‘เจฟฟ์ เบซอส’ พลิกทิศ The Washington Post วิจารณ์เดือดทอนอิสรภาพสื่อ

รายงานจาก “เดอะ คอนเวอร์เซชั่น” (The Conversation) เว็บไซต์ข่าวและบทวิเคราะห์อิงงานวิจัยชั้นนำของโลก รายงานว่า เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Besoz) มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก ผู้เป็นเจ้าของ “เดอะ วอชิงตันโพสต์” (The Washington Post) ได้ประกาศทิศทางการดำเนินการใหม่ของหนังสือพิมพ์เจ้าดังดังกล่าวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในแวดวงสื่อมวลชนสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงแนวทางการเขียนและการจำกัดเนื้อหาของหน้าบรรณาธิการของ The Washington Post ที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากทั้งบุคลากรของบริษัทและเหล่าผู้อ่านหนังสือพิมพ์เจ้านี้

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้คือการจำกัดเนื้อหาให้หน้าบรรณาธิการของ The Washington Post ให้บรรณาธิการเขียนได้แค่เรื่องที่สนับสนุน 2 หลักการ ได้แก่ “เสรีภาพส่วนบุคคลและตลาดเสรี” (Personal liberties and free markets) เท่านั้น เบซอสยังย้ำผ่านโพสต์ในแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์ (X) ด้วยว่า จะไม่เผยแพร่เนื้อหาที่คัดแย้งกับ 2 หลักการข้างต้นและจะปล่อยให้สื่อเจ้าอื่นจัดการแทน 

ดูเผิน ๆ แนวทางที่เปลี่ยนแปลงไปอาจดูไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน หน้าที่ของหน้าบรรณาธิการคือการเป็นพื้นที่ให้ผู้เป็นบรรณาธิการหรือผู้เชี่ยวชาญใช้แสดงความเห็น ตีความและวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างอิสระบน แตกต่างจากหน้าเนื้อหาข่าวที่รายงายตามข้อเท็จจริง

การควบคุมเนื้อหาของหน้าบรรณาธิการจึงเท่ากับเป็นการจำกัดความคิดเห็นให้เหลือแค่มุมเดียว ทำให้หลายคนเกิดข้อกังวลเรื่องความเป็นอิสระของสื่อมวลชนและการเป็นพื้นที่ถกเถียงของความคิดเห็นที่หลากหลายอย่างแท้จริง

Jeff Bezos, owner of The Washington Post. Mandel Ngan/AFP via Getty Images

ผลที่ตามมาทันทีคือ เดวิด ชิปลีย์ (David Shipley) นักข่าวอาวุโสผู้เป็นบรรณาธิการของหน้าบรรณาธิการดังกล่าว ลาออกเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ขณะที่นักข่าวและนักวิจารณ์สื่อจากหลากหลายขั้วการเมืองต่างมองว่านโนบายใหม่ของเบซอสขัดแย้งกับคุณค่าหลักของ The Washington Post ซึ่งยึดมั่นในหลักการความเป็นอิสระของสื่อมาโดยตลอด อาทิ มาร์ที บารอน (Marty Baron) อดีตบรรณาธิการของสำนักข่าวนี้ให้สัมภาษณ์ว่า การเปิดพื้นที่สำหรับการอภิปรายความเห็นที่หลากหลายคือหัวใจสำคัญในการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่การจำกัดการนำเสนอมุมมองในหน้าบรรณาธิการเป็นดั่ง “การปิดสวิตช์แห่งการตรวจสอบ” และขัดแย้งกับสโลแกนของหนังสือพิมพ์ที่ว่า “Democracy Dies in Darkness” หรือประชาธิปไตยสูญสลายในความมืด

นักวิเคราะห์ได้มีการเปรียบเทียบแนวทางใหม่ของ The Washington Post ที่ต้องการนำเสนอเพียงแง่มุมเดียวนี้กับแนวทางของวงการหนังสือพิมพ์ยุคบุกเบิกของสหรัฐเมื่อกว่า 200 ปีก่อน ในยุคนั้นอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ยังคงมีขนาดเล็กและมีบุคลากรน้อย โดยมักเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่เขียนข่าวและเป็นบรรณาธิการด้วยตัวเอง นอกจากนั้นหนังสือพิมพ์ในช่วงแรกที่มีน้อยเจ้ายังมักได้รับการสนับสนุนจากเหล่าพรรคการเมือง รวมทั้งเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ส่งผลให้สื่อสหรัฐในยุคนั้นค่อนข้างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เลือกข้างทางการเมืองอย่างชัดเจนและใช้ภาษาที่ดุเดือดในการเผยแพร่ข่าวที่สอดคล้องกับมุมมองเฉพาะของตัวเอง อย่างไรก็ดี นักข่าวก็กล้าที่จะวิจารณ์ฝ่ายตนเองหากจำเป็น ความชัดเจนเช่นนี้ทำให้ประชาชนเลือกเสพข่าวจากแหล่งข่าวที่ตนไว้ใจ ส่งผลให้อุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์สหรัฐเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ต่อมาในศตวรรษที่ 20 วงการข่าวเริ่มให้คุณค่าเรื่องความเป็นกลางและการอ้างอิงข้อเท็จจริงมากขึ้น และแยกเนื้อหาที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นหรือการตีความข่าวไว้ในบทบรรณาธิการหรือคอลัมน์ โดยที่ความเห็นเหล่านั้นต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก มาตรฐานข่าวประการใหม่นี้สืบทอดมาจนถึงยุคดิจิทัลปัจจุบันที่ผู้คนสามารถเผยแพร่ความคิดเห็นได้ทุกที่ทุกเวลา และกลายเป็นคุณค่าหลักเนื่องจากข่าวหรือความเห็นที่เลื่อนลอยและลำเอียงเป็นปฏิปักษ์ต่อความน่าเชื่อถือของข่าวและบั่นทอนประชาธิปไตย ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงของ The Washington Post ครั้งนี้เป็นการถอยหลังเข้าคลอง ขัดแย้งต่อหลักการความเป็นกลางของสื่อ และจำกัดอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็น

นักวิเคราะห์มองว่า เบซอสอาจกำลังตอบสนองต่อกระแสสังคมอเมริกันที่หันมานิยมอ่านข่าวที่เลือกข้างมากขึ้น ซึ่งอาจทำกำไรได้ดีกว่า ขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาเมื่อตอนที่มหาเศรษฐีผู้นี้ซื้อ The Washington Post ในปี 2013 ที่ว่าจะไม่แทรกแซงการทำงานและจะเคารพผู้อ่านมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว แน่นอนว่าผู้คนจำนวนมากไม่พอใจต่อการตัดสินใจครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือ รูธ มาร์คัส (Ruth Marcus) นักข่าวที่ทำงานร่วมกับบริษัทมามากว่า 40 ปี เธอได้เขียนบทความคัดค้านนโยบายของเบซอสและกลับไม่ได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์จนสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจลาออก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้อ่านมากกว่า 250,000 คนยกเลิกการสมัครสมาชิกกับหนังสือพิมพ์ เนื่องจากความไม่พอใจต่อทิศทางใหม่ของ The Washington Post

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงฝันร้ายของวงการสื่อยุคใหม่ ที่เจ้าของละทิ้งจริยธรรมของวงการข่าวและเปลี่ยนหลักการและมาตรฐานเดิมได้ตามใจตนเอง ลดทอนความเป็นอิสระในการแสดงออก รวมถึงปิดกั้นพื้นที่ถกเถียงความคิดเห็นที่หลากหลายของผู้คนในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งอิสรภาพและประชาธิปไตย อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในสำนักข่าวชั้นนำของสหรัฐคงสั่นสะเทือนวงการสื่อต่างประเทศไม่มากก็น้อย

ท้ายที่สุด แม้เบซอสจะเปิดเผยจุดยืนของตนอย่างตรงไปตรงมา แต่คำถามว่า สาธารณชนอเมริกันจะเลือกยืนอยู่ข้างสื่อประเภทไหน ตัวเลขการยกเลิกสมาชิกของ The Washington Post ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจเป็นสัญญาณคำตอบที่เริ่มชัดเจนของคำถามนี้

ที่มาข้อมูล https://theconversation.com/washington-posts-turnaround-on-its-opinion-pages-is-returning-journalism-to-its-partisan-roots-but-without-the-principles-251189