับรถอะไร รถพยาบาลมาหรือยัง ซึ่งตนเอชอบชอบเก็บข้อมูลมาเล่า ตั้งแต่ ป.4-ป.5'' อลงกรณ์ เล่า

อลงกรณ์ บอกว่า ช่วงนั้นทราบว่า มีตี๋ใหญ่หนีตำรวจมาแถวชุมชน และมีตำรวจมาอยู่ใกล้บ้านแถวสะพานพระราม 6 หรือ พระราม 7 ปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้น เรียนหนังสืออยู่ ป.4 ข่าวบอกว่า ตอนนั้น ตี๋ใหญ่หนีตำรวจได้แล้ว หลบตำรวจลงไปในน้ำโดยใช้ก้านมะละกอโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเพื่อหายใจในน้ำได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรอบตัวหมดเลย

''ตอนนั้น เรียนหนังสืออยู่ก็ไปชะโงกดู เพราะอยากรู้ว่า ตี๋ใหญ่ซ่อนอยู่ตรงไหน เมื่อตนโตขึ้นมาได้ทำสารคดีเรื่องตี๋ใหญ่ ถึงได้รู้ตอนสมัยเด็ก ๆ ว่า อ๋อ!! ศาลตรงนี้เองที่ตี๋ใหญ่ทำพิธีหักก้านมะละกอ ริมคลองข้างโรงเรียนของเราตอน ป.4 เราเคยวิ่งมาดูนี่หน่า เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นรอบตัวเรา ก็เลยรู้สึกว่าอยากเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม แล้วก็ก้าวอีกขั้นหนึ่งรู้สึกว่า อยากเป็นนักข่าวสืบสวนสอบสวนตั้งแต่เด็ก จนมาถึงตอนช่วงที่เรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ พออยู่ ม.3 คิดว่า จะเลือกสายวิทย์ หรือสายศิลป์ดี จึงคิดว่า เราอยากเป็นนักข่าว เลือกสายศิลป์ดีกว่า ก็มาทีละขั้นแต่ใจมุ่งมั่นที่ยังอยากเป็นนักข่าวอยู่ จนกระทั่งเป็นนักข่าวรวมถึงวันนี้ได้ 38 ปีแล้ว'' อลงกรณ์ เล่า

''ปักหมุด! ข่าวอาชญากรรม จะต้องสะท้อนปัญหาสังคม''

อลงกรณ์ เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นการเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมว่า เดิมทีตนเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม ที่มองเชิงสังคมอยู่แล้ว ช่วงทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวี มองข่าวมิติเชิงสังคมมากกว่าอาชญากรรม ไม่มองว่า อาชญากรเลว แต่มองว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น พอตนมาเรียนปริญญาโท ด้านสื่อสารมวลชน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เติมอีกมุมมองหนึ่งกว้างกว่าที่เคยเห็น ต้องมองทุกมิติ ทั้งเชิงการเมือง การบริหารคน เชิงเศรษฐกิจ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องอาชญากรรม เช่น อยากเติมเรื่องพฤติกรรมศาสตร์ สาเหตุจุดเริ่มต้นของอาชญากรรมต่าง ๆ มองในมิติเชิงทฤษฎีนำมาผสม และปฏิบัติ จากนั้นตั้งแต่ปี 2559 ตนก็เลยมาเรียนปริญญาเอกด้านอาชญวิทยา ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งความจริงไม่ได้หวังว่า จะได้ด็อกเตอร์เพราะรู้สึกว่า ได้เจอผู้คนมากมายจากอาจารย์ ก็หวังคิดแค่นั้น แต่ต่อมาตอนหลังคิดว่า มาแล้วหยุดไม่ได้ ต้องไปต่อจนเรียนจบ

''อาชญากรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ เรื่องฆาตกรรม ตอนที่อยู่ไอทีวีเมื่อปี 2539 ตอนนั้นตนมองในมิติเชิงสังคม เพราะไอทีวีมีนโยบายชัดเจน ก็จะปักหมุดว่า ตอนนั้นผมอายุ 28-29 ปี เป็น บก.ข่าวอาชญากรรมไอทีวี ก็ปักหมุดเลยว่า ข่าวอาชญากรรมของเราจากนี้ ต่อไปจะไม่ทำเรื่องเลือดท่วมจอ เพราะในยุคก่อนข่าวอาชญากรรมต้องเห็นเลือดท่วมจอ แต่จะมองมิติในเชิงสังคมว่า ทำไมเด็ก 6 ขวบ ฆ่าเด็ก 8 ขวบตาย เพื่อชิงจักรยาน ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2538 แต่จะไม่มองว่าเด็ก 6 ขวบเป็นฆาตกร จะมองมิติเชิงสังคมว่า กรณีนี้เป็นปัญหาสังคม ไม่ใช่ปัญหาอาชญากรรม'' อลงกรณ์ อธิบาย

“เสน่ห์ข่าวอาชญากรรม คือ เรื่องใกล้ตัว มองหลากมิติ เล่าให้น่าสนใจ”

อลงกรณ์ ยังเล่าว่า เมื่อมองข่าวอาชญากรรมในมิตินี้แล้ว ก็เติมตรงที่ตนเองชอบเล่าเรื่องตั้งแต่เด็ก เวลาเขียนบทต่าง ๆ จะมีมิติการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและใกล้ตัว หรือกรณีเรื่องส่วยทางหลวงเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีก่อน ไปถ่ายภาพส่วยใครก็ถ่ายได้ แต่จะต้องมีวิธีการเล่าเรื่องเบื้องหลัง บางภาพเข้าไม่ถึงแต่ก็ใช้วิธีการเล่าเรื่องแล้วโยงให้เห็นว่า มันเกี่ยวกับตัวคนดูข่าวยังไง ฉะนั้น เสน่ห์ของข่าวอาชญากรรม คือ เรื่องใกล้ตัวและมองในมิติเชิงสังคม ที่ไม่ให้กระทบสิทธิ์คน หรือกระทบน้อยที่สุด เพื่อแลกกับประโยชน์ของสังคม

“เราต้องเล่าเรื่องให้เป็น ที่เขาพูดกันสมัยนี้ว่าเป็น Story แต่สมัยก่อน เราเล่าเรื่องต่าง ๆ ทำให้ข่าวอาชญากรรมน่าสนใจ พอเราโตขึ้นมา เราบอกว่า แค่อาชญากรรม เรื่องใกล้ตัวอย่างเดียวไม่พอ แต่เราจะต้องมองในเชิงสืบสวนสอบสวน ที่จะนำไปสู่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ก้มหน้าก้มตาทำข่าวอาชญากรรมอย่างเดียว เรามองอีกมิติหนึ่งเราได้ข้อมูลเรื่องนี้มาแล้ว ก็ไปค้นคว้าเพิ่ม แม้แต่ในเชิงการเมือง ก็สามารถใช้ทักษะ เรื่องอาชญากรรมค้นคว้าหาหลักฐานมาใช้ได้ พอเราโตขึ้นมาเป็น บก.ข่าว เป็นบรรณาธิการบริหารของไอทีวี เป็น บก.ข่าวสามมิติ เรามองเฉพาะเรื่องอาชญากรรมที่เราถนัดไม่ได้แล้ว แน่นอนว่า ความชำนาญของเรา อยู่ที่อาชญากรรมและการสืบสวน เราก็เอาความสืบสวนของเราไปใส่ให้น้อง ๆ แต่ละสายข่าว ที่เขาถนัดแต่ละด้าน ก็ทำให้งานแต่ละงาน มีมิติและมีการตรวจสอบวิเคราะห์ ไม่ได้ปล่อยผ่านแค่นักการเมืองพูดอะไร” อลงกรณ์ เล่า

''นักข่าวมืออาชีพ'' ต้องปลอดภัย-เก็บชีวิตไว้ทำข่าว

อลงกรณ์ เล่าว่า ตนบอกกับนักข่าวเสมอตั้งแต่ทำงานชิ้นแรก เมื่อปี 2539-2540 ทำเรื่องส่วย ที่วางแผนกัน 4-5 แผน ถ้าแผน 1 พลาดแล้ว จะไปสู่แผน 2 อย่างไร บอกน้อง ๆ ว่า ถ้าเข้าพื้นที่ไปทำเรื่องอันตราย เรื่องสืบสวนเช่นสมัยก่อนเข้าไปในบ่อนไปแอบถ่ายภาพในบ่อน ถ้าความปลอดภัย 50-50 ตนไม่ให้เข้าไปทำ เพราะตนพูดเสมอว่า ให้เก็บชีวิตไว้ทำข่าวต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปทุ่มว่า ชีวิตนี้เป็นนักข่าวมืออาชีพต้องสละชีวิต ถ้าสถานการณ์ไม่ปลอดภัย ก็ต้องเก็บชีวิตไว้ทำข่าวต่อไป และเก็บข้อมูลเอาไว้ เพราะวันหนึ่งจะย้อนกลับทำข่าวได้

''พูดเสมอว่าถ้า 50-50 ไม่ไปแต่ถ้าปลอดภัย 60 อันตราย 40 ก็ยังไม่ไป ถ้าปลอดภัย 70 อันตราย 30 น่าตัดสินใจ แต่จะต้องมี 5-6 แผนอย่างมาตรฐานทั่วไปของผมต้อง 80-20 เพราะรู้ว่าจะปลอดภัยทั้งหมด 100% นั้นยาก ต้องวางแผนอุดรอยรั่วให้ดีที่สุด ถ้าพลาดแผน 1 แล้วต้องไปแผน 2 หรือแผน 3 เพราะความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ'' อลงกรณ์ กล่าว

อลงกรณ์ ยังบอกว่า สิ่งหนึ่งที่พบมาตลอดเกือบ 30 ปี คือ ถ้าไม่ไปรับงานใครมาตรวจสอบอีกฝ่ายหนึ่งแล้วฝ่ายตรงข้าม มาตรวจสอบอีกฝ่าย จะลดอันตรายตนเองไปได้เยอะ ถ้าเขารู้ว่าเราไปรับงาน ไปผิด ไปเลว ไปรับจ้างอีกฝั่งเพื่อมาตีอีกฝั่ง แม้อีกฝั่งหนึ่งเลวจริง แต่อีกฝั่งก็จะแค้น แล้วก็จ้างคนมาฆ่า หรือ ตามล่าเรา แต่เมื่อใดถ้าเขาเช็คว่า นักข่าวคนนี้ ทำข่าวเพราะทำข่าวจริง ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับใคร เขาก็จะข่มขู่ ไม่ตามล้างตามผลาญ ฉะนั้น ความแค้นจะทวีคูณเมื่อเราไปรับงานใครมาทำข่าว เหมือนมือเราเปื้อนต่อให้คนนั้นเลวจริง ๆ เขาก็จะอาฆาตเป็นทวีคูณ ถามว่าเขาโกรธหรือไม่ เขาโกรธแน่นอน แต่ความอาฆาตจะไม่ถึงขั้นฆ่า อาจจะแค่ข่มขู่ฟ้องร้อง ที่ผ่านมาประสบการณ์ผมเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าคนร้ายจะใจดีกับเราทุกเคส

ประสบการณ์ทำข่าว ''เฉียดตาย-เฉียดคุก'' ถูกปืนจ่อหัว

อลงกรณ์ ยังเล่าประสบการณ์เฉียดตายว่า ทีมงานตนหลายคนเฉียดตาย แต่เนื่องจากเราวางแผนหลายขั้นตอน จึงไม่ไปสู่จุดนั้น มีบ้างไปสู่จุดนั้น แต่เป็นข่าวธรรมดา เช่น สมัยหนุ่ม ๆ ตนไปทำข่าวคนเดียวตรงแนวชายแดน จ.ตราด เรื่องการเลือกตั้งกัมพูชาเมื่อปี 2536-2537 ตนไปยกกล้องถ่ายรูปเก็บภาพ ก็ถูกปืนจ่อหัว แต่ก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งส่วนใหญ่คนกัมพูชา พูดภาษาไทยได้ ก็อธิบาย ตอนนั้นเป็นเหตุการณ์เฉียดตาย แต่เรารู้ว่า เราเอาอยู่ เพราะว่า พูดไทยด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่เขามีความเป็นคนไทยอยู่บ้าง เพราะมีเชื้อสายไทย-กัมพูชา ซึ่งเขาก็งงว่า มาถ่ายภาพเขาทำไม ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ประเทศเขายังไม่สงบดี ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพิ่งเริ่มเลือกตั้งโดยสหประชาชาติ พอตนเข้าไปยกกล้องถ่ายรูป เขาก็ระแวงหมดว่า เป็นฝ่ายไหน ตรงนั้นเป็นประสบการณ์หนึ่งที่เฉียดตาย แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการสืบสวนโดยตรง

การทำข่าวเฉียดตายอีกสมัยหนึ่ง อลงกรณ์ เล่าว่า ช่วงปี 2537 ต่อเนื่อง 2538 ที่กรุงพนมเปญ เรื่องคนไทยถูกจับจาเหตุปฏิวัติที่พนมเปญ เราก็ไปยืนถ่ายรูปหน้าบ้านฮุนเซน ซึ่งไม่ใช่บ้านหลังที่เป็นข่าวตอนนี้ แต่เป็นบ้านในอดีต ตนก็โดนทหาร กับตำรวจรวบตัว เพราะเขาระแวง เนื่องจาก ประเทศเขายังไม่สงบดี เราก็โดนคุมตัวและถูกส่งกลับประเทศไทย เพราะเขารู้ว่า เราไม่ได้เป็นไส้ศึกแค่เก็บภาพปกติ เรื่องนี้ไม่ถือว่า เฉียดตายแต่เฉียดคุกมากกว่า

“เปรียบข่าวโซเชียลเป็นเบาะแส แต่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน”

อลงกรณ์ บอกว่า การเป็นนักข่าวสืบสวนเกือบทุกออนไลน์เกือบทุกรายการ ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะนำเสนอในบริบทไหน เช่น รายการ Talk หรือรายการวิเคราะห์ต่าง ๆ ที่เชิญคนมา การเลือกคนมาเปิดเผยตีแผ่ ก็อยู่ในหมวดของการสืบสวน ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวแฝงตัวเหมือนสมัยตนในอดีต แต่การตีแผ่ข้อมูล การเล่าข่าว ก็ถือว่า เป็นการสืบสวนอีกมิติหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวเสมอไป เดี๋ยวนี้ข้อมูล และภาพมาจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ข้อมูลมากกว่าเรา ต่างจากเมื่อก่อน จะตรวจสอบเรื่องยาเสพติดซื้อ-ขายกันในตลาด มีการขับมอเตอร์ไซค์ส่งยา ต้องลงพื้นที่เอง แฝงตัวไปเป็นคนซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ชาวบ้านอยู่ใกล้กว่านักข่าว เขาถ่ายคลิปส่งมา

''หน้าที่เรา คือ ตรวจสอบคลิป ตรวจสอบข้อมูลว่า จริงเท็จแค่ไหนก่อนนำเสนอ และต้องให้คุณค่าข้อมูลข่าว ทุกอย่างในโซเชียลมีเดีย ในฐานะข้อมูลไม่ใช่ขยะ แต่อย่ายกฐานะเป็นถังข่าวเด็ดขาด เพราะถังข่าว ต้องเป็นผู้สื่อข่าวของเราส่งมาให้ และตรวจสอบแล้ว แต่ถ้าไปเอาจากโซเชียล ที่มีใครโพสต์ แล้วนำมาพูดหมด ตรงนั้นให้มองว่า เป็นถังข้อมูล ฉะนั้น การทำข่าวยุคใหม่ ไม่ว่าจะสืบสวนสอบสวนหรือไม่ จงมองข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย แต่อย่าดูถูกข้อมูลเหล่านั้นว่า เป็นถังขยะ เพราะข้อมูล ก็มีส่วนถูกบ้าง ถ้าเราเลือกเป็น และจงอย่ามองว่า เป็นถังข่าว เพราะถ้าเราหยิบไปใช้ โดยไม่ตรวจสอบเราจะพลาด ให้หยิบเป็นฐานข้อมูลมาตรวจสอบก่อนนำเสนอ ตรงนี้คือหลัก ๆ เปรียบเสมือน กทม.ให้เราแยกขยะ มีอยู่ 3 ถัง คือ 1.ถังขยะ 2.ถังข้อมูล 3.ถังข่าว เราอย่าเอาข้อมูลทั้งหมดว่า เป็นขยะ แต่เราสามารถคัดแยกได้ว่า ข้อมูลไหนเป็นถังขยะ แต่ตัวนี้ดี ดึงมาอยู่ฐานข้อมูล ตัวนี้ตรวจสอบแล้ว ให้ย้ายมาเป็นถังข่าว เราก็จะแม่นขึ้นความผิดพลาดก็จะน้อยลง” อลงกรณ์ กล่าว

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5​