“ไชน่าเมกะเทรนด์ : ผ่านเลนส์สื่อไทย” 

            ​“มุมมองที่ผมสัมผัสได้จากการไปดูงานครั้งนี้ คือ จีนเป็นประเทศใหญ่ คิดเรื่อง Global Scale คือ คิดในระดับโลก เพราะประชากรจีนมีกว่า 1,000 ล้านคน แต่จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ ถ้าเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา เข้าด้วยกัน จะทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นกว่าเดิม”  

            

.

“นพฤทธิ์ กมลสุวรรณ บรรณาธิการและผู้ก่อตั้งสำนักข่าวบริคอินโฟ” เล่าถึงประสบการณ์ร่วมอบรม “โครงการมองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ ครั้งที่ 7” ซึ่งจัดโดย“สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” และไปศึกษาดูงานที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 26-30 ต.ค. พร้อมคณะสื่อมวลชนไทย ใน“รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า  

“มองจีนมุมใหม่ แง่เทคโนโลยี - อุตสาหกรรมบันเทิง”

            นพฤทธิ์ บอกว่า โครงการนี้ 1 สัปดาห์เต็มๆที่ได้มองจีนมุมใหม่ ได้เรียนรู้ที่ไม่ใช่ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ แต่เรียนรู้แง่ของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมบันเทิงด้วย เพราะปัจจุบันจีนมีละครคุณธรรมสั้น เป็นซีรีส์วิดีโอแนวตั้ง ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่เรากำลังได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน เราได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจหลากหลายท่านมาให้ความรู้ วันเปิดงานได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าวปาฐกถา ซึ่งโครงการแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ อยู่ประเทศไทย 2 วัน และอยู่ประเทศจีน 5 วัน โดยส่วนที่อยู่ในประเทศไทย คณะได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและผู้สื่อข่าว ที่เคยไปประจำประเทศจีนจริงๆ ว่าการทำข่าวที่ประเทศจีนเป็นอย่างไร ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลังของธุรกิจรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ แม้กระทั่งเหตุผลและกลยุทธ์บางอย่างที่จีนเลือกใช้ในเวทีโลก 

“ดูงาน ศูนย์ความร่วมมือและประยุกต์ใช้ AI ระหว่างจีนกลุ่มอาเซียน”  

​            นพฤทธิ์ บอกว่า พอไปถึงประเทศจีนมณฑลที่ไปเรียกว่า “เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง” อยู่บริเวณกลางล่างของแผนที่จีนติดกับเกาะไหหลำ บริเวณอ่าวตังเกี๋ย ความสำคัญของมณฑลนี้ คือเป็นมณฑลที่เชื่อมต่อกับเวียดนาม ซึ่งเวียดนามเชื่อมต่อกับสปป.ลาว และสปป.ลาวเชื่อมต่อกับไทย โดยมีทางหลวงที่สำคัญเชื่อมต่อระหว่างจีนมาไทยและไทยไปจีน ซึ่งไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ มณฑลกว่างซีจ้วง คือ มณฑลซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเอกที่ชื่อหนานหนิง ทำให้มณฑลนี้มีความสำคัญในแง่เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ฉะนั้นการไปศึกษาวัฒนธรรมและดูงานที่ประเทศจีนครั้งนี้ มีโอกาสให้คณะผู้สื่อข่าวได้เข้าไปดู ศูนย์ความร่วมมือและการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียน

“กว่างซีจ้วง 1 ในมณฑลของจีน ที่มีพื้นที่ใกล้ภูมิภาคอาเซียนมากที่สุด”

            ​นพฤทธิ์ บอกว่า ตอนเข้าไปฟังผมก็ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องมาตั้งศูนย์ AI ที่มณฑลนี้ ทั้งที่จีนมีเมืองใหญ่ๆมากมาย อาทิ เซี่ยงไฮ้ , ปักกิ่ง , เซินเจิ้น พอได้ฟังเจ้าหน้าที่เขาอธิบาย ก็ได้คำตอบว่าถ้ามองในแง่เทคโนโลยี ตรงนี้เป็นพื้นที่หนึ่งที่ใกล้ที่สุดกับภูมิภาคอาเซียน ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อที่จะทำให้แอปพลิเคชันจากจีน และแอปพลิเคชันจากอาเซียนเข้าไปถึงตลาดใหญ่ๆ ของจีน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่าเดิม

            “มุมมองที่ผมสัมผัสได้จากการไปดูงานครั้งนี้ คือ จีนเป็นประเทศใหญ่ คิดเรื่อง Global Scale คือ คิดในระดับโลก เพราะประชากรของจีนมีกว่า 1,000 ล้านคน แต่จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ ถ้าเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา เข้าด้วยกันจะทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้นกว่าเดิม”  

“ดูงานท้องถิ่น - ชิมอาหารพื้นถิ่น”

            ​นพฤทธิ์ เล่าว่า ความพิเศษของทริปนี้ คือ ไม่ได้ไปเมืองใหญ่ๆ จึงทำให้เห็นวิถีชีวิต และแนวคิดของคนท้องถิ่นจริงๆ ลองเปรียบเทียบสมมุติว่าถ้าเราเป็นฝรั่งเวลามาประเทศไทย ฝรั่งก็ไม่ได้อยากมากรุงเทพ 100% เขาอยากไปเที่ยวเมืองท้องถิ่น (local) เช่น จ.เชียงใหม่,สุรินทร์ หรือภูเก็ต ตรงนี้เป็นสิ่งเดียวที่เรามีโอกาสได้ไป ได้ไปเห็นร้านหมาหัน และมีโอกาสไปทานอาหารท้องถิ่น ได้ไปพูดคุยคนท้องถิ่น เราบอกเขาว่าเป็นคนไทย เขายิ่งดีใจใหญ่เลย แล้วเขาชื่นชมว่าทุเรียนของไทยอร่อยมาก ทำให้เรารู้สึกใจชื้นเหมือนกันเพราะเขาพูดออกมาเอง  

“เข้าพบกงสุลใหญ่ไทย ประจำหนานหนิง-คนจีน ยังนิยมทุเรียนไทย แม้ปลูกเองได้ - จีน รู้จักไทยผ่านผลไม้”

            ​นพฤทธิ์ บอกว่า หนึ่งในกำหนดการครั้งนี้ คือ คณะได้เข้าคารวะ น.ส.เบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่แห่งราชอาณาจักรไทย ประจำนครหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านเล่าให้ฟังว่าคนจีนมองไทยอย่างไร ส่วนทุเรียนของไทยแม้ว่าเกาะไหหลำจะปลูกได้ แต่ทุเรียนของไทยยังมีความสำคัญสำหรับคนจีน เพราะอร่อยและมีที่มาจากเมืองไทย คนจีนชอบทานทุเรียนแบบเลยสุกไปนิดนึง คือ เนื้อนิ่มๆออกจะเละ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาการขนส่งด้วย ที่ใช้เวลาประมาณหนึ่ง จากเดิมที่ทุเรียนของเราห่ามๆ ไปถึงเขาก็เนื้อนิ่มหมดแล้ว แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีข่าวเสียหายสำหรับประเทศไทยบ้าง แต่คนจีนส่วนใหญ่ยังมองเราในแง่ที่โอเคอยู่ มีมูลค่าเศรษฐกิจอีกมากมายที่ไทย มีโอกาสส่งออกไปจีนได้       ทั้งนี้คนจีนรู้จักประเทศไทยผ่านผลไม้

“ ผมเห็นทุเรียนผล 1 ขนาดเล็กประมาณเท่าลูกฟุตบอล จีนขายในราคา 1,600 บาท ถ้าเป็นขนาดใหญ่ ราคาจะยิ่งสูงขนาดไหน หากเรานำทุเรียนไปแปรรูป มูลค่าส่งไปขายราคาจะสูงมากกว่านี้ ผมเคยเห็นคนจีนมาเที่ยวประเทศไทย เขาเห็นทุเรียนทอดแล้วเหมาไปเป็นกระเป๋าใหญ่ๆ เข้าใจเลยว่าทำไมเขาเข้ามาในประเทศไทยแล้วเหมาแบบนี้ ”  

“สถานทูตจีน ให้เข้าชมโครงการท้องถิ่นที่ยังไม่ประกาศ – พบผู้ใหญ่มณฑลกว่างซีจ้วง - วัฒนธรรมบางอย่างคล้ายไทย”

            นพฤทธิ์ บอกว่า ความพิเศษของทริปนี้คณะได้ไปเห็นความเป็นท้องถิ่นจริงๆ ซึ่งโครงการครั้งนี้ทางสถานทูตจีนเปิดให้คณะเรามาก อาทิ ให้ไปดูโครงการที่ยังไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาดู เช่น คลองปานามา เวอร์ชั่นเมืองจีน แรงงานกำลังยังก่อสร้างอย่างแข็งขัน นับว่า Exclusive จึงพอจะเล่าเป็นน้ำจิ้มได้ประมาณนี้ครับ ลองนึกภาพประเทศจีน มีแม่น้ำแนวนอน 3 สาย ซึ่งปัญหาในเรื่องนี้ คือ หากเมืองซ้ายบนของประเทศจีนอยากส่งออกสินค้ามาในภูมิภาคอาเซียน เขาก็ต้องส่งเรือจากซ้ายบนไปขวาบน แล้วก็ออกน่านน้ำสากล เพื่อที่จะส่งของ แต่เขาใช้งบประมาณและความฝันอันยิ่งใหญ่ในการออกแบบโครงการออกมาให้มีคลองที่ตัดจากตรงกลางบนของประเทศ ลงมายังด้านล่างของประเทศ ส่วนตรงที่เป็นคลองปานามาเวอร์ชั่นเมืองจีน เชื่อว่าปีหน้าจะมีความคืบหน้าออกมา การที่เขาไม่เปิดเผยเพราะมีเทคโนโลยีบางอย่าง ที่อัปเดตมากกว่าคลองปานามา และอัปเดตมากกว่าคลองสุเอช เขากลัวว่าภาพจะไม่สวย จึงให้รอดูตอนคืบหน้ามากกว่านี้ก่อน  และการเดินทางครั้งนี้ได้รับเกียรติ จากผู้ใหญ่ของมณฑลกว่างซีจ้วงให้ข้อมูล ว่าเมืองกว่างซีจ้วงมีประชากรประมาณ 50ล้านคน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้คณะที่เดินทางไปรู้สึกว่า วัฒนธรรมบางอย่างคล้ายคลึงกับไทย เช่น ถนนคนเดินดูเหมือนกับเยาวราชของไทย และบางที่เปิดทั้งคืน 

“เยี่ยมชมการทำงานสื่อจีน เริ่มใช้ AI ทำงาน - ให้ความสำคัญสื่อโซเชียล”

            การเดินทางไปครั้งนี้ คณะสื่อมวลชนไทยยังได้ไปดูการทำงานของสื่อมวลชนจีนด้วย ​นพฤทธิ์ เล่าว่า  สื่อในจีนมีรัฐบาลเป็นเจ้าของสื่อแทบทุกสื่อในประเทศ แต่อีกฝั่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สื่อสังคมออนไลน์มีความสำคัญ ซึ่ง Influencer จีนตอนที่ไป Trip นี้มีข่าวว่าจีนบังคับ Influencer ที่เป็นสายเฉพาะทาง ต้องแสดงใบประกอบวิชาชีพด้วย แสดงให้เห็นว่า Social Media จีนก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ครั้งนี้ที่ไป ได้เห็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ข่าวจีน เริ่มใช้ AI ในการเขียน Content หรือแปลเป็นภาษา เช่น จีนแปลเป็นไทย หรือแปลเป็นอังกฤษ และแปลเป็นภาษามาเลเซีย

“จีน ออกแบบให้หลายเมืองเป็นเมืองท่า” 

            นพฤทธิ์ เล่าว่า เคยมีโอกาสไปนครเซี่ยงไฮ้ , เมืองเฉิงตู, หังโจว ซึ่งสิ่งที่สัมผัสได้จากเมืองหนานหนิง คือ ทางการของจีนได้ออกแบบเมืองนี้ให้เป็นมณฑล “เมืองท่า” สังเกตได้ว่าจะมีท่าเรือขนาดใหญ่ เขามีท่าเรืออัจฉริยะที่ไม่ต้องมีคนขับรถ 10 ล้อ นำตู้คอนเทนเนอร์ไปขนลงเรือ ถ้าลองนึกภาพท่าเรือแหลมฉบังหรือท่าเรือคลองเตย ต้องมีรถ 10 ล้อเป็น 10 หรือ 100 คัน นำตู้คอนเทนเนอร์ที่วางนิ่งๆ อยู่ที่ท่าเรือ ไปจอดเทียบท่าและยกขึ้นเรือ 

“นำ AI มาใช้แทนคน - ท่าเรือขนาดใหญ่, ท่ารถขนส่งชายแดนสร้างมูลค่า ศก.”

            นพฤทธิ์ บอกว่า สิ่งที่เขาพาไปดู คือ จีนใช้ระบบ AI ใช้ระบบ Automation ในการบังคับรถไร้คนขับ ให้ขับไปเวียนไปจอดหน้าท่าเทียบเรือ และใช้เครนยก โดยไม่ต้องมีคนอยู่ข้างบน แปลว่าเขามองตัวเองเป็นเมืองท่าที่สำคัญ และในอนาคตหากจีนเชื่อมโยงทุกภูมิภาคได้สำเร็จ เมืองท่าแห่งนี้จะสามารถเอาทรัพยากรบุคคลที่มีค่ามาใช้งาน แทนที่จะต้องมาเสี่ยงภัยกลัวว่าตู้คอตเทนเนอร์จะหล่นใส่หัวคนงาน ให้เอาไปทำอย่างอื่นที่อัจฉริยะกว่านี้ได้ดีกว่า นอกจากนี้คณะได้ไปดูท่ารถขนส่งด่านชายแดนจีน ที่ติดกับเวียดนาม ซึ่งท่ารถขนส่งนี้มีความสำคัญเช่นกัน เพราะรถไฟความเร็วสูงจากประเทศไทย ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นระหว่างนี้นอกจากเรือ ก็ต้องขนส่งโดยรถบรรทุก ออกจาก จ.นครพนม เข้า สปป.ลาว และเข้าเวียดนาม ตรงนี้จึงเป็นท่าที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทย เข้าไปอยู่ในตลาดจีนและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากยิ่งขึ้น 

“ปี 2025 แนวโน้มอิทธิพลตะวันออกนำ - ตะวันตกเริ่มวิ่งตาม”

            นพฤทธิ์ บอกว่า สิ่งที่สังเกตเห็น คือ เทรนด์ต่างๆ  เมื่อก่อนเราได้รับอิทธิพลจากฝั่งตะวันตกก้าวหน้ากว่าเรา ช่วงแค่ระยะ 15 ปีที่ผ่านมา เราตามเทรนด์ Facebook ตามเทรนด์ Instagram แต่ในปี 2025 เทรนด์ฝั่งตะวันออกกำลังนำ วันนี้เราเต้นอะไร ฝรั่งเต้นตาม ปัจจุบันไทยกำลังจะมี “ซีรีส์คุณธรรมแนวตั้ง” ขณะที่จีนทำเป็นล่ำเป็นสันมีรายได้เป็น 100ล้านบาท ในอนาคตก็เชื่อว่าฝรั่งก็จะทำเช่นกัน “ วันนี้เทรนด์โลกตะวันออกกำลังนำโลก เพราะฉะนั้นเราในฐานะสื่อมวลชนไทย ทำอย่างไรจะตามเทรนด์โลกให้ทัน หรือแม้กระทั่งเราจะกลายเป็นผู้นำโลกในเรื่องของเทรนด์เหล่านี้ได้อย่างไร ”

“ไม่หวังให้ไทยอวยจีน”

            ​“โครงการมองจีนยุคใหม่นี้ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้สื่อข่าวไทยไปอวยจีน แต่จีนอยากจัดให้เราได้เข้าไปมอง ในมุมมองของคนที่เคยผ่านประสบการณ์ ในการไปท่องเที่ยว ได้เข้าไปศึกษาดูงานในประเทศจีน เราในฐานะประเทศไทยที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็น 1 ในภูมิภาคที่กำลังจะกลายเป็นภูมิภาคสำคัญในเชิงเศรษฐกิจ ไทยต้องมองในมุมมองของเราเองด้วยว่า เราในฐานะผู้สื่อข่าวจะมองเขาอย่างไรบ้าง” นพฤทธิ์ ทิ้งท้าย

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์11.00-12.00น. โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5