งานวิจัย ‘รอยเตอร์’ 5 เทรนด์ที่ต้องจับตาในวงการสื่อ

รายงานพิเศษ

โดยทีมข่าวจุลสารราชดำเนินฯ

เมื่อเร็วๆนี้ ทีมนักวิจัยของสถาบันรอยเตอร์ ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์สรุปสถานการณ์สื่อสารมวลชนในช่วงปี 2567 พร้อมระบุว่า ผลกระทบต่อวงการสื่อสารมวลชนอาจต่อเนื่องถึงปี 2568 นี้ หลังจากปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับคนในวงการสื่อที่ต้องทำงานภายใต้ “เสรีภาพสื่อ” ที่ลดลง การปลดพนักงานรอบใหม่จำนวนมาก การเปลี่ยนแพลตฟอร์มเผยแพร่ข่าว และการถดถอยของประชาธิปไตยในหลายประเทศทั่วโลก 

รายงานฉบับดังกล่าวได้ระบุผลการวิจัยไว้  7 ข้อ ดังนี้ 

ประการแรก ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มการรับข่าวสาร รายงาน Digital News Report ประจำปี  พบว่า ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตใช้งานเฟซบุ๊กในการติดตามข่าวสารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นๆ ในการรับข่าวสารมากขึ้น อาทิ แอพพลิเคชั่นส่งข้อความส่วนตัว อย่าง Whatsapp หรือแอพพลิเคชั่นเผยแพร่ภาพวิดีโอ เช่น Instagram และ TikTok 

แม้ผู้เสพข่าวจะมีการเปลี่ยนแพลตฟอร์มออนไลน์ในการรับรู้ข่าวสาร แต่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังคงมองว่า แพลตฟอร์มต่างๆ อาทิ โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ค้นหา หรือ เว็บไซต์รวบรวมข้อมูล ยังเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข่าวออนไลน์ ผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 1 ใน 5 หรือ ร้อยละ 22 ที่บอกว่าเว็บไซต์ข่าวหรือแอพพลิเคชั่นข่าวคือ ช่องทางหลักในการเสพข่าว ลดลงมากถึงร้อยละ 10 จากในปี 2018 

ประการที่สอง สำนักข่าวส่วนใหญ่มองว่า การบรรลุข้อตกลงกับบริษัทปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) นั้น ไม่ได้ทำให้สำนักข่าวต่างๆ ได้ประโยชน์เป็นเม็ดเงินอย่างเท่าเทียมกัน 1 ใน 3 หรือ ร้อยละ 35 ของสำนักข่าวที่ตอบแบบสอบถามในรายงานของ “นิค นิวแมน” เกี่ยวกับเทรนด์ของสื่อ ชี้ว่า บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากการบรรลุข้อตกลงกับบริษัทด้านเอไอ และผู้ตอบแบบสอบถามอีกร้อยละ 48 คาดว่า สำนักข่าวอื่นๆ จะได้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว

ประการที่สาม สัดส่วนของบรรณาธิการข่าวที่เป็นผู้หญิงยังคงน้อยกว่าผู้ชายอยู่มาก จากบรรดาสำนักข่าว 240 แห่งทั่วโลก มีบรรณาธิการที่เป็นผู้หญิงเพียงร้อยละ 24 เท่านั้น ถึงตัวเลขดังกล่าวอาจยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ถือว่าสูงขึ้นกว่าในปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 22 รายงานของ “เอมี รอสส์ อาร์เกดาส” และคณะ ระบุว่า ใน 12 ประเทศที่มีการทำวิจัย พบว่า บรรณาธิการของสำนักข่าวส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ใน 10 ประเทศที่มีการจัดทำข้อมูลตลอด5 ปีที่ผ่านมา พบว่า สัดส่วนของบรรณาธิการข่าวที่เป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 23 ในปี 2020 ขึ้นเป็นร้อยละ 25 ในปี 2024 หากเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป อาจทำให้สัดส่วนของบรรณาธิการข่าวที่เป็นผู้หญิงเทียบเท่ากับผู้ชายภายในปี 2074 

ประเด็นที่สี่ ครึ่งหนึ่งของเว็บไซต์ข่าวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน 10 ประเทศ ได้ปิดกั้นการเข้าถึงของบอตที่ใช้ในการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อการประมวลผลเอไอของบริษัทโอเพ่นเอไอ เมื่อนับจากช่วงสิ้นปี 2023 ข้อมูลจากรายงานของ “ริชาร์ด เฟล็ทเชอร์” ที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ระบุว่า มีเว็บไซต์ข่าวดังกล่าวเพียงร้อยละ 24 ที่ปิดกั้นการเข้าถึงบอตที่ใช้ดึงข้อมูลของระบบเอไอของกูเกิล แต่เกือบทุกเว็บไซต์ที่ปิดกั้นการเข้าถึงของบอตเอไอของกูเกิล ก็ได้ปิดกั้นการเข้าถึงบอตเอไอของบริษัทโอเพ่นเอไอเช่นกัน ทั้งนี้ การปิดกั้นการเข้าถึงบอตเอไอของโอเพ่นเอไอในเว็บไซต์ข่าว มีสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ เช่น เว็บไซต์ข่าวในสหรัฐอเมริกามีการปิดกั้นร้อยละ 79 ขณะที่ประเทศโปแลนด์และเม็กซิโกมีการปิดกั้นเพียงร้อยละ 20 

ประการที่ห้า หลายคนมองว่า Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ขึ้นมาได้ จะทำให้การทำข่าวแย่ลง ผลการตอบแบบสอบถามใน 6 ประเทศ พบว่า ผู้คนมีความคิดเชิงลบมากกว่าเชิงบวกในเรื่องผลกระทบของ Generative AI ในการทำข่าว สาธารณชนส่วนใหญ่มองว่า เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อด้านวิทยาศาสตร์ การรักษาสุขภาพ และการคมนาคม แต่ก็มองว่า Generative AI จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเรื่องความไม่เท่าเทียมกัน การเขียนข่าว และความมั่นคงทางอาชีพ 

ประการที่หก ผู้คนจำนวนมากมองว่า ข่าวสร้างความแตกแยกมากกว่าโซเชียลมีเดีย รายงานล่าสุดเกี่ยวกับมุมมองของสาธารณชนในเรื่องแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ตอบแบบสอบถามจาก 8 ประเทศ ระบุว่า แอพพลิเคชั่นส่งข้อความส่วนตัว และโปรแกรมช่วยค้นหาข้อมูล คือ แพลตฟอร์มที่ผู้คนมองว่าช่วยให้คนมีความสามัคคี รวมตัวกันมากขึ้น โดยผู้เล่นที่ทำให้สังคมมีการรวมตัวกันมากที่สุด คือ นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีสัดส่วนของผู้ลงคะแนนให้กับนักวิทยาศาสตร์ร้อยละ 20 แต่ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 13 มองว่าโซเชียลมีเดียสร้างความแตกแยกในสังคม แต่มากถึงร้อยละ 27 และ ร้อยละ 29 มองว่าสื่อและการทำข่าวสร้างความแตกแยกในสังคม แต่ผู้เล่นที่สาธารณชนมองว่าสร้างความแตกแยกมากที่สุดคือนักการเมือง มากถึงร้อยละ 55 

ประการที่เจ็ด ความเชื่อมั่นในวงการสื่อลดลงท่ามกลางการรับข่าวสารจากทางโทรทัศน์ที่ลดลง งานวิจัยของ ”นายริชาร์ด เฟล็ทเชอร์” และนักวิจัย 10 คน ของสถาบันรอยเตอร์ได้สืบค้นถึงความเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของข่าวใน 46 ประเทศ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า สาธารณชนกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่ทำการสืบค้นข้อมูลมีความเชื่อมั่นในข่าวลดลง งานวิจัยยังพบว่า ความเชื่อมั่นในข่าวลดลงมากขึ้นในประเทศที่มีการรับข่าวสารผ่านทางโทรทัศน์ลดลง รวมถึงในประเทศที่มีการรับข่าวสารผ่านทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น 

นอกจากนั้น สถาบันวิจัยรอยเตอร์ยังได้ระบุ “5 เทรนด์” ในวงการข่าวที่ควรจับตามอง

เทรนด์แรก คือ อินฟลูเอนเซอร์สายข่าว จะมีบทบาทมากขึ้น อินฟลูเอนเซอร์สายข่าวที่หลายคนรู้จัก เช่น  “โจ โรแกน” ของสหรัฐอเมริกา หรือ “เจมส์ โอไบรอัน” ของ อังกฤษ ต่างมีบทบาทสำคัญในวงการข่าว รายงานการวิเคราะห์ข่าวดิจิทัลของสถาบันวิจัยรอยเตอร์พบว่า ผู้อ่านให้ความสนใจต่ออินฟลูเอนเซอร์ที่มักให้มุมมองที่ลำเอียงไม่ว่าจะเป็นเข้าข้างฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา และอินฟลูเอนเซอร์ดังกล่าวมักเป็นผู้ชาย 

เทรนด์ที่สอง เอไอจะเข้ามามีบทบาทในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น เอไอกำลังสร้างมิติใหม่ของการผลิตและกระจายข่าว แต่ขณะเดียวกัน นักข่าวและคนอ่านข่าวเอง ก็กำลังหาทางรับมือกับการเข้ามาของเอไอ นักวิจัยของสถาบันรอยเตอร์ได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนถึงการแพร่กระจายของคอนเทนต์ที่ใช้เอไอทำซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เนื้อหาคุณภาพต่ำและเพื่อเอาไว้เรียกยอดเข้าชม 

“เดวิด แคสเวล” ผู้ก่อตั้งบริษัท StoryFlow ที่ให้คำปรึกษาในเรื่องขั้นตอนการทำงานของเอไอในด้านการทำข่าว ให้ความเห็นว่าเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำที่ใช้เอไอในการทำเปรียบเหมือนกับสแปมในอีเมล ที่ในช่วงแรกของการกำเนิดอีเมลยังไม่สามารถควบคุมอีเมลสแปมได้ จนต่อมาเราต่างเรียนรู้ว่าจะควบคุมเรื่องดังกล่าวอย่างไร 

เทรนด์ที่สาม นักข่าวจะได้รับผลกระทบจากการถดถอยของประชาธิปไตย รัฐสภาของประเทศจอร์เจียได้ผ่านร่างกฎหมายตัวแทนต่างชาติ (foreign agents bill) ทำให้เกิดการประท้วงใหญ่บนท้องถนน เพราะหลายคนมองว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพสื่อและสำนักข่าวหลายแห่ง นักข่าวที่ทำข่าวการประท้วงดังกล่าว และผู้ที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวได้เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า “ถูกข่มขู่” 

นอกจากประเทศจอร์เจียแล้ว กฎหมายด้านไอทีของประเทศอินเดียได้พยายามขยายการควบคุมการเผยแพร่ของสื่อ ที่ทางรัฐบาลอินเดียของนายกรัฐมนตรี “นเรนทรา โมดี” อ้างว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาข่าวปลอม รวมถึงมีความกังวลเกี่ยวกับ “พหุนิยม” ในสื่อ ในประเทศอิตาลี โดยเฉพาะข้อกังวลเกี่ยวกับสำนักข่าว RAI ของทางการอิตาลี ที่นายกรัฐมนตรี “จอร์เจีย เมโลนี” ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนในสำนักข่าว RAI ว่าจะกระทบต่อความเป็นเสรีภาพของบรรณาธิการของ RAI หรือไม่ 

เทรนด์ที่สี่ สภาพการทำงานของนักข่าวย่ำแย่ลง นักข่าวไม่ใช่อาชีพที่เหมาะสำหรับคนที่มีใจรักในอาชีพนักข่าว แต่มีปัญหาการเงิน นักข่าวฟรีแลนซ์ 25 คน ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาเจอกับปัญหาในการหางานในตลาดที่อิ่มตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงรายได้ที่ลดลงและปัญหาสุขภาพจิต นักข่าวรุ่นใหม่เผชิญกับปัญหาดังกล่าว ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบคณะวารสารศาสตร์ที่ใช้ค่าเทอมสูง แต่เป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าทำงานในด้านสื่อ นักข่าวอีก 10 คน ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาเจอกับความยากลำบากในการหาที่ฝึกงาน-หาตำแหน่งงาน การย้ายงาน และการแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆ ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะ 

เทรนด์ที่ห้า นักข่าวต้องทำงานท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ปัจจุบัน ผู้อ่านข่าวออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ค้นหา และเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลในการเสพข่าว ทำให้สำนักข่าวหลายเจ้าต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น

ข่าวใหญ่ในเรื่องนี้ คือ การที่ “นายอีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทรถยนต์เทสลา และผู้สนับสนุนของ”นายโดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 47 เข้าซื้อกิจการของแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยมอย่างทวิตเตอร์ และเปลี่ยนโฉมแพลตฟอร์มภายใต้ชื่อใหม่ “X” ทำให้นักข่าวและสำนักข่าวหลายแห่งตั้งคำถามถึงคุณค่าของ X ที่มีต่อวงการข่าว และข่าวที่ X ถูกแบนในประเทศบราซิล เพราะไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายของบราซิล ทำให้สำนักข่าวบางแห่งรู้สึกถึงความเสื่อมถอยของแพลตฟอร์ม X 

-----------------
ที่มา - How 2024 shaped journalism: insights from the Reuters Institute’s work | Reuters Institute for the Study of Journalism

---