กว่าจะถึงวิสคอนซิน

กว่าจะถึงวิสคอนซิน

ชุติมา นุ่นมัน

aae_ok@yahoo.com

รู้สึกใจหายไม่น้อย ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปไกลครึ่งโลกขนาดนี้

มูลนิธิอิศรา อมันตกุล ได้มอบทุนการศึกษา ให้พวกเรา 4 คน ฉัน มนตรี จุ้ยม่วงศรี ปกรณ์ พึ่งเนตร และ อ.สุกัญญา บูรณเดชาชัย จากมหาวิทยาลัยบูรพา ให้ไปเรียนต่อและดูงานด้านการสื่อสารในหลักสูตรระยะสั้น Life science communication ที่มหาวิทยาลัย เมดิสัน วิสคอนซิน อยู่ทางตอนกลางของสหรัฐอเมริกา โปรแกรมที่เราจะไปเรียนกันนั้นทางมูลนิธิอิศรา อมันตกุล ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยจัดเป็นโปรแกรมพิเศษเฉพาะ คือ Professional Visiting Program ให้เข้าไปนั่งเรียนในภาควิชาสื่อสารมวลชน ซึ่งเราสามารถเลือกเรียนวิชาที่เราสนใจได้ทุกวิชา

ฟังๆอ่านๆ ไอ้คำว่า Professional แล้ว รู้สึกมันยิ่งใหญ่ และดูห่างไกล สำหรับที่จะมาใช้กับฉันอย่างมาก แต่เอาเถอะ ในเมื่ออุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมากว่าครึ่งค่อนโลกขนาดนี้แล้ว คำไหนๆคงไม่สำคุญไปกว่าความพยายามที่จะต้องมีนับจากนี้

การเดินทางของเราทั้ง 4 คนเป็นไปด้วยความทุลักทุเล

เริ่มจากวันแรก เราเดินทาง 7 โมงเช้า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จองตั๋วของสายการบิน ยูไนเต็ทแอร์ไลน์ โดยจะบินไปต่อเครื่องที่ นาริตะ ปะเทศญี่ปุ่น จากญี่ปุ่นจะไปต่อที่ชิคาโก และจากชิคาโก ต่อไปที่เมดิสัน อีกราว 50 นาทีก็ถึงที่หมายคือ เมดิสัน แล้ว โดยเวลาในประเทศไทยเร็วกว่าที่เมดิสันราว 11 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะถึงที่หมายประมาณ 4 ทุ่ม ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือเดินทางราว 23 ชั่วโมง(ไม่รวมรอเครื่องบินระหว่างเปลี่ยนเที่ยวบิน)

แต่เราก็ผิดพลาด และผิดคาดครั้งใหญ่

ทันทีที่เช็คอินน์ตั๋ว เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้ายุ่งคิ้วย่นประหนึ่งจะผูกโบว์ได้

“ชิคาร์โก มีพายุหิมะนะคะ อาจจะไปไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ เราจะเปลี่ยนเส้นทางให้” เธอบอกพร้อมกับยิ้มหวาน แต่เป็นยิ้มที่เราต่างไม่มั่นใจในสวัสดิภาพและสวัสดิการสักเท่าใด

เส้นทางใหม่ที่ว่าคือ บินไปนาริตะ ไปลงซีเอตเทิ้ล จากซีแอตเทิ้ล ไปเดนเวอร์ แล้วค่อยต่อไป เมดิสัน

“เราเลี่ยงเส้นทางพายุให้พวกคุณแล้ว ตามเส้นทางนี้ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางนะคะ”

พนักงานสาวร่างอวบบอก

ร่ำลาเพื่อนฝูง และมิตรรัก เรียบร้อยประจำการบนเครื่อง มุ่งสู่นาริตะ  จากนาริตะไปซีแอตเทิ้ล และจากซีแอตเทิ้ลไปเดนเวอร์การเดินทางเรียบร้อยดี เหนื่อย เมื่อยบ้างแต่พละกำลังที่สั่งสมมานานพอสมควร ยังสามารถทนทานกับความเหนื่อยเมื่อยได้อยู่

เหนื่อยกายนั้นไม่เท่าไหร่ มาเหนื่อยหนักใจเอาตรงที่เดนเวอร์นี่เอง

พวกเรารอเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อสู่ปลายทางที่ปรารถนาราว 3 ชั่วโมงที่นี่ ดูในตั๋ว เห็นว่า ไม่มีอาหารเสิร์ฟ เลย ไปหาของกิน กินกัน

เข้าไปร้านอาหารใกล้ๆเกท ที่จะรอขึ้นเครื่อง ไม่รู้ว่าเป็นร้านอาหารสัญชาติไหนเหมือนกัน เห็นเชฟทำพิซซ่า ที่แบบว่า ย่าง(ย่างไฟนั่นแหละ) กันแบบสดๆเห็นๆ เลยเข้าไปสั่ง กอล์ฟ(ปกรณ์) สั่งพิซซ่ามา 2 ถาด ฉันสั่งไก่ย่างราดซอสอะไรซักอย่างกับมักกะโรนี โอ๋(มนตรี) ได้สลัดผักจานใหญ่(ที่จริงน่าจะเรียกกะละมังใบย่อมๆมากกว่า)

แม้ทุกคนจะหิวจัด แต่พิซซ่าก็เหลือจนได้ เพราะมันไม่ใช่พิซซ่าที่ถูกปากคนไทย แบบสารพัดยี่ห้อที่เราเคยกินกันในประเทศไทยที่ขยันคิดรสชาติเพื่อคนไทยอยู่ตลอดเวลา

แต่เพราะอะไรไม่รู้ เราไม่ยอมทิ้งพิซซ่าที่เหลือ แพ็คใส่ห่อ เก็บใส่พก เอาไว้อย่างดี

ใกล้ถึงเวลาเครื่องออกตอนทุ่มครึ่งเดินไปที่เกท เห็นผู้โดยสารหลายคนเดินหน้าตาแตกตื่น บ่นพึมพำฟังไม่เป็นภาษา หน้าตาไม่พอใจ

เริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่าง

กอล์ฟรีบวิ่งไปดูที่ตารางเวลาบิน และก็เป็นไปอย่างที่คิด คือ เที่ยวบินยกเลิก เพราะพายุหิมะเข้า ที่เมดิสัน สนามบินปิด ที่น่าหนักใจคือ เจ้าหน้าที่บอกว่ามันอาจจะปิดไปถึงวันเสาร์โน่น

ตอนนั้นเป็นคืนวันจันทร์เองนะ ไม่ต้องรออีก 5 วันหรอกรึ พระพุทธเจ้าช่วย....

ไปติดต่อสายการบิน ถามว่า ไฟท์ยกเลิกแบบนี้คุณจะรับผิดชอบอะไรบ้าง หล่อนก็แสดงท่าทีไม่ยี่หระ ไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ให้กระดาษสีชมพูมาใบนึงแล้วบอกว่าให้ไปติดต่อหาที่พักที่โรงแรมในกระดาษนี้แล้วให้มาติดต่อเป็นระยะ เพื่อถามว่าสนามบินพร้อมจะเปิดวันไหน

ยิ่งเครียดกันไปใหญ่ ทำยังไงกันดี

แต่ก่อนคิดเรื่องที่พัก ตอนนั้นต้องไปเอากระเป๋าสัมภาระที่โหลดไว้ใต้เครื่องก่อน

ต้องนั่งรถไฟในสนามบินไปอีก 3 สถานี เพื่อไปรับกระเป๋า

การติดต่อรับกระเป๋ายุ่งยากและรอนานมาก จนหวั่นใจว่า กระเป๋าตูจะหายหรือเปล่า(วะ) เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้ข่มขู่ไว้เยอะว่า เปลี่ยนเครื่องบ่อยๆกระเป๋าอาจจะหายได้

นั่งรอ รอแล้ว รออีก อยู่ที่สายพานเคลมกระเป๋าตั้งแต่ สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม กว่าจะได้กระเป๋าคืนมา ดีใจอย่างกะได้แก้ว

ดีใจอยู่ได้ไม่นานเพราะมีเรื่องให้ต้องขบคิดอีก

คืนนี้จะเอายังไง ไปนอนที่ไหนดี

มองกระดาษสีชมพูที่เจ้าหน้าที่ยูไนเต็ทแอร์ไลน์ให้มา มีเบอร์โทรศัพท์ โทรไปก็คุยไม่รู้เรื่อง เพราะอีปลายทางมันพูดเร็วมาก เร็วจนท้อใจ แอบคิดว่าสงสัยคืนนี้ตูคงต้องนอนสนามบิน

คิดถึง ทอม แฮงค์ ในเรื่อง The terminal ที่พระเอกติดอยู่ที่สนามบินไปไหนไม่ได้

เดินไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินอีกรอบ คราวนี้พอจะฟังรู้เรื่องบ้าง เขาพาเดินไปที่โทรศัพท์ เป็นที่โทรศัพท์ฟรีโทรหาโรงแรมต่างๆที่อยู่แถวสนามบิน สำหรับพวกเครื่องบินยกเลิกโดยเฉพาะ

โทรไป สามโรงแรมแรก ปรากฏว่าเต็มหมด เริ่มใจไม่ดี เพราะวันนี้หลายสายการบินยกเลิก เพราะพิษพายุหิมะ เริ่มหวั่นใจ และมองหน้ากันเอง ในใจคิดว่า โอเคกันไม๊พวกถ้าต้องนอนอยู่แถวสนามบิน

“ลองโรงแรมนี้ ชื่อมันคล้ายๆม่านรูดดี ท่าทางจะไม่ค่อยมีคนนอน” กอล์ฟ ชี้ที่ป้าย “sleep inn” เราเลยยกหูโทรศัพท์ ปลายทางบอกว่าว่าง ราคาคืนละ 95 เหรียญ เราถามว่า 4 คน นอนห้องเดียวกันได้ไหม เขาบอกว่า ไม่มีปัญหา เพราะห้องนั้นมี 2เตียง และบอกให้รอที่หน้าสนามบิน อีก 15 นาที จะส่งชัตเตอร์บัสมารับ

รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง แต่งตัวให้กระชับ หยิบหมวก หยิบผ้าพันคอ และเสื้อกันหนาวตัวที่หนาที่สุดออกมาใส่ เพราะเทอร์โมมิเตอร์บอกว่าอุณหภูมิมันติดลบ 6 องศาเซลเซียส ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน

ได้เจอของจริงแล้ว ทรมาน ทรมาน สุด สุด

ยืนรอ อีชัตเตอรัส ของโรงแรมมารับ สิบนาทีก็แล้ว สิบห้านาทีก็ยังไม่มา หน้าแสบไปหมด แสบเหมือนอยู่หน้าเตาไฟ แต่นี้ไม่ใช่ไฟ แต่เป็นอากาศหนาว ทั้งแสบ ทั้งชา ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่แค่หายใจออกมา ควันก็ออกจากจมูก พอพูดควันก็ออกจากปาก

พี่หน่อย(อ.สุกัญญา) ขอเข้าไปหลบในสนามบินก่อน เพราะชักจะทนหนาวไม่ไหว แต่ไปเพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาใหม่ ถามว่าไปแท็กซี่กันไม๊ เขาคิด 35 เหรียญ

เวลาแค่ไม่นานนักพี่หน่อยได้ข้อมูมาว่า ถ้าเป็นแท็กซี่ของสนามบิน เขาจะคิดราคาคันละ 30 เหรียญ แต่พวกเราสี่คน รวกับข้าวของกองเบ้อเริ่ม ต้องใช้รถสองคัน แต่แท็กซี่ ที่พี่หน่อยติดต่อมา บอกว่า สี่คนไปหมด คิดแค่ 35 เหรียญเท่านั้น

นาทีนั้น นาทีแห่งความหนาวเกาะกินขั้วหัวใจ ยังไงก็ยอม เอาว่ะ ไปมันแท็กซี่เถื่อนนี่แหละ(วะ)

ขนของขึ้นรถแท็กซี่อย่างทุลัก ลุเล ดีว่า เป็นรถกึ่งรถแวน กว้าง ด้านหลังวางกระเป๋าได้หมด คนสี่คนก็นั่งแทรกๆกันไป เปิดฮีตเตอร์ แป๊บเดียว ก็เริ่มอุ่นขึ้น

พอร่างกายอุ่น จิตใจก็เริ่มมีสมาธิขึ้น จึงสังเกตว่า คนขับรถแท็กซี่เป็นคนเกาหลี ครั้นได้ถามก็รู้ว่า ชื่อ เคนเน็ท เป็นคนเกาหลี้ใต้จริงๆด้วย

รถวิ่งจากสนามบิน ถึงโรงแรมใช้เวลาราว 20 นาที

Sleep Inn เป็นโรงแรมเล็กๆ ไม่มีลักษณะของโรงแรมม่านรูดอย่างที่เราคิดแม้แต่นิดเดียว

ติดต่อห้องพัก พร้อมกับยื่นบัตรสีชมพูให้พนักงงานต้อนรับตาคม คนสวย เธอบอกว่า ถ้ามีบัตรนี้โรงแรมจะลดให้ครึ่งหนึ่งจาก 95 เหรียญ เหลือ 42 เหรียญ ที่สำคัญคือ โรงแรมมีหน้าจอตารางบินให้เช็คตลอด 24 ชั่วโมงเลย

ห้องนอนขนาดกระทัดรัด สองเตียงนอนกว้างพอที่จะนอนเตียงละสองคนได้สบายๆ ฉันกับพี่หน่อย และกอล์ฟับโอ๋ แต่โอ๋สมัครใจที่จะนอนพื้นที่ใกล้กับฮีตเตอร์ ก่อนนอนเช็คอีเมล์ คุณนิ่ม ผู้ประสานงานโครงการส่งเมล์เบอร์โทรศัพท์วัดไทยในเดนเวอร์ มาให้เผื่อว่าจะไปขอความช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

โทรไปที่วัดพุทธวราราม พระอาจารย์ท่านเจ้าคุณเกรียงศักดิ์ รับโทรศัพท์พอดี เราเล่าให้ฟังว่าเป็นนักเรียนไทย จะเดินทางไปวิซคอนซิน แต่พายุหิมะเข้า เที่ยวบินยกเลิก มาพักอยู่ในโรงแรมใกล้ๆสนามบิน ถามพระอาจารย์ว่ามีคำแนะนำอะไรหรือไม่ เพราะพวกเราไม่รู้จักใครในเดนเวอร์เลย

พระอาจารย์บอกว่าให้ไปนอนที่วัด จะได้ไม่เปลืองเงิน ที่วัดมีข้าวให้กินทุก ฉันบอกว่าพรุ่งนี้จะไปกราบนมัสการที่วัด

วางโทรศัพท์จากพระอาจารย์ก็มานั่งปรึกษากันว่าจะทำไงกับชีวิตในวันพรุ่งนี้ดี แล้วจึงได้ข้อสรุปว่า พรุ่งนี้ฉันกับกอล์ฟจะไปสนามบินอีกรอบเพื่อดูเที่ยวบินว่ามันจะบินได้วันไหน กลับมาจากสนามบิน ค่อยไปวัด

เป็นอันตกลงตามนี้

กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะนอนกันได้ก็ปาเข้าไปตีสามเกือบตีสี่ ตรงกับเวลาในประเทศไทยราวบ่ายสามโมง

ตื่นมาราว สิบโมง น้ำไม่อาบเพราะหนาวมาก โอ๋อาสาออกไปซื้ออาหารมากินรองท้องที่ 7-11 ใกล้โรงแรม ได้ขนมปังไส้กรอก กับอะไรไม่รู้หน้าตาเละๆมาห่อใหญ่ รสชาติ ไม่ได้เรื่องแม้แต่นิดเดียว กัดขนมปังไส้กรอกไปสองสามคำ ประมาณว่ากินกันตาย อย่าให้หิว แล้วไปรอขึ้นชัตเตอร์บัสของโรงแรมไปสนามบิน

เข้าคิวรอคอนเฟิร์มตั๋วด้วยใจระทึก บอกเจ้าหน้าที่ว่า อยากได้ตั๋วเร็วที่สุด ได้วันน้เลยยิ่งดี ยายเจ้าหน้าที่ทำหน้ายุ่งๆค้วผูกโบว์ แล้วบอกเสียใจด้วยไม่มี

ใจแป้วทันที พลางคิด จะทำไงดี(วะ)

เธอคนนั้นดูตั๋วอีกครั้ง มองหน้าฉันกับกอล์ฟ คราวนี้ยิ้ม แล้วบอกว่า มาจากกรุงเทพใช่ไม๊ค่ะ เดี๊ยนอ่ะ เคยไปจ.ภูเก็ตมาแล้ว คนที่นั่นน่ารักมาก เดี๋ยวนะคะเดี๋ยนจะพยายามหาที่นั่งให้ได้เร็วที่สุด

ว่าแล้วหล่อนก็ก้มหน้า ก้มตา กดแป้นคอมพิวเตอร์ต่อ แล้วเงยหน้าบอกว่า วันนี้ก็มีตั๋ว พรุ่งนี้ก็มี แต่มีแค่ 2 ที่นั่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นวันศุกร์ ถึงจะได้ทั้ง 4 ที่นั่ง จะรับวันไหน

ก็ต้องวันศุกร์นั้นแหละ เพราะให้ใคร สองในสี่คนไปก่อน คงไม่ได้แน่ๆ

คอนเฟิร์มตั๋วแล้ว โทรศัพท์ไปบอกคุณต้น ที่เป็นประธานนักเรียนไทยในวิสคอนซิ่น ว่าได้ตั๋วเครื่องบินวันศุกร์แน่นอน คุณต้นซึ่งจะมารับที่สนามบินก็รับทราบ

เดินฝ่าความหนาวออกมารอรถชัตเตอร์บัสของโรงแรมอยู่ 10 นาที รู้สึกว่าอุ่นกว่าเมื่อวานขึ้นมาหน่อยนึง แต่หน่อยเดียวเท่านั้น มีแดดออกรำไร มีนกกระจอกออกมาตากแดดเล่นฝูงใหญ่ พวกมันทำขนฟูๆ และไม่ยอมขยับหนีไปไหน แม้ว่าเราเดินเข้าไปใกล้ๆ นกกระจอกที่เดนเวอร์ ตัวใหญ่กว่านกกระจอกกรุงเทพหน่อยนึง...

มาถึงโรงแรม โอ๋กับ อ.หน่อย รออยู่และเตรียมพร้อมจะเดินทางไปวัดพุทธวราราม เราโทรศัพท์เรียกใช้บริการรถคุณเคนเน็ท ที่บอกว่า พร้อมจะรับส่ง และนำชมดาวทาวน์ หรือเมืองเดนเวอร์ ในราคา 80 เหรียญ

จากโรงแรมถึงวัดใช้เวลา 30 นาที วัดพุทธวรารามเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเดนเวอร์ มีพระจำวัดอยู่ 6 รูป แม่ชี 1 ท่าน

/////////////////////////////////////////////////////

มองจากภายนอก รูปร่างหน้าตาวัด ไม่เหมือนวัดในประเทศไทยเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนทาวน์เฮาส์หลังใหญ่ๆธรรมดาๆหลังหนึ่ง นอกวัดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด

ลงมาจากรถแท็กซี่แล้วหนาวยะเยือกทันที

พระอาจารย์ ท่านเจ้าคุณเกรียงศักดิ์ เปิดประตูออกมารับ สายตาของหลวงพี่ และฮีตเตอร์ภายในวัดทำให้เราอบอุ่นขึ้นมาทันทีเหมือนกัน

กราบพระประธานแล้วมานั่งสนทนากับ หลวงพี่ ท่านเล่าว่าอยู่ที่เดนเวอร์มาไม่ถึงปี ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาจุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัย แล้วเรียนต่อปริญญาเอกที่นี่ พร้อมกับเผยแพร่ธรรมะ ให้กับคนไทยไปด้วย

“คนไทยที่นี่มีอยู่ราวร้อยกว่าคน ที่มาวัดเป็นประจำ เราก็จะมีกิจกรรมทางศาสนาทุกวันสำคัญทางศาสนา และวันหยุด ก็จะมีญาติโยมมานั่งสนทนาธรรม มานั่งสมาธิ มาเรียนธรรมะกัน หรือใครเดือดร้อนไม่มีที่พักเราก็มีที่พักชั่วคราวให้ มีนักเรียนไทยมากันบ่อยๆ ถ้าพวกโยมสะดวกอยากพักที่นี่ก็ได้ มีข้าวให้กินพร้อม ญาติโยมที่ทำร้านอาหารเขามาถวายทุกวัน”

ท่านบอกอย่างมีเมตตา แต่พวกเราบอกว่าวัดกับสนามบินห่างกันมากไม่สะดวกในการเดินทาง อยู่ที่โรงแรมจะสะดวกกว่า ท่านก็ไม่ว่าอะไร

หลวงพี่แนะนำให้รู้จักกับแม่ชีอีกรูปที่พักอยู่ในวัด ท่านชื่อแม่ชี สร้อยราตรี ซึ่งกรุณาพาพวกเราไปกินข้าวในครัว

เป็นอาหารไทยมื้อแรกนับแต่ออกจากเมืองไทย รสชาติมันอร่อยที่สุดในโลกในตอนนั้น

กินข้าวเสร็จ สนทนาธรรมกับแม่ชีและท่านอาจารย์เกรียงศักดิ์ต่ออีกพักใหญ่ จึงกราบลาท่านกลับ

เคนเน็ท บอกว่าจะพาเราท่องเมืองเดนเวอร์ในราตรีนั้น

เข้าไปในดาวน์ทาวน์ซึ่งเป็นเนินเขา มองลงไปข้างล่างเห็นอีกเมืองหนึ่งแสงไฟเฉิดฉาย สว่างไสวเหมือนในหนัง แต่ในเมืองที่เรานั่งรถผ่านผู้คนน้อย ถึงน้อยมาก เงียบเหงาแทบจะไม่มีใครเดิน แม้ว่าร้านค้า จะยังเปิดไฟอยู่ก็ตาม

“มันหนาว ไม่ค่อยมีใครอยากมาเดิน”เคนเน็ทบอก

เขาขออนุญาตเราเลี้ยวรถเข้าไปซื้อกาแฟในร้านสตาร์บั๊ค

เราบอกว่าสตาร์บั๊คที่เมืองไทยแพงมาก แก้วนึงเกือบหนึ่งร้อยบาท หรือกรณีใส่เครื่องเยอะๆหรือประเภทกาแฟเย็นก็ร้อยกว่าบาท

คนขับรถแท็กซี่ไม่มีใครเข้าสตาร์บั๊คกัน ส่วนใหญ่จะกินกาแฟโบราณ หรือไม่ก็พวกเครื่องดื่มบำรุงกำลัง

แต่สตาร์บั๊คที่เดนเวอร์แก้วละเหรียญกับอีกสามสิบเซ็นเท่านั้น คือ ราวๆสี่สิบบาท ถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับในประเทศไทย และรสชาติก็ไม่แตกต่างกันมาก

ตรงหัวมุมถนนก่อนออกนอกดาวน์ทาวน์ มีตุ๊กตาไฟและสายไฟสวยๆแขวนเอาไว้ระยิบระยับ เคนเน็ทถามว่า จะลงไปถ่ายรูปไหม เพระนักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกันที่นี่ แต่มองออกไปยามนั้นแทบจะไม่มีผู้คนเลย และลองแง้มกระจกรถ ยื่นมือออกไปดูแล้วจึงปฏิเสธที่จะลงไปเพราะมันยะเยือกมาก

กลับถึงโรงแรมรีบทำตัวให้อบอุ่น และด้วยความที่ยังไม่คุ้นชินกับเวลา จึงไม่มีใครง่วงนอน เราคุยกันจนเช้า จึงหลับ ตื่นมาอีกทีบ่ายสองโมงของที่นี่

หิมะตกลงมาอีก ในเมื่อยังไปเมดิสันไม่ได้ เราจึงต้องหากิจกรรมทำ เพื่อไม่ให้เบื่อมาก ให้รถชัตเตอร์บัสโรงแรมพาไปวอร์มาร์ท เพื่อหาของกิน

เดินในวอร์มาร์ทเหมือนเดินโลตัสบ้านเราไม่มีผิด มีสินค้าทุกอย่างทุกชนิด

ใครบอกว่าอเมริกา เป็นประเทศที่ดูแลสิ่งแวดล้อมดีนี่คัดค้านถึงที่สุด เพราะเมืองนี้ใช้ทั้งถุงพลาสติกและกล่องโฟมเปลืองอย่างยิ่ง

อะไรนิดก็ใส่ถุง ใส่โฟม และขยะจะเยอะมาก บนถนนใต้หิมะ ยังมีก้นบุหรี่เยอะแยะไปหมด

ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่เลย

เราซื้อไก่ย่างมา 1 ตัว ไก่ทอดมาอีก 1 แพ็ค ส้ม 1 กิโล ไว้กินเผื่อวันพรุ่งนี้ก่อนไปขึ้นเครื่องด้วย อิ่มหนำสำราญแล้วก็นั่งมองหน้ากันอยู่ในห้อง ติดตามข่าวคราวที่เมืองไทยทางเน็ท เพราะที่นี่มี wifi ให้ใช้ฟรี ตลอดเวลา

รุ่งเช้ารีบเช็คเอ๊าท์ ก่อนเที่ยงให้รถไปส่งสนามบิน เครื่องบินจะบินตอนทุ่มครึ่งและไปถึงเมดิสัน ตอนสี่ทุ่มครึ่ง โทรฯบอกคุณต้นว่าวันนี้ได้บินนามารับด้วยอย่าลืมพวกเราล่ะ เขาแสดงน้ำเสียงยินดีและกระตือรือร้นดีมาก

ในที่สุดเครื่องก็บินได้ เราหลับสนิทตลอดเกือบ 3 ชั่วโมงในเครื่อง ไม่รู้ว่าเขาเสิร์ฟอาหารตอนไหนด้วยซ้ำ ตอนตื่นถึงรู้ว่าเครื่องบินลำที่นั่งมาคึกคักมาก หลายๆคนรู้จักกัน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนักศึกษา เพราะท่าทางคงแก่เรียนกันทั้งนั้น หรือพวกที่แก่ๆหน่อยอาจจะเป็นอาจารย์ โดยเฉพาะคนที่นั่งติดกับฉัน เธออ่านหนังสือ(Text)ตลอดเวลา

คุณต้น และเพื่อนนักเรียนไทยอีก 2 คน คือคุณ ลองตอง (อ่านว่าลองตอง ไม่ใช่ลองกอง) กับคุณพีท มารับ สองคนแรกเป็นนักศึกษาปริญญาเอกคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ส่วนพีทจบปริญญาโทจากที่เดียวกันและทำงานแล้ว

ทั้ง สามคนพาพวกเราไปหาซื้ออาหารในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งที่เปิด 24 ชั่วโมง เลือกซื้ออาหารกล่องสำเร็จรูปประเภท เข้าไมโครเวฟอุ่นแล้วกินได้ทันที กับผลไม้ คือกล้วยและส้ม

จากซุปเปอร์มาเก็ต ไปบ้านที่เราต้องอยู่ถึง 6 เดือน คือ ที่ บ้านเลขที่ 6908 ถนน OLD SAUK ราว 20 นาที หน้าบ้านและหลังบ้าน เต็มไปด้วยหิมะ หิมะ และหิมะ ไขกุญแจและขนของเข้าไปแล้วรีบเปิดฮีทเตอร์ทันที บ้านเรา มี 2 ห้องนอน 1 ห้องครัว 2 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่างพร้อม ครัวสวยมาก ที่สำคัญคือ คิม เจ้าของบ้านที่ทางมูลนิธิอิศราอมันตกุล เช่าเอาไว้ให้นั้น เตรียมอาหารเอาไว้ในตู้เย็นแล้ว

พวกคุณต้นขอตัวกลับ เราก็ลงมืออุ่นอาหารกินกันอย่างหิวโหย อาบน้ำแล้วเข้านอนเกือบๆเช้าแล้ว