วงการสื่อ 67-68 ขึ้นเงินเดือนไร้วี่แวว โบนัส สะกดไม่เป็น

รายงานพิเศษ

โดยกองบก.จุลสารราชดำเนิน  

         ปี 2568 ผ่านมาได้ร่วมเดือนแล้ว ถึงตอนนี้ “คนข่าว-กองบรรณาธิการข่าว”หลายสำนัก ที่กำลังรอลุ้น”โบนัสประจำปี-การปรับขึ้นเงินเดือน”ที่สื่อบางสำนักอาจพิจารณาให้ในช่วงหลังพ้นเทศกาลปีใหม่  เริ่มทำใจได้แล้วว่าแนวโน้มอาจไม่ได้!

อย่างในส่วน โบนัสของปี 2567 ที่สื่อบางสำนัก เคยลุ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ว่าอาจจะมีการพิจารณาให้ย้อนหลัง ถึงตอนนี้ส่วนใหญ่เริ่มทำใจแล้วว่า คงไม่ได้ โดยบางคนบอกว่า แค่มีงานทำ-ไม่โดนลดเงินเดือน ไม่โดนตัดสวัสดิการต่างๆเช่น โอที ก็ดีถมไปแล้ว เรื่องโบนัส ไม่เคยคาดหวังเพราะบางคนทำข่าวมาหลายปี ผ่านมาแล้วหลายสำนัก  ชีวิตนี้ยังไม่เคยได้โบนัส บางคนถึงกับเปรียบเปรย ชีวิตการทำงานข่าว สะกดคำว่าโบนัสแทบไม่เป็น โบนัสคืออะไร ไม่รู้จัก!

         ขณะที่นักข่าว-กองบก.บางค่าย ก็ได้โบนัสกันไปแล้วเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบางสำนัก ที่บริษัทไม่ได้ให้โบนัสช่วงสิ้นปี แต่จะให้ในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น ช่วงเทศกาลตรุษจีน และบางค่าย ให้โบนัสที่เรียกกันว่าเงินขวัญถุง จากเดิมที่ให้ช่วงสิ้นปี แต่ช่วงหลังก็เปลี่ยนมาเป็นให้ในช่วงวันเกิดบริษัทหรือวันก่อตั้งบริษัท 

         โดยเรื่องของการให้”โบนัส-ขึ้นเงินเดือนนักข่าวและกองบก.”เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่า เป็นขวัญกำลังใจสำหรับคนทำงานไม่ใช่น้อย อีกทั้ง ยังเป็นการบอกทิศทางขององค์กรด้วยว่า ในรอบปีที่ผ่านมา มีผลประกอบการอย่างไร และในปีนี้ แนวโน้มการดำเนินธุรกิจจะเป็นอย่างไร เป็นต้น

 หลังปี 2567 ที่ผ่านมา ข่าวการปรับโครงสร้างองค์กร-การลดคน ของสื่อบางสำนัก แม้แต่สื่อยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสารมวลชน ก็มีการลดพนักงาน-กองบก.กันหลายแห่ง จนกลายเป็นเรื่องที่สะท้อนภาพรวมธุรกิจสื่อในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเจอปัญหาหนักหน่วงไม่ใช่น้อย  

         ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นเรื่อง การให้โบนัส-การขึ้นเงินเดือนของนักข่าว และกองบก.พบข้อมูลที่นำมารีวิวให้เห็นกัน เช่น “สถานีโทรทัศน์ช่อง 3”ซึ่งเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีข่าวที่ช็อกวงการสื่อไม่น้อยกับการปรับลดพนักงาน-เลิกจ้าง พนักงานในฝ่ายข่าว-กองบก.-ผู้ประกาศข่าว รวมถึงพนักงานออฟฟิศไปจำนวนหนึ่ง จนทำให้พนักงานช่อง 3 ฝ่ายข่าว  ต้องรอลุ้นว่าจะมีโบนัสให้หรือไม่ โดยพบว่า ช่วงหลัง การประกาศให้โบนัส จะให้ในวันครบรอบวันเกิดของช่อง 3 ช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี  ไม่ได้ให้ในช่วงสิ้นปีแบบหลายปีก่อนหน้านี้ โดยมีรายงานว่า สำหรับปี 2568 พนักงานและฝ่ายข่าว ได้สัญญาณว่า น่าจะมีการให้โบนัสย้อนหลังปี 2567 และอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน-ฝ่ายข่าว ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินผลงาน

  • สถานีโทรทัศน์ PPTV ไม่ได้ใช้ระบบการให้โบนัส แต่เป็นการให้เงินที่เรียกกันว่า “เงินขวัญถุง”กับพนักงานทุกคนแบบที่ผ่านมาในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ โดยพนักงานได้รับเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทให้เงินขวัญถุงในอัตราเดียวกันหมดทั้งบริษัท ไม่ได้ดูจากฐานเงินเดือน-ตำแหน่งในองค์กรแต่อย่างใด    
  • สถานีโทรทัศน์ช่อง ONE ในเครือกลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)  พบว่า มีการจ่ายโบนัสให้พนักงานของสถานีโทรทัศน์และฝ่ายข่าว ช่อง ONE โดยมีการให้คนละหนึ่งเดือน ตามฐานเงินเดือนของแต่ละคน ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการจ่ายให้ทุกปี และมีข่าวว่าฝ่ายข่าวบางคน ที่ได้ผลการประเมินการทำงานในเกณฑ์ดี ก็มีเงินเพิ่มพิเศษให้ด้วย 
  • สถานี TNN ช่อง 16 ที่บริหารงานโดย บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด บริษัทย่อยในเครือทรูวิชั่นส์ ที่ผ่านมามีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน-ฝ่ายข่าว ทุกปี โดยจะให้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปี  และปีนี้ พนักงานได้รับแจ้งว่า มีการให้เงินโบนัสย้อนหลังปี 2567 เหมือนเช่นทุกปี สำหรับการให้โบนัสของ สถานีข่าว TNN ใช้ระบบการประเมินผลงานในการให้โบนัส ที่มีตั้งแต่ครึ่งเดือน -หนึ่งเดือน-หนึ่งเดือนครึ่ง จนถึงสองเดือน โดยพนักงานคนใดที่มีผลการประเมินดี ก็จะได้โบนัสมาก ซึ่งในอดีตบางคนเคยได้ถึงสามเดือน แต่ระยะหลังส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกินหนึ่งเดือนครึ่งนอกจากนี้ ที่พิเศษกว่าสถานีข่าวหรือสำนักข่าวอื่นๆ ก็คือ หลังจากมีการควบรวมกิจการระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่นกับโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นหรือดีแทคเมื่อ มีนาคม 2566 ก็มีการให้เงินปันผลกับพนักงานในเครือทรูฯ ที่ทำให้พนักงาน-ฝ่ายข่าวของ TNN ก็จะได้เงินปันผลดังกล่าวด้วย ทุกๆ สามเดือน โดยได้กันทุกคน ไม่จำเป็นต้องมีหุ้นของบริษัทแต่อย่างใด จึงทำให้ ปัจจุบัน พนักงาน-ฝ่ายข่าว ของTNN มีรายได้หลักจากสามทางคือเงินเดือน ,โบนัสและเงินปันผล  
  • หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  หลังช่วงกลางปีที่ผ่านมา มีการเปิดโครงการสมัครใจลาออกรอบใหญ่ เพื่อลดจำนวนฝ่ายข่าวในกองบก. พบว่า เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พนักงาน-กองบก.หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ก็ไม่ได้โบนัสเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้หลายปีที่ผ่านมา ไทยรัฐ จะมีการให้โบนัส กับพนักงานในส่วนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรวมๆ สามเดือน แต่ระยะหลังก็ไม่มีการให้โบนัสมาหลายปี รวมถึงล่าสุด ก็ยังไม่มีข่าวเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือน   
  • หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ไม่มีการให้โบนัสมาหลายปีแล้วในช่วงหลัง  แต่มีปรับเงินเดือนให้ตลอดเกือบทุกปี  ซึ่งปีนี้ 2568 ก็มีการปรับขึ้นเงินเดือนให้ โดยให้หัวหน้าโต๊ะข่าวแต่ละโต๊ะ ส่งแบบประเมินการทำงานของนักข่าว-กองบก.ในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อส่งให้ผู้บริหารของกองบก. พิจารณาตามลำดับขั้น  โดยแบ่งการประเมินเป็น A B C D คนที่ได้คะแนนประเมินสูงๆ ก็จะได้ปรับเงินเดือนขึ้นสูงตามไปด้วย
  • สื่อในเครือมติชน ที่รวมถึง ข่าวสด -ประชาชาติธุรกิจ ทั้งหนังสือพิมพ์และสื่ออื่นๆ เช่นเว็บไซต์ข่าว ปีนี้ พบว่ายังไม่มีข่าวเรื่องการให้โบนัสแต่อย่างใด   
  • สื่อในเครือบริษัท อสมท.เช่น สำนักข่าวไทย พบว่า ปีนี้ไม่มีการให้โบนัสแต่อย่างใด
  • เครือเนชั่น ที่มีสื่ออยู่ในเครือหลายแบนด์ เช่น เนชั่นทีวี, หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ,  เว็บไซต์คมชัดลึก เป็นต้น  จากการตรวจสอบกับพนักงานฝ่ายข่าวในเครือเนชั่น พบว่า จนถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม  2568 ยังไม่มีการประกาศเรื่องการให้โบนัสกับพนักงานแต่อย่างใด  แต่ที่ผ่านมา การพิจารณาให้โบนัสและขึ้นเงินเดือนจะพิจารณาตามผลประกอบการ-รายได้ ของสื่อในสังกัดตาม Business Unit  โดยพนักงาน-ฝ่ายข่าว กองบก.ใดที่มีผลประกอบการดี มีกำไรจะได้โบนัสและการปรับขึ้นเงินเดือน แต่ถึงช่วงเดือนมกราคมยังเงียบอยู่
  • เครือบางกอกโพสต์  พบว่า ปีนี้ เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา คือไม่มีโบนัส ไม่มีขึ้นเงินเดือน โดยไม่มีมาหลายปีติดต่อกันแล้ว  
  • สื่อแนวหน้า พบว่าปีนี้ ไม่มีการให้โบนัสกับพนักงานและฝ่ายข่าวแต่อย่างใด ซึ่งในส่วนของโบนัส เคยได้ครั้งหลังสุดเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว 
  • สำนักข่าว นสพ.ไทยโพสต์ มีการจ่ายโบนัสทุกปีเป็นเวลาติดต่อกันเกือบสิบปี โดยปีนี้ ก็ยังคงมีโบนัสให้พนักงานเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา          
  • สื่อในเครือผู้จัดการ เช่น เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พบว่าปีนี้ ไม่มีการให้โบนัสกับพนักงานและฝ่ายข่าวเหมือนทุกปีที่ผ่านมา และไม่มีการให้มาสิบกว่าปีแล้ว อาจจะมีบางปีมีการให้เงินขวัญถุงบ้าง ขณะเดียวกันเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ก็มีการปรับลดเงินเดือนฝ่ายข่าว-กองบก. บางส่วน ตามฐานเงินเดือน โดยปรับลดประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เป็นต้น 

ธุรกิจ-องค์กรสื่อ

กับ Business Model

ที่ต้องไม่ทำลายความน่าเชื่อถือ  

สำหรับ”สถานการณ์สื่อมวลชน-ธุรกิจสื่อ”ในปีนี้ 2568 มีการประเมินวิเคราะห์จาก นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนคือ "รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม -อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ -นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนที่สนใจบริบทนิเวศสื่อด้านข่าวและสื่อกับการขับเคลื่อนทางสังคม"วิเคราะห์ว่า ในปี 2568 ในส่วนของ"สื่อใหญ่ -สื่อดั้งเดิม" โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์คิดว่าในปี 2568 คงอาจจะมีข่าวที่น่าตกใจเหมือนกับช่วงปลายปี 2567 ที่เกิดกรณีสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มีการปรับโครงสร้างองค์กร มีการลดพนักงาน

...คิดว่าในปี 2568 อาจจะมีสถานการณ์ลักษณะดังกล่าวอยู่ จากการวิเคราะห์ คิดว่าอาจจะยังมีเกิดขึ้นอีก แต่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดกับสถานีโทรทัศน์ช่องใด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนที่ดูโทรทัศน์ ดูข่าวทางทีวี -รับรู้ข่าวสาร พฤติกรรมผู้บริโภคข่าวสารมันเปลี่ยนไปเยอะมาก มันไม่ใช่แค่คนรุ่น Gen Y อย่างเดียว แต่แม้แต่กลุ่มที่เรียกกันว่าBaby Boomer  ซึ่งวันนี้ยังมีชีวิตอยู่หรืออย่างตัวเราที่อยู่ในรุ่น Gen X ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่ได้ดูโทรทัศน์เลย 

         ด้วยพฤติกรรมการดำเนินชีวิต-ไลฟ์สไตล์ และสภาพสังคมที่มันเปลี่ยนไป ที่มัน  On Demand   ได้หลังสื่อไปอยู่บนโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้On Demand ได้ตามความสนใจ-เวลาว่างของผู้บริโภคแต่ละคน  

         "คิดว่าในปี 2568 วงการสื่อโดยเฉพาะองค์กรที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ คงมีการปรับโครงสร้างให้เล็กลง และมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์สื่ออย่างต่อเนื่องต่อจากปี 2567 ที่วงการสื่อก็เจอสึนามิแบบลูกใหญ่ๆ ในหลายช่อง จนสร้างความตกใจให้กับคนทำข่าว โดยเฉพาะในระดับปฏิบัติการของคนทำข่าว ตั้งแต่ระดับบก.ลงไปถึงระดับนักข่าวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง" 

         ..การปรับโครงสร้างสื่อ คิดว่าก็จะได้เห็นการปรับโครงสร้างภายในองค์กรไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่การนำเสนอผ่านโทรทัศน์อย่างเดียว ที่จะพบว่าเกือบทั้งหมด ก็จะมีแพลตฟอร์มทางออนไลน์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะได้เห็นคือการวางกลยุทธ์และการเสริมทัพเพื่อรองรับการนำเสนอในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆมากขึ้น ให้มีความเต็มรูปแบบมากขึ้น จากเมื่อก่อนอาจถูกวางให้เป็นแค่อีกหนึ่งทางเลือกในการสื่อสารกับผู้บริโภค หลังก่อนหน้านี้ สื่อสิ่งพิมพ์หลายแห่ง ก็เทน้ำหนักไปที่การนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดีย 

“ทำให้คาดว่าในปี 2568 สื่อโทรทัศน์ ที่เป็นสื่อหลักยังมีอยู่ แต่ว่าแต่ละองค์กรจะมีการปรับทัพ-เสริมกำลัง ไปยังสื่อโซเชียลมีเดียที่เป็นแพลตฟอร์มแบนด์ของตัวเองมากขึ้น”

          “รศ. ดร.วิไลวรรณ”มองอนาคต-ธุรกิจสื่อต่อไปว่า ปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ว่า พฤติกรรมคนดูโทรทัศน์ที่ย้ายการติดตามสื่อไปที่โซเชียลมีเดียมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของ"เม็ดเงิน-รายได้"ที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย เพราะรูปแบบธุรกิจของสื่อไทย ยังคงใช้ Business Modelที่เป็นรูปแบบ"สปอนเซอร์" โดยยังไม่ได้มีความพยายามหา  Business Model รูปแบบใหม่ๆ เหมือนกับในต่างประเทศ ที่ตอนนี้มี Business Model อื่น ๆเช่น เรื่องของกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มพรีเมี่ยม ลักษณะ Premium Service เช่นการให้สมัครเป็นสมาชิกที่ให้มีการจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตสื่อ แต่ของประเทศไทย ยังเป็นรูปแบบ Free อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้ฟรีหมด เพราะรายได้เข้ามาทางอ้อม ผ่านระบบการตลาด

เมื่อสื่อไทย ยังคงใช้ Business Model  แบบเดิมๆ แบบเมื่อ 20-30ปีที่แล้ว โดยที่ปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนแปลงไป ระบบนิเวศน์สื่อ ไม่ได้มีแค่สื่อดั้งเดิมแบบในอดีต แต่มีหลากหลายมากขึ้นเช่นพวกนิวมีเดียต่างๆ จนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด แต่ Business Model  ของสื่อไทย ยังไม่ปรับตัวเพื่อให้ไปกับระบบนิเวศน์สื่อแบบใหม่ ทำให้สื่อ เลยเจอสภาพแบบที่เป็นอยู่ โดยแม้สื่อไทยจะมีการปรับตัว แต่ก็เป็นการปรับตัวที่ยังช้า ซึ่งในต่างประเทศ Business Model  ใหม่ๆ เช่นการเพิ่ม service ใหม่ๆ ทำให้องค์กรมีรายได้ใหม่ๆ เข้าสู่องค์กร 

อย่างไรก็ตาม “รศ. ดร.วิไลวรรณ”ย้ำหนักแน่นว่า แม้สื่อจะต้องมี business model ในการหารายได้ใหม่ๆ แต่สิ่งสำคัญ ก็คือ การหารายได้ดังกล่าว ต้องไม่ทำลาย trust ความเชื่อมั่น-ความเชื่อถือ เพราะต้องไม่ลืมว่าความเป็นสำนักข่าว -องค์กรข่าว สิ่งที่ขายคือการขาย trust ความน่าเชื่อถือ จึงต้องไม่ทำลายตรงจุดนี้ เพราะสื่อแต่ละแห่ง ก็จะมี business model ที่ต่างกัน  ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ว่าจะทำ business model แบบไหน-อย่างไร

         "ดร.วิไลวรรณ"กล่าวถึง"นักข่าว-คนทำข่าว"ในบริบทสังคมปัจจุบันว่า นักข่าว คนทำข่าว ต้องปรับตัว ต้องดูว่าตัวเองเท่าทันหรือไม่(การเปลี่ยนแปลง) ต้องมาดูว่าจะต้องปรับ mind set ตัวเองหรือไม่ เพราะวันนี้โลกของข่าวมันเปลี่ยนแปลงไป มันมีการเคลื่อนของข่าว ตัวคนทำข่าวต้องมาดูว่าตัวเองจะปรับ mind-set การทำงานของตัวเองอย่างไร ต้องดูว่า skill หรือทักษะการทำข่าวที่ตัวเองมีอยู่ มันใช้ได้จริงหรือไม่ในยุคปัจจุบัน และตอนนี้ที่มี knowledge ใหม่ๆ เข้ามาในวงการ คนทำข่าวมีskill และมีความเข้าใจหรือไม่ รวมถึงพร้อมจะเปิดรับเพื่อปรับตัวเองหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนทำข่าวยุคปัจจุบัน 

         เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากสำหรับคนทำข่าว เพราะตัวเราเอง ก็เคยอยู่ในวงการสื่อเคยเป็นนักข่าวมาก่อน เราก็เห็นใจเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องเรา หรือลูกศิษย์เราที่ตอนนี้เป็นนักข่าว เพราะจริงๆ วันนี้คนทำข่าว ทำงานกันเครียดมาก แต่หากเรามีความพร้อม มีความสามารถ เราเชื่อว่า เราก็สามารถต่อรองกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ กับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ หากว่าเรามีความพร้อม แต่ด้วยความที่เป็นเหมือนหมาล่าเนื้อ ทำข่าววันต่อวัน พอจบวัน ก็เหนื่อย พอถึงวันหนึ่งที่เรื่องต่าง ๆมันเกิดขึ้นแล้วมากระทบตัวเรา มันก็ช้าเกินไป เพราะแทบไม่ได้ปรับตัวเลย เพราะเรามัวแต่ไปเพ่งอยู่กับเรื่องๆเดียว จนทำให้ไม่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้สำคัญมาก

       "รศ. ดร.วิไลวรรณ -นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนที่สนใจเรื่อง นิเวศสื่อด้านข่าวและสื่อกับการขับเคลื่อนทางสังคม"กล่าวปิดท้ายถึงภาพรวมทิศทางและสถานการณ์สื่อหลังจากนี้ว่าคนทำสื่อต้องเรียนรู้โลกมากขึ้น มากกว่าแค่จักรวาลของการทำข่าว โดยเฉพาะต้องเข้าไปดูเรื่องของ business หากสื่อเข้าใจเรื่อง business มากขึ้น ก็จะทำให้มีกลยุทธ์ในการที่จะหารายได้เข้ามาในรูปแบบอื่น ที่ทำให้สื่ออยู่ได้มากกว่าที่จะยังคงใช้วิธีการทำ business model แบบเดิมๆ ที่มีรายได้หลักจากสปอนเซอร์เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์แบบใด อย่างพอทุกคนบอกว่าจะหาจากการจัดอีเวนต์ ทุกที่ก็เลยมุ่งไปที่อีเวนต์กันหมด จนมาร์เก็ตแชร์ในการจัดอีเวนต์มีมากขึ้น ดังนั้นโลกของคนทำข่าวต้องกว้างขึ้น ต้องข้ามจักรวาลของตัวเองไปทำความเข้าใจเรื่อง business ให้มากขึ้น เข้าใจความหมายของคำว่า "การตลาด"มากขึ้น เพื่อที่เมื่อเข้าใจ การตลาดและบิสซิเนสแล้ว ก็จะได้นำไปสู่การวางกลยุทธ์ต่างๆ แต่ต้องไม่ทำลายความเป็นวารสารศาสตร์ ต้องไม่ทำลายความเป็นนักวิชาชีพสื่อที่อยู่บนฐานของจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อสังคม