เปิดเบื้องหลังการปั้นตัวตน Influencer สาย “เล่าข่าว” เมื่อโซเซียลมีเดีย เปลี่ยนเกมสื่อสาร!

รายงานพิเศษ

โดยทีมข่าวจุลสารราชดำเนินฯ

อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนในยุคปัจจุบันต้องปรับตัวอย่างหนัก เพื่อตามทันกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับการเติบโตของ Influencer ซึ่งมีอิทธิพลสูงบนโลกออนไลน์ และผู้บริโภคหันมาติดตามข้อมูลข่าวสารจากInfluencer มากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของ Content Creator และ Influencer ในประเทศไทยในปี 2567 จะสูงถึง 45,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในกลุ่มที่น่าจับตามองคือ Influencer สาย "เล่าข่าว"

“ทีมข่าวจุลสารราชดำเนินฯ” จะพาไปรู้จักกับ 2 Influencer สาย "เล่าข่าว" จาก 2 แพลตฟอร์ม เพื่อหาคำตอบว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา ที่ทำให้เติบโตอย่างรวดเร็วและมียอดผู้ติดตามจำนวนมากอย่างทุกวันนี้

 “อ้ายจง” เล่าเรื่องในเมืองจีนทุกแง่มุม

หากพูดถึงเพจ Facebook ที่เล่าข่าวเกี่ยวกับประเทศจีนจากมุมมองคนไทยที่มีความรู้ลึกซึ้ง เชื่อแน่ว่า “อ้ายจง” คงเป็น 1 ในชื่อที่ผุดขึ้นมาในใจหลายคน เพจนี้ก่อตั้งขึ้นโดย ภากร กัทชลี อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วัย 36 ปี ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอก และทำวิจัยทางด้านสื่อสมัยใหม่และการตลาดไทยจีนโดยตรง

ภากร เล่าว่าจุดเริ่มต้นของการทำเพจ “อ้ายจง” เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ตอนที่เขาเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่กรุงปักกิ่ง และอยากแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของตนเองในประเทศจีน จึงเริ่มสร้างเพจขึ้นมา โดยที่มาของชื่อ “อ้ายจง” มาจากการเล่นเสียงคำที่จดจำง่าย ระหว่างภาษาจีนและภาษาถิ่นของไทย คือคำว่า “อ้าย” ภาษาเหนือ ที่แปลว่า “พี่”  ขณะที่ในภาษาจีน แปลว่า “รัก”

ส่วนคำว่า “จง” มาจาก “จงกั๋ว”  หมายถึงประเทศจีน เมื่อรวมความหมายแล้วคือ “รักประเทศจีน” หรือหากใช้ความหมายตามในภาษาไทย ก็จะแปลว่าว่า “พี่จง”  โดยเขาวางรูปแบบคาแรกเตอร์ของเพจนี้ ให้เป็นเหมือนคนคนหนึ่ง ที่ต้องการบอกเล่าเรื่องต่างๆในเมืองจีนทุกแง่มุม

“สิ่งที่เล่าออกไปมันคือ ประสบการณ์ชีวิตของผมที่เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาเนื้อหาของเพจ ผมเริ่มจากการเล่าเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันในมหาวิทยาลัยจีน พอภาษาจีนแข็งแรงขึ้น ผมก็เริ่มอ่านหนังสือพิมพ์จีน ดูทีวีและติดตามข่าวสารในโซเชียลมีเดียจีน จึงเริ่มเล่าข่าวสารที่เกี่ยวกับจีนจากมุมมองของคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่น ทำให้เนื้อหาของเพจขยายไปในหลากหลายแง่มุม เช่น ข่าวกระแสในเมืองจีน  และมุมมองของคนจีนที่มีต่อประเทศไทย รวมถึงเรื่องที่มีความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยและจีน เพราะกลุ่มเป้าหมายของผม คือ คนไทยที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับจีน ดังนั้น จะต้องมีการเล่าเรื่องเกี่ยวกับไทยด้วยเหมือนกัน”

จุดยืน! เป็นกลาง ไม่สร้างความขัดแย้ง

รูปแบบการเล่าข่าวของ “อ้ายจง”  มีความหลากหลาย และไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่เพจเล่าข่าว แต่ยังทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะมีการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจน  เพื่อให้การนำเสนอด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน    

“ อย่างตอนที่มีสื่อนำเสนอข่าวว่า คนจีนบอยคอร์ดไทย ตอนนั้น เราก็เล่าอีกมุมหนึ่งที่เราได้คุยกับเพื่อนคนจีน และได้ดูจากเนื้อหา คอมเมนต์ (comment) ในโลกโซเดียมมีเดียของจีน พบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนจีนไม่ได้บอยคอร์ด เราก็เอามาเล่า แล้วก็กลายเป็นว่ามีหลายเพจที่เอาเรื่องที่เราเล่าไปลงนำเสนอต่อ เพราะถือว่าเป็น inside ในจีน ในมุมมองของคนไทยในจีน ก็เริ่มทำให้เพจเป็นที่รู้จักตั้งแต่ตอนนั้น รวมถึงช่วงโควิด-19 มีหลายกระแสหลายเรื่องราว ทั้งจริงและไม่จริง เราก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการตรวจเช็กให้ว่า ข่าวนี้จริงไหม แล้วมันมีหลายๆที่นำเสนอไหม มีใครมองใครอย่างไรบ้าง  

ซึ่งจุดยืนของเราคือ การนำเสนอข่าวที่ไม่ได้เอามาจากแค่แหล่งเดียว แต่เราจะเล่าหลายๆแหล่ง และตรวจสอบก่อนที่จะเล่าออกมา ทุกครั้งที่เล่าจึงมีการระบุแหล่งอ้างอิงข้อมูลเสมอ โดยจะตรวจสอบจากหลายแหล่งทั้งในจีนและไทย รวมถึงการวิเคราะห์มุมมองจากต่างประเทศด้วย  เพื่อให้ข่าวที่เราเล่ามีความรอบด้านและถูกต้อง  

การเติบโตของเพจ “อ้ายจง” ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่มาจากความพยายามในการสร้างความเข้าใจและนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเมื่อมีคอมเมนต์จากผู้ติดตาม “อ้ายจง” จะใช้โอกาสนั้นในการให้ข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ 

 ภากร ย้ำว่าจุดยืนของเพจ “อ้ายจง” คือความเป็นกลาง และไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง

 “เล่าข่าว” บนความรับผิดชอบ เพราะเพจยิ่งโต เสียงยิ่งดัง

“ปัญหาหนึ่งที่มักพบคือ เรื่องทัศนคติของคนไทยที่มีกับจีน บ่อยครั้งที่มีคนเข้ามาคอมเมนต์ ทำไมเราถึงดูเหมือนอวยจีน ซึ่งผมกล้ายืนยันได้ว่า เราไม่ได้อวย แต่เรานำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง และเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้มีความบาลานซ์ในมุมมอง ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งสำคัญในทุกการเล่าเรื่อง เพราะในฐานะที่เราเป็นคนไทย เราอยากให้คนไทยรับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับจีน และไม่ติดอยู่แค่ในมุมมองเดียว สิ่งที่เรานำเสนอจุดประสงค์คือ อยากให้คนไทยรู้เท่าทัน เท่าที่จะเป็นไปได้ว่าในมุมของจีน เขากำลังนำเสนออะไร เพราะสื่อในเมืองจีนถูกควบคุมโดยภาครัฐ มีการกลั่นกรองในภาครัฐอยู่แล้ว” 

เขายกตัวอย่าง ตอนที่มีภาพของนักศึกษาจีนที่ยังอยู่ในห้องสมุดแม้จะดึกแล้ว บางคนเข้ามาต่อว่าว่าไปอวยคนจีนว่าขยัน แต่หากวิเคราะห์ให้ดี ทำไมจีนจึงมีภาพแบบนั้นออกมา เพราะว่าหลายๆครั้งสภาพแวดล้อมในหอพักไม่เอื้ออำนวย มีการแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือด ด้วยจำนวนประชากรและการปลูกฝัง แต่ในมุมมองของคนจีนทั่วไปที่มองเรื่องนี้ คือ คนไทยโชคดี ที่ไม่ได้กดดันเท่าบ้านเขา และความขยันไม่ได้วัดจากการที่นั่งอยู่ในห้องสมุด แต่อยู่ที่บริบททางสังคมด้วย

 “สิ่งสำคัญที่เรายึดมาตลอดคือ เราจะไม่เล่นในมุมของ emotion เพราะเรามองว่าไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร และจะไม่เล่าโดยใช้อารมณ์ หรือจุดชนวนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง  เพราะพอเพจเราเติบโตขึ้นมา เสียงของเราอาจมีพลังมากขึ้น ดังนั้น ในการนำเสนอทุกครั้งต้องมีความรับผิดชอบด้วย” ภากร กล่าวย้ำ

“ถามถึงความท้าทายของการเล่าข่าวหรือทำเพจข่าวยุคนี้ ผมมองว่า คือการแข่งขันในเรื่องของเวลา เพราะข่าวมันต้องเร็ว ถ้าคุณเล่าทีหลัง คุณจะต้องมีมุมที่น่าสนใจกว่า ซึ่งข้อเสียของอ้ายจงคือ ไม่ค่อยสม่ำเสมอ และไม่ค่อยโล้ไปตามกระแสเท่าไรนัก แต่เอกลักษณ์ของเพจอ้ายจง คือการสร้างจุดเด่น วางเป็นตัวบุคคล เพราะถ้าเราทำเป็นสื่อไปเลย เราต้องมีกำลังคน มีทีม 

อ้ายจง ก็เป็นเหมือนคน เป็นตัวตนของผมในอีกด้านหนึ่ง บางทีผมก็เล่าในสิ่งที่ผมสนใจ เช่น เรื่องฟุตบอล แล้วก็ใส่มุมความเป็นจีนลงไป เช่นคำนี้ภาษาจีนว่าอย่างไร หรือบางครั้งก็นำเสนอในเรื่องของวัยรุ่นจีนปัจจุบันที่เริ่มมีปัญหาการนอนไม่หลับ แต่ผมก็ตบท้ายไปว่า ตอนนี้น่าจะเริ่มนอนหลับง่ายขึ้น เพราะดูเกมแมนยูฯ ชวนง่วง”

ปัจจุบัน เพจ “อ้ายจง” มียอดผู้ติดตาม 2.9 แสนคน และขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Blockdit และ TIKTOK  ภากร บอกว่า ความสำเร็จจากการทำเพจ ยังต่อยอดและสร้างโอกาสในด้านอื่นๆ ทั้งการเป็นคอลัมนิสต์ประจำให้กับกรุงเทพฯธุรกิจ เป็นผู้จัดรายการร่วมกับคุณสุทธิชัย หยุ่น ในช่องทาง YouTube และ Facebook สุทธิชัย ไลฟ์ ทุกวันอาทิตย์ และผู้ดำเนินรายการวิทยุ FM 96.5 ทุกวันอาทิตย์  เป็นการเติบโตตามวันและเวลา ไปพร้อมๆ กัน ทั้งเพจ “อ้ายจง” และตัวเขาเอง 

 “การเป็น Influencer  ในยุคนี้ ผมมองว่ามันมีเรื่องของการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  เราต้องมองให้ชัดว่า กลุ่มเป้าหมายของเราจะเป็นใคร และเราอยากให้คนจดจำเราแบบไหน และมันได้เป็นในแบบที่เราต้องการไหม อย่า “ทำ” เพราะมองแค่ว่ามันคือ “รายได้”  เพราะถ้าคิดแบบนั้น มันจะทำให้เราทำแบบ “ตลาด” คือ เห็นใครทำแล้วรุ่ง เราก็ทำตามๆเขา ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งเราจะท้อ เวลาที่ทำแล้วไม่มีคนติดตามเราเลย  

อย่างที่เราเห็นในยุคนี้ มีอินฟลูฯ เกิดขึ้นเต็มไปหมด และส่วนใหญ่ก็ทำตามๆ กันค่อนข้างเยอะ ดังนั้น เทรนด์ของการเป็น Influencer เล่าข่าว ในยุคต่อไป คนที่จะอยู่ต่อได้ คือ คนที่มีจุดยืนชัดเจน แล้วมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน” ภากร กัทชลี เจ้าของเพจ “อ้ายจง” ทิ้งท้ายให้คิด

“ตุ๊ดย่อยข่าว” ปัง ! ด้วยคาแรคเตอร์

อีก 1 Influencer สาย "เล่าข่าว"  เบนซ์-จิรายุ จันทรวงศ์  อายุ 38 ปี จากศิลปินนักร้อง ที่ผันตัวมาทำช่อง  TIKTOK  “ตุ๊ดย่อยข่าว” จนมียอดผู้ติดตามถึง 1.8 ล้านคน  และเพิ่งจะคว้ารางวัล อันดับ 3  Best News Creator จากเวที Thailand Influencer Awardsมาหมาดๆ  

“เบนซ์” เล่าว่า เริ่มทำ TIKTOK ครั้งแรกตอนเป็นโควิด-19 เมื่อปี 2564 ช่วงรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงโหลด TIKTOK มาเล่น ทำคลิปรีวิวการกักตัวในโรงพยาบาล ส่วน  content ข่าว เริ่มมาช่วงประมาณคลิปที่ 4 - 5  โดยดึงจุดเด่นของตนเอง ที่เป็นคนชอบติดตามข่าวสาร และเล่าอะไรเข้าใจง่ายและสนุก 

“เพื่อนเป็นคนจุดประกายให้ทำคลิปเล่าข่าว เพราะปกติในกลุ่ม LINE เพื่อนจะชอบส่งข่าวเข้ามา ถามว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไง ซึ่งเราเป็นคนติดตามข่าวสารตลอด ก็จะเรียบเรียงข้อมูลแล้วก็ใช้การกดส่งเสียงทาง LINE ไปหาเพื่อน เล่าว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้นะแก 1 2 3 4  ให้ฟังแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย ซึ่งเพื่อนก็จะชมตลอดว่า แกเล่าข่าวเข้าใจง่ายมากเลย ทำไมแกไม่ไปทำช่องเล่าข่าว ก็เลยปิ๊งไอเดีย แล้วก็ลองทำ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่โอเคเลย จนทำต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้”

ช่วงแรกในการเลือก content  มาเล่าข่าวของเบนซ์  ไม่ต่างจากมือใหม่ในโลกโซเชียลหลายๆคน คือดูข่าวจากในเพจของสื่อหลักต่างๆ เช่น ข่าวสด ไทยรัฐ  แล้วเลือกข่าวที่มีการแสดงความคิดเห็นกันเยอะๆ ทำให้ช่วงแรกจะเป็นการเล่าข่าวการเมือง และข่าวกระแสต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มจับจุดได้ และค่อยๆพัฒนาช่องของตนเอง 

“ส่วนตัว สนใจข่าวที่เป็นดราม่า จะชอบไปดูและหาข้อมูลอ่านว่าทำไมถึงกลายเป็นประเด็นนี้ขึ้นมา มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น ในทวิตเตอร์ มีการโพสต์แฉขึ้นมา 1 2 3 4  ก็จะไปหาตามแหล่งต้นตอของข่าวนั้น แล้วเอาข้อมูลจากทั้ง 2 ด้าน ทั้งคนที่ถูกแฉ และคนที่มาแฉ มาเรียงว่าแต่ละฝ่ายมีข้อมูลอะไรบ้าง แล้วมาสรุปเล่าให้คนฟังว่าด้านนั้นว่าอย่างนี้ ขณะที่อีกด้านหนึ่งว่าอย่างนั้น  

แต่ก็เคยมีเหมือนกันที่เจอข่าวซึ่งข้อมูลหลายทิศหลายทาง จนไม่รู้ว่าจะฟังทางไหน เช่น ตอนข่าวคุณแตงโม ช่วงที่มีการระดมกำลังไปค้นหา ตอนนั้นตัดสินใจไปลงพื้นที่เองเลย เพื่อติดตามข้อมูลมาทำคลิปอัพเดทเล่าข่าวในช่องของตัวเอง”

“อินฟลูฯ” เล่าข่าว ตอบโจทย์สังคมเร่งรีบ

เทคนิคที่ทำให้ช่องของเขามีคนติดตามเกือบ ล้านคน และมียอดวิวในแต่ละข่าวหลักล้าน มาจากการย่อยข่าวที่เข้าใจง่าย และใส่อรรถรส ลีลา ทำให้คนที่ดูคลิป รู้สึกเหมือนกำลังฟังเพื่อน ที่มาเล่าข่าวให้เพื่อนฟัง

“เบนซ์ว่าสิ่งที่ทำให้อินฟลูฯ เล่าข่าวในบ้านเราเติบโตเร็ว เพราะมันตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของคนที่ต้องการอะไรที่สั้น กระชับ ฉับไว ย่อยง่าย เข้าใจง่าย และไม่เครียด ไม่ใช้ภาษาที่มันทางการมากเกินไป ถ้าลองสังเกตดู จะเห็นว่าข่าวของผม ก็เหมือนข่าวทั่วไปนั่นแหละ แต่แนวทางและวิธีการเล่าเป็นคาแรคเตอร์ที่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้เลย จะมีเอกลักษณ์ของการแสดงสีหน้า-ท่าทาง-การใส่อารมณ์ และใช้เรื่องของน้ำเสียงทำให้น่าสนใจ ใส่อรรถรสเพิ่มเข้าไปในเนื้อข่าว และมีคอมเมดี้ลงไปด้วย มันเลยออกรส-ออกชาติ มากกว่า และแต่ละคลิปต้องยาวไม่เกิน 3 นาที 

ตรงนี้คือ ความแตกต่างระหว่างการเล่าข่าวของอินฟลูฯ กับสื่อหลักที่เห็นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีเล่าข่าวเหมือนกัน แต่สื่อหลักมีข้อจำกัด เขาใส่อะไรแบบนี้ลงไปไม่ได้มากนัก เพราะมีกฎระเบียบการควบคุมจากหน่วยงานที่กำกับดูแล ที่สำคัญคือ ความต่อเนื่อง อินฟลูฯ เล่าข่าวพอรู้ข้อมูลปุ๊บ จะทำคลิปเลย และจะอัพเดต เกาะติดต่อเนื่อง ทำเป็น EP.ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งคนที่ติดตามก็จะสามารถไปย้อนดูได้ง่ายว่าเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเป็นอย่างไรจนมาถึงปัจจุบัน”

จับตาเทรนด์เล่าข่าว ปี 2568

“เทรนด์ข่าวปีหน้า น่าจะเป็นข่าวเจาะลึกการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับปากท้องคน ข่าวของคนในสังคมที่กระทำความผิดหรือทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการขายของออนไลน์ หรืออะไรต่างๆ การแฉสิ่งที่มันไม่ถูกต้องแล้วไม่ได้รับการแก้ไข คิดว่าข่าวแนวนี้มาแน่ปีหน้า และคนน่าจะสนใจมากขึ้น เพราะทุกวันนี้จะมีคนที่ส่งข้อความมาหาเบนซ์หลังบ้านตลอด ถ้าใครติดตามก็จะรู้ว่าเบนซ์พูดเรื่องมิจฉาชีพออนไลน์บ่อยมากๆ และคนก็สนใจเยอะมากจริงๆ เพราะเหยื่อมันเยอะหลายรูปแบบ บางครั้งหน่วยงานรัฐหรือตำรวจก็ไม่ได้แก้ไข ทำให้ผู้บริโภคหันมาสื่อ ให้ช่วยประชาสัมพันธ์ถึงจะมีการเดินเรื่องมากขึ้น”  

ปัจจุบัน “เบนซ์” เป็น influencer เล่าข่าวแบบ Full Time รายได้รวมแต่ละเดือนถึง 6 หลัก นอกจากช่อง  “ตุ๊ดย่อยข่าว” บน TIKTOK แล้ว  ยังขยายการเติบโตไปยัง facebookและทำรายการ podcast บน YouTube “ขมคอ Story” เชิญแขกมานั่งคุยถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ใต้คอนเซ็ปต์ที่ว่า “มันจะมีไม่กี่อย่างในชีวิต ที่ ข๊ม ขม อ้าว แล้วผ่านมาไงก่อน” ได้กระแสตอบรับที่ดี บาง EP. ยังถูกสื่อหลัก นำเนื้อหาจากรายการไปเสนอข่าวอีกด้วย 

โจทย์ยาก-ความท้าทายของ อินฟลูฯ

ในขณะที่ “สื่อหลัก” เผชิญวิกฤต ของ social media จนต้องเริ่มหันไปให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เป็นบ้านหลักมากขึ้น  ในสนามการแข่งขันของอินฟลูฯ ก็ไม่ต่างกัน 

 2  Influencer สายเล่าข่าว มองตรงกันว่า สำหรับ อินฟลูฯเอง ก็มีจุดที่เป็นวิกฤตเช่นกัน คือ การที่ยังต้องพึ่งพาแพลตฟอร์ม ในขณะที่อัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด  

“ตอนนี้ทุกคลิปที่ทำของช่อง “ตุ๊ดย่อยข่าว” เบนซ์จะยึดตามกฎของ TIKTOK  ที่ใช้ เป็นแพลตฟอร์มหลักในการทำ content เพราะ TIKTOK เป็นแพลตฟอร์ม ที่ทำให้คนสามารถสร้างตัวตนได้ง่ายที่สุด เพราะอัลกอริทึม นำส่งคลิปให้คนเห็นได้ง่ายที่สุดถ้าเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ   ไม่ต้องกดติดตามก็มองเห็นคลิปที่เราลงไปได้ ขอแค่มีตัวตนชัดเจน ทำ content ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เขาสร้างไว้ โอกาสที่จะมีผู้ติดตามเพิ่ม หรือมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการทำ TIKTOK ก็เป็นไปได้ง่าย และรวดเร็ว  

“แต่สิ่งที่ยากและท้าทายของ creator ทุกคนและทุกสาย คือ เรื่องกฎชุมชนของแพลตฟอร์มนั้นๆ ที่จะมีการเปลี่ยนกฎกันอยู่ตลอดเวลา จนบางทีเราเองก็วิ่งตามไม่ทัน สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความยากของ Influencer เช่นกัน เราต้องคอยอัพเดทตัวเองตลอด”  เบนซ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ ภากร เจ้าของเพจ “อ้ายจง” ที่ใช้พื้นที่แพลตฟอร์ม facebook ในการเล่าข่าว ก็เจอปัญหาไม่ต่างกัน

“ตอนนี้อัลกอริทึมของ facebook เองก็เอื้อให้กด Clickbait  เหมือนกัน เพราะการเขียนอะไรยาวๆ คนไม่ค่อยอ่าน และไม่ค่อยได้รับการแนะนำ คนก็เลยหันไปทำพวกโพสต์สั้นๆ ทำหัวข้อให้มันดึงดูด แต่ในอีกด้านหนึ่ง พาดหัวที่เน้นแต่ emotion อย่างเดียวหรือ Clickbait อย่างเดียวคนก็ไม่ค่อยเอาแล้วเหมือนกัน มันก็เป็นความยากและท้าทายเหมือนกันว่าแล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เมื่อเรายังต้องพึ่งพาตัวแพลตฟอร์มแบบนี้ และเราก็ต้องมีการปรับตัวตามอัลกอริทึมที่มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด เราจะ balance อย่างไร ปรับปรุงให้มันกลมกล่อมได้อย่างไร”   

“สิ่งที่เบนซ์อยากจะฝากคือ อยากจะให้คนที่เป็นอินฟลูฯสายเล่าข่าวทุกคน ให้ความสำคัญในวันที่มีข้อเท็จจริงออกมาด้วย ไม่ใช่ทำเฉพาะช่วงที่มีกระแสอย่างเดียว ถึงแม้จะเป็นการเล่าข่าวเพื่อให้ได้อรรถรสอะไรต่างๆ แต่สิ่งสำคัญก็ควรจะต้องมีการติดตามและนำเสนอเรื่องราวนั้นอย่างรอบด้านและครบถ้วนด้วย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเป็นการทำให้ข่าวนั้นเป็นข่าวที่สมบูรณ์” เบนซ์-จิรายุ จันทรวงศ์  เจ้าของช่อง “ตุ๊ดย่อยข่าว”  

“ในยุคที่เรามีอินฟลูฯ เยอะมาก และใครๆก็เป็นสื่อได้ แถมยังมี content หลากหลายรูปแบบ คุณจะทำอย่างไรให้มันมีเอกลักษณ์ในแบบของคุณได้ จะทำยังไงให้มีคนติดตามเราได้เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ฉาบฉวยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมว่าสิ่งหนึ่งที่อินฟลูฯ ต้องกลับไปคิดและทำให้ได้ คือจะทำยังไงให้มันมีความแตกต่าง และมีคุณภาพ ถ้าทำได้...ผมว่ายังไงก็ยังไปต่อได้เรื่อยๆ”  ภากร กัทชลี เจ้าของเพจ “อ้ายจง”

  การเติบโตของ Influencer สาย “เล่าข่าว” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีหรือโอกาส แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อ ที่ทุกคนสามารถสร้างและควบคุมเนื้อหาได้เอง วันนี้ อดีต "ผู้ฟัง" กลายมาเป็น "ผู้เล่า" และยังคงพัฒนาตนเองไม่หยุด เพื่อสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบ 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ หาก “สื่อหลัก” ยังคงย่ำอยู่กับที่ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “อนาคตของสื่อจะเป็นอย่างไร” แต่อาจเป็นคำถามชวนคิดที่ตีกลับไปว่า... สุดท้ายแล้ว"อนาคตของสื่อ จะอยู่ในมือใคร?"