“สื่อนอกกระแส” นำ “สื่อหลัก”  ในสงครามข่าวไทย-กัมพูชา

รายงานพิเศษ 

โดยทีมข่าวจุลสารราชดำเนิน 

ช่วงสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทย - กัมพูชา หลังจากเกิดการปะทะกันที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม สถานการณ์ลากยาวจนกระทั่งวันนี้ แม้จะมีฝ่ายกัมพูชาปรับกำลัง กลับไปเหมือนสถานการณ์ปี 2567 พร้อมกับใช้กลไกหารือทวิภาคีเพื่อแก้ปัญหา

ทว่า สถานการณ์ที่มีความ “ล่อแหลม” และ “เปราะบาง” ด้านความมั่นคง เกิดขึ้นในยุคที่ “ใครๆ ก็เป็นสื่อได้” เพราะโซเชียลมีเดีย มีการตั้งคำถามกับบทบาทสื่อหลัก สื่อรอง สื่อส่วนบุคคล ที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย สร้างคอนเทนต์เผยแพร่ต่อสาธารณชน แท้จริงแล้วควรเสนอข่าวอย่างไรในช่วงที่เกิดสถานการณ์วิกฤต

กองบรรณาธิการ “จุลสารราชดำเนิน” สนทนากับ “ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข” นักวิชาการด้านความมั่นคง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงบทบาทการทำหน้าที่สื่อ เขาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรยกเครื่องหลักสูตรนิเทศศาสตร์ใหม่ 

สื่อนอกกระแส กลายเป็นสื่อหลัก

ภาพจาก : ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์ https://www.prachachat.net/politics/news-1691393

อาจารย์สุรชาติ กล่าวว่า วันนี้ในสถานการณ์ความมั่นคงที่มีความล่อแหลมใกล้เป็นสงคราม หรือมีสถานะที่เป็นวิกฤต บทบาทของสื่อเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง ถามว่าเราเห็นบทบาทสื่อไหม คิดว่าเราเห็น แต่ในสถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชารอบนี้ บทบาทสื่อเป็นปัจจัยสำคัญอาจจะเป็นผลจากการที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือการเข้ามาของโลกโซเชียลมีเดีย

ภาษาเดิมที่เราชอบใช้คือสื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรอง วันนี้มีนิยามอีกคำหนึ่งคือ สื่อนอกกระแส แล้วสื่อนอกกระแสซึ่งเป็นบรรดาผู้คนทั้งหลาย ที่โพสต์กันหรือที่เราชอบพูดกันว่าในโลกออนไลน์สมัยใหม่ ทุกคนเป็นสื่อหมด 

“เมื่อทุกคนเป็นสื่อหมด เราจะเห็นชัดคือ บทบาทของสื่อหลักวันนี้อาจจะน้อยมาก เพราะฉะนั้น จะเห็นสื่อนอกกระแสสร้างอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน ผมเปรียบเทียบเสมอว่าในความรู้สึกของคน กรณีไทย-กัมพูชา คนอารมณ์พุ่ง และพุ่งเร็ว เหมือนอารมณ์คนแทบจะถึงยอดเขา ถ้าถึงยอดเขาก็คือการเข้าสงคราม แต่รัฐบาลต้วมเตี้ยมอยู่ที่ตีนเขา และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะเห็นว่าสื่อของรัฐบาล คือ สำนักโฆษกรัฐบาล เหมือนกับไม่ทันการรับมือของสื่อในโลกปัจจุบัน” 

“เมื่อเป็นอย่างนี้ เวลาถกบทบาทชองสื่อ ผมคิดว่าเป็นความยากลำบาก วันนี้สื่อกระแสรองแทบจะเป็นสื่อกระแสหลักอีกแบบหนึ่ง จนเส้นแบ่งสื่อหลัก สื่อรองแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่เส้นแบ่งที่ใหญ่คือสื่อในระบบ กับ สื่อนอกระบบ หรือที่เรียกว่าสื่อนอกกระแส ถามว่าทำอย่างไร คำตอบคือไม่มีใครไปทำอะไรเขาได้” 

“ผมเชื่อว่าทุกสังคมมีสื่อลักษณะนี้อยู่เยอะ ยิ่งในภาวะวิกฤต หรือเหตุการณ์ที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกคน บทบาทสื่อนอกกระแสทั้งหลายเขานำเสนอได้มากกว่า

...สื่อในระบบ ทุกคนอย่างน้อยรู้ว่าเส้นแบ่งอยู่ประมาณไหนในอารมณ์ความรู้สึก ผมดูรอบนี้สื่อในระบบไม่ค่อย offside และไม่กล้าเล่นกับกระแสชาตินิยมหนักๆ สื่อรู้ว่า ถ้าเล่นกับกระแสชาตินิยมแล้วสุดท้ายกลายเป็นสงคราม สื่อก็จะกลายเป็นจำเลยไปด้วย” 

...และสื่อในระบบด้วยเงื่อนไขงบประมาณคงทำได้ประมาณนี้ไม่สามารถส่งนักข่าวไปประจำในแนวรบ เหมือน CNN ส่งนักข่าวไปทำข่าวสงครามอ่าวเปอร์เชีย เพราะมันคือค่าใช้จ่าย และในภาวะปัจจุบันสื่อกระแสหลักงบประมาณก็ไม่ได้มีมาก จึงต้องอาศัยข้อมูลชาวบ้านในพื้นที่ แหล่งข่าวในพื้นที่ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ ต้องมีนักข่าว ช่างภาพสงคราม แต่คำถามคือมีตังค์ไหม…คำตอบคือตังค์ไม่พอหรอก แต่โดยทั่วไปถือว่าโอเค” 

...แต่สื่อนอกกระแสไม่ต้องแคร์ เพราะต้องยอมรับว่าเป็นตัวแทนอารมณ์คน ก็คงจะบอกให้เห็นว่าในสถานการณ์ที่สื่อในระบบพยายามจะมีบทบาทไม่เล่นกับกระแสชาตินิยม แต่ข้างนอกไม่ใช่แล้ว เพราะอารมณ์คนพุ่งพล่าน ด้านหนึ่งเป็นผลพวงจากนโยบายกัมพูชา ซึ่งในระยะเวลาไม่กี่วันเขาเดินเร็ว และเดินเป็นระบบ”

...ในขณะที่ของฝ่ายไทย มีภาวะอ้ำๆ อึ้งๆ ตั้งแต่ต้น แถลงการณ์ฉบับแรกของรัฐบาลออกมาก็ไม่รับกับอารมณ์คนแล้ว พอเป็นอย่างนี้ กลับมาคำถามว่า ในอนาคตสื่อนอกระบบทั้งหลายใครจะเป็นคนคุม ซึ่งคุมไม่ได้ ในทุกสังคมก็เผชิญภาวะอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง เช่น ปีกชาตินิยมสุดโต่งในรัสเซีย กรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย หรือ ปีกชาตินิยมในยูเครนก็มี หรือปีกที่ใช้สื่อแล้วมีความคิดการเมืองสุดโต่ง เราก็เห็น”

นิเทศศาสตร์ไทยต้องเรียนใหม่

ภาพจาก : ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์ https://www.prachachat.net/politics/news-1727975

ศ.กิตติคุณ สุรชาติ ชี้ว่า วงการนิเทศศาสตร์ไทยอาจต้องเริ่มเรียนใหม่ เพราะปัจจัยความเปลี่ยนแปลงในภาวะที่วันนี้ทุกคนคือสื่อ เราเริ่มเห็นผลพวงจริงๆ เช่น กรณีการเสียชีวิตของคุณแตงโม (แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์” ตกเรือเสียชีวิตกลางแม่น้ำเจ้าพระยา) เมื่อทุกคนเป็นสื่อ แสดงความคิดเห็นเต็มไปหมด มีพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไหมไม่รู้ แต่ฉันมีความเห็น ในทำนองเดียวกันกรณีไทย-กัมพูชาก็เป็นลักษณะแบบนี้

“ดังนั้น วันนี้ต้องเรียนนิเทศศาสตร์ใหม่ เพราะโจทย์เปลี่ยนแล้ว ซึ่งเดิมสื่อนอกระบบทั้งหลายเป็นเรื่องในสังคม เช่น ดาราเสียชีวิตที่ทุกคนชื่นชอบ เป็นเรื่องสังคม ชีวิตคน แต่วันนี้กรณีไทย - กัมพูชาเป็นชีวิตของประเทศ”

วันนี้คล้ายๆ คนเรียนรัฐศาสตร์ เรียนการเมืองระหว่างประเทศ มีคำพูดว่าบทบาทหลักคือบทบาทของรัฐในเวทีโลก แต่ถามว่าวันนี้รัฐไม่ได้เป็นตัวแสดงเดียวในเวทีโลก  และถ้าถามในวิชานิเทศศาสตร์ว่า ตกลงในเวทีสื่อตัวแสดงหลัก ตัวแสดงรองแบบที่เราเคยพูดยุคหนึ่ง สื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรอง เพียงพอในการเรียนและการวิเคราะห์ไหม คำตอบคือไม่ใช่ เพราะวันนี้เกิดตัวแสดงใหม่แล้ว  และความหนักหน่วงของวิชานิเทศศาสตร์คือ ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ ทุกคนทำคอนเทนต์ได้หมด เมื่อทุกคนทำคอนเทนต์ได้หมด แม้กระทั่งภาษาที่เราใช้ในเมื่อก่อนคือ ใครจะเป็น กบว.(คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์) ที่เซ็นเซอร์สื่อ วันนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลย 

“แปลว่าในงานนิเทศศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงของโลกมันทะลุชุดความคิดแบบเก่าไปหมด และทะลุในทุกสาขา สงครามก็ใช่ ดังนั้น เมื่อพลวัตรของกระแสโลกที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ผมว่า ควรรื้อวิชานิเทศศาสตร์ เพราะผลพวงได้เกิดผลกระทบใหญ่กับสื่อหลัก เพราะสื่อหลักเริ่มพบว่า แบบตัวเองอย่างเก่าเป็นไปไม่ได้แล้ว ในหลายปีสิ่งที่เกิดขึ้นกับสื่อหลัก ต้องลดคน ลดค่าใช้จ่าย เกิดขึ้นกับสื่อตะวันตกมาก่อน ตอนผมเรียนปริญญาโทที่ New York City มีหนังสือพิมพ์ทั้งหมด 7 ฉบับ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในสหรัฐ แล้ววันนี้จะเห็นว่าถ้าจะอยู่รอดต้องแปลงเป็นออนไลน์” 

Media Wall พังตามกระแสไม่ทัน

“วันนี้ media disruption ที่มากับกระแสการเปลี่ยนแปลงโลก ท้าให้คณบดีนิเทศศาสตร์ทุกมหาวิทยาลัยไปทำหลักสูตรใหม่ และในทางกลับกัน หลายมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรสอนคน เช่น ในจุฬาฯ ทำหลักสูตรพิเศษ เรียนสัปดาห์ละไม่กี่นาที มีแม้กระทั่งสอนให้คนทำสื่อ แปลว่าวันนี้ ความเป็นนักสื่อสารมวลชนในอดีตที่ต้องจบนิเทศศาสตร์ มันพังไปหมดแล้ว

...ตัวอย่างที่สื่อหลักตามกระแสไม่ทัน เช่น บทสัมภาษณ์หลายอันในสื่อหลักที่เป็นข้อมูล อ้างเฟซบุ๊กของอาจารย์คนนั้น จากเฟซบุ๊กของคนนี้ เริ่มสะท้อนว่า ตกลงนักข่าวสนามในแบบสมัยก่อนที่ต้องไปสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้ มาถึงจุดที่อิ่มตัวแล้วใช่ไหม หรือ เราจำเป็นต้องมีนักข่าวสนามแบบเดิม จะมีมากเท่าไหร่ มีน้อยเท่าไหร่  เราอาจยังต้องไปสัมภาษณ์รัฐมนตรี ไปจุดที่มีปัญหา แต่วันนี้สื่อไม่ต้องไปสัมภาษณ์อาจารย์ท่านนั้นเลย เพราะเขาโพสต์ และไม่ต้องขออนุญาตด้วย เพราะโพสต์เป็นสาธารณะ”

รัฐบาลต้องตั้งทีมประชาสัมพันธ์ใหม่ 

แล้วรัฐบาลจะรับมือสื่อนอกกระแสอย่างไร ศ.กิตติคุณ.ดร.สุรชาติ กล่าวว่า  ฝ่ายรัฐบาลมีอย่างเดียว กองงานโฆษกรัฐบาลที่ทำเนียบฯ คิดใหม่ คือเหตุผลที่ผมเสนอให้รัฐบาลต้องตั้งทีมประชาสัมพันธ์ใหม่ เพราะประชาชนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่มีใครชี้แจงกับประชาชนอย่างเป็นทางการ สะท้อนในทางวิชาการ ว่า หลักสูตรนิเทศศาสตร์ต้องคิดใหม่ ในทางการเมืองก็สะท้อนชัด เมื่อคุณเป็นรัฐบาล แล้วสื่อนอกระบบทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมกลับ สื่อนอกระบบตีรัฐบาลมากกว่าสื่อในระบบ ที่หนักและแรงกว่าเยอะ