รายงานพิเศษ
โดย กระต่ายในเงาจันทร์
//
การปะทะตามเเนวชายเเดนไทย-กัมพูชานั้นนับเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งประจำปีนี้เพราะผลกระทบมีหลายด้าน ข้อมูลข่าวสารทั้งข่าวจริง/ข่าวเท็จจากสองประเทศกระจายว่อนโลกภายในชั้ววินาทีผ่านสื่อออนไลน์
สื่อมวลชนคือ Gate Keeper กลั่นกรองสถานการณ์อ่อนไหวนี้ต่อสังคมเเต่คล้ายว่าบางคราวสื่อก็พลาดเเละตกม้าตายง่ายๆจาก IO/Fake NEWS ที่ใครบางคนหวังผลเเบบไม่สนความผิดถูก
////
จุดกำเนิดIO Wars
สภาวะIO (Information Operation) เกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์มานับพันๆปีเเล้ว
IO คือ “ยุทธการข้อมูลข่าวสาร” หมายความว่ามันคือกลยุทธ์การสู้ด้วยข้อมูลข่าวสาร(เคียงข้างการสู้รบทางการทูตเเละอาวุธเพื่อช่วงชิงทรัพยากรของอีกฝ่ายหนึ่งมาอยู่ในมือของฝ่ายตนเอง) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความได้เปรียบให้มาอยู่ในฝ่ายตนเองจากข่าวสารที่เผยเเพร่ เเละยังใช้เพื่อปลุกปั่นยุยงให้สถานการณ์สังคมเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายตนเอง
หากไล่เรียงวรรณกรรมระดับโลกเเละไทยเช่น Iliad (ม้าไม้เมืองทรอย)ที่ประพันธ์โดยโฮเมอร์เกี่ยวกับสงครามเมืองทรอย/สามก๊กโดยล่อกวนตง/รามเกียรติ์(เวอร์ชั่นอินเดียเเละเวอร์ชั่นไทย)นั้นจะพบว่า ยุทธการข้อมูลข่าวสารสอดเเทรกอยู่ในเนื้อหาของวรรณกรรมผ่านจังหวะลีลาของฝ่ายพระเอก/ขั้วตรงข้ามในวรรณกรรมเหล่านั้นมิใช่น้อย
ดังนั้นจุดประสงค์ของIOถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอิทธิพลในการตัดสินใจของฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้ข้อมูลข่าวสารที่ศัตรูได้รับเเละหวังผล/ปลุกกระแสมวลชน ยึด-ครองอำนาจและประโยชน์ที่ฝ่ายตนจะได้รับ
ตัวอย่างสงครามที่ใช้ IOเด่นชัด(หลังสงครามโลกครั้งที่สอง)คือยุค“สงครามเย็น (Cold War)” ระหว่าง”พญาอินทรี“(สหรัฐอเมริกา) ต้นขั้วอำนาจเสรีนิยมประชาธิปไตยกับ “บิ๊กหมีขาว”(สหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน) เบอร์1ฝ่ายสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์)
พญาอินทรีกังวลลัทธิโดมิโนของค่ายหมีขาวในยามนั้นจึงเข้าไปเเทรกซึมกิจการภายในของประเทศต่างๆด้วยการชูเเนวคิดประชาธิปไตยเเละเสรีนิยมเพื่อปิดล้อมไม่ให้ระบอบคอมมิวนิสต์เข้าไปเผยเเพร่
เเต่....เบอร์หนึ่งทั้งสองค่ายในยามนั้นเเละยามนี้ไม่ได้จับอาวุธรบกันโดยตรง แต่ต่อสู้กันผ่าน“สงครามตัวแทน”อาทิสงครามเกาหลี/สงครามเวียดนาม/สงครามในอเมริกากลางเเละใต้ /สงครามตะวันออกกลาง/สงครามยุโรปตะวันออก โดยการใช้อาวุธข้อมูลข่าวสารสร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายตัวเองเผยเเพร่ต่อสังคมผ่านสื่อมวลชนเคียงข้างอาวุธสงคราม
ภาวะปัจจุบันนั้นพบว่า ช่องทางของการใช้ IOเพื่อเป็นยุทธการทางข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อต่างๆ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
/สื่อสังคมออนไลน์/จิตวิทยามวลชน/ภาพมายาทางทหาร/ปล่อยข่าวลับ-แพร่ข่าวลวงเเละใช้เวลาชั่ววินาทีในการส่ง-รับข้อมูลข่าวสาร เเละสามารถประเมินผลได้ในอีกชั่วอึดใจว่า บวกหรือลบกับภารกิจนั้นๆ
ดังนั้นหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องการIOหรือต้องการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารสามารถใช้สื่อในข้างต้นเป็นช่องทางเผยเเพร่ข้อมูลข่าวสารเคียงข้างสื่อกระเเสหลัก(ปัจจุบันสื่อกระเเสหลักก็ติดตามข่าวสารจากช่องทางเหล่านี้เพื่อนำเสนอข่าวสารเช่นกัน นับว่าเป็นการIOที่ประสบผลสำเร็จทั้งทางตรงเเละทางอ้อม)
28 พ.ค. 2568 คือ วันเริ่มต้น ความขัดเเย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีการปะทะตามเเนวชายเเดนส่งผลให้ประชาชน/ทหาร/ทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายสูญเสียกันอย่างที่ยังมิสามารถประเมินค่าได้ การใช้IO ของสองประเทศผ่านสื่อมวชลชน-โซเชียลมีเดีย-อินฟลูเลนเซอร์-AI (Artificial Intellegenc ปัญญาประดิษฐ์คือโปรเเกรมคอมพิวเตอร์ที่มีระบบเเละรูปเเบบการทำงานที่เหมือนมนุษย์)ถูกนำมาใช้ตั้งเเต่วันนั้น-วันนี้-อนาคตกับประชากรสองชาติเเห่งอุษาคเนย์ที่ตอบโต้กันเเบบปลายนิ้วสัมผัสเเละส่งผ่านไปทั่วโลกเพียงชั่ววินาทีจากเเพลทฟอร์มออนไลน์
เเละอย่าลืมประวัติศาสตร์ในเเบบเรียนเเละตำราที่บันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังของสองประเทศนี้ได้เรียนรู้เพราะหากสรุปอย่างสั้นๆ พบว่า ประวัติศาสตร์ของสองประเทศทึ่มีพรมเเดนติดกัน 798 กิโลเมตรนั้นความบาดหมางเเละความกลมกลืนทางเชื้อชาติของประชากรที่พันผูกกันมายาวนานนั้นฝังลึกในมโนสติของคนไทย-ชาวกัมพูชาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นหากมีเพียงประกายไฟจุดขึ้นมาเพียงชั่วพริบตา กระเเสชาตินิยมเเละอุณหภูมิความรักชาติจะถูกเร่งขึ้นมาด้วยโมหะคติทันที
“พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร” เเละ “ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งเเสงประทีป” สองนักวิชาการสื่อสารมวลชนอ่านภาพรวมของการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านไว้อย่างน่าพินิจเเละรายละเอียดเป็นอย่างไรพิจารณาได้ที่นี่
สื่อไทยมีมาตรฐานกว่า...เเต่กัมพูชาใช้วิธีของฮิตเลอร์ปลุกเร้ามวลชน

”พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร “นักวิชาการอิสระด้านเทคโนโลยีเเละการสื่อสาร มองสภาวะสงครามข่าวสารสยาม-เขมรในยามนี้ไว้อย่างน่าสนใจเเละชี้ให้เห็นจุดเเข็ง/จุดอ่อนของสองประเทศเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเอเชียอาคเนย์ยามนี้
สื่อไทยหลากเเพลทฟอร์มในตอนนี้ในสายตาคนดูกับเหตุการณ์ไทย/กัมพูชาเป็นอย่างไร?
สื่อมวลชนหลักของไทยที่ผ่านมาได้รับการบ่มเพาะฝึกฝนจากรุ่นสู่รุ่นการเสนอข่าวสารเเละบทวิเคราะห์ยังมีความน่าเชื่อถือ เเต่ตอนนี้ความต้องการเรตติ้งถูกนำมากำหนดความสำเร็จในการเสนอข่าว เรตติ้งเเละความเร็วจึงทำให้ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวเเบบเร่งรีบ เช่น การรายงานสดทำให้ขาดการไตร่ตรองเเละวิเคราะห์ข้อมูลไปบ้าง เเต่ตนมองว่าสื่อกระแสหลัก(Mass Media)ของไทยยังคงความน่าเชื่อถืออยู่
-ผู้นำกัมพูชาใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อปลุกประชาชนเหมือน“อดอลฟ์ฮิตเลอร์”เเละใช้IOทุกรูปแบบเหมือนสมัยสงครามเย็นหรือไม่?
ผู้นำกัมพูชากับฮิตเลอร์ใช้การโฆษณาชวนเชื่อที่คล้ายคลึงกันเพราะผู้นำกัมพูชาใช้ภาษาที่ปลุกเร้าอารมณ์ไม่สนใจว่าถูกหรือผิดเพราะความชนะคือเป้าหมาย
ฮิตเลอร์ เคยพูดไว้กับนายพลทหารของเขาว่า “ข้าพเจ้าจะใช้การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเหตุผลในการทำสงคราม ความน่าเชื่อถือไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะผู้ชนะจะไม่ถูกถามว่าเขาพูดความจริงหรือไม่” วิธีนี้ใช้ได้ผลเพราะสื่อออนไลน์ที่เผยเเพร่สารที่ผู้นำกัมพูชาเผยเเพร่ออกมา ชาวกัมพูชาจะเชื่อในสิ่งที่ผู้นำพูด แต่สังคมโลกอาจลังเล เเต่สังคมไทยไม่เชื่อ ผู้นำกัมพูชาใช้ภาษาที่ปลุกเร้าอารมณ์โดยใช้คำโกหกคำใหญ่และใช้ซ้ำกันเหมือนผู้นำนาซีสมัยสงครามโลกครั้งที่สองผ่านเเพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถเข้าถึงมวลชนทันที
ภาษาปลุกเร้าที่เข้ากับสถานการณ์ให้ชาวกัมพูชาที่ใช้สื่อออนไลน์ชอบเเละเชื่อ เช่นไทยคือฝ่ายรุกรานเเละเป็นศัตรู การโกหกซ้ำๆบ่อยครั้งจะทำให้คำพูดนั้นกลายเป็นความจริง เพราะเชื่อว่าผู้นำกัมพูชาพูดความจริง
“ ตอนนี้สองประเทศเหมือนจะทำสงครามข่าวสารระหว่างกันผ่านโซเชียลมีเดียรวมใช้ทั้ง AI มาร่วมเสนอข่าวสารด้วยเเต่วิธีที่ผู้นำกัมพูชาใช้ตอนนี้มันอาจได้ประโยชน์หลายด้านสำหรับพวกเขาในระยะต้นเพราะไม่มีใครมาค้นหาความจริงแต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแม้ว่าความจริงปรากฎต้องรอดูว่าผู้นำกัมพูชาจะชี้เเจงอย่างไรเพราะหลายฝ่ายในโลกทราบความจริงเเล้วว่าการปะทะกันครั้งนี้ใครเริ่มต้นเเละเคารพกติกาสากลหรือไม่”
-สื่อออนไลน์รูปเเบบใหม่เเละอินฟลูเอนเซอร์มีบทบาทสูงในช่วงนี้เกี่ยวกับความเห็นในสถานการณ์นั้นๆเเละบางครั้งสื่อหลักนำสิ่งเหล่านี้ไปเผยเเพร่จะมีผลเช่นใด?
การที่ใครต่อใครสามารถใช้โซเชียลมีเดียเเละโทรศัพท์มือถือเผยเเพร่ความเห็นเเละข้อมูลด้วยตัวเอง มองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจเเละเรตติ้งของพวกเขาเองเพื่อเกาะกระเเส เเต่บางครั้งอาจทำให้สังคมตื่นตระหนกเเละไขว้เขว ต่อสิ่งที่พวกเขาเผยเเพร่ เเต่ยังเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่มีวิจารณญาณเเละเข้าใจสถานการณ์ข่าวในระดับหนึ่ง ไม่เชื่อตามสื่อออนไลน์ซึ่งเป็นสื่อใหม่เเละอินฟลูเอนเซอร์เสียทั้งหมด เเต่การที่สื่อหลักการนำข่าวจากสื่อโซเชียลมาเสนอควรวินิจฉัยให้รอบคอบก่อนนำไปเผยเเพร่เพราะหลายอย่างที่สื่อโซเชียลเสนอนั้นยังไม่มีอะไรยืนยันว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
เเม้คนไทยส่วนหนึ่งในตอนนี้อิงกระเเสโซเชียลมีเดียเป็นหลักเเละสื่อออนไลน์รูปเเบบใหม่เเละอินฟลูเอนเซอร์ก็เกาะกระเเสเหล่านี้ หากพูดตรงๆคือพวกเขาหิวเเสงก็ได้เพราะพวกเขาใช้สื่อออนไลน์เรียกร้องความสนใจจากสังคมเเต่ยังมั่นใจว่าสังคมส่วนใหญ่ยังชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อจากข้อมูลของสื่อออนไลน์เเละอินฟลูเอนเซอร์
-สื่อของรัฐเเขนงต่างๆเเละสื่อออนไลน์กับสถานการณ์ปัจจุบันน่าเชื่อถือ/ทันกระเเสหรือไม่หากเทียบกับสื่อต่างๅที่กัมพูชาดำเนินการในช่วงนี้
สื่อของรัฐต้องเสนอข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือเเต่ต้องไม่ชักช้าหากเทียบกับสื่อของกัมพูชาที่ดำเนินการเชิงรุกก่อนทุกกรณี เเม้หลายครั้งจะคล้ายบิดเบือนข้อมูลเเละใช้เฟคนิวส์เผยเเพร่ ตนมองว่าเป็นกลยุทธ์ในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหวังผลต่อสังคมโลกเเละชาวกัมพูชา เพราะสื่อออนไลน์ตอนนี้ใช้โทรศัพท์มือถือกดส่ง เพียงวินาทีกระจายไปทั่วโลกเเล้ว
การสื่อสารต่อชาวกัมพูชาและชาวโลกกัมพูชามีทั้งผู้นำหลักและผู้นำรองๆลงมา (สมเด็จฮุนเซนประธานวุฒิสภา/ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี/มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหม/ฮุน มานี ภรรยาสมเด็จฮุนเซน) เป็นผู้เผยเเพร่ข่าวสารเเละชิงนำก่อนที่ผู้บริหาร/ฝ่ายความมั่นคงของไทยจะเคลื่อนไหวในตอนหลังในลักษณะตอบโต้ หากมองที่ตัวของผู้ส่งข่าวสารแล้วกัมพูชาใช้เบอร์ใหญ่เป็นผู้แสดงบทบาท ขณะที่ฝ่ายไทย ไม่มีนายกรัฐมนตรีและใช้ผู้นำระดับรองๆเป็นผู้ให้ข่าวซึ่งขาดน้ำหนัก และมีการให้ข้อมูลจากหลายต่อหลายฝ่ายแม้ว่าจะเป๋นการให้ข้อมูลที่เป็นความจริงไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อหรือข่าวสารที่บิดเบือน แต่สถานภาพในการสื่อสารในปัจจุบัน อาจไม่ใช่ผลบวกนักสำหรับไทยในสงครามข่าวสาร เพราะความจริงที่มาล่าช้าไปก็อาจเกิดผลลบได้
เเม้ไทยจะเลือกวิธีความจริงนำความเท็จ เเต่หากมาล่าช้าก็เกิดผลลบได้ตรงนี้ควรเร่งเเก้ไข เพราะคนส่วนใหญ่เเละสังคมโลกเลือกจะเชื่อข้อมูลเเรกๆที่ได้รับก่อน(กัมพูชาเน้นเกมบุกก่อน/โต้กลับในการเผยเเพร่ข่าวสาร/ตอบโต้/บิดเบือนข้อมูลตามที่ฝั่งไทยชี้เเจงเเทบทุกครั้ง)
สื่อของรัฐไทยที่ล่าช้าเเละกระจายหลายส่วนนั้น ควรรวมเป็นจุดเดียวจะได้มีน้ำหนักเวลาเเถลงข่าว เเต่ที่ผ่านมาอาจมีอะไรอยู่เบื้องหลังดูเหมือนบางกรณีพูดได้ไม่เต็มปาก
การรบในปัจจุบันการรบบนโลกไซเบอร์มีความจำเป็น การทำสงครามไซเบอร์มักกระทำกันในทางลับ การที่สื่อออนไลน์ของฝ่ายรัฐไทยบางเเขนงนำกระบวนการทางIOมาใช้จนชัดเจนนั้นบางครั้งดูไม่เป็นมืออาชีพเพราะดูออกว่าใครเป็นผู้ทำ
หากเทียบการปะทะของไทย-กัมพูชาในปี2554กับการปะทะปีนี้ต่างกันค่อนข้างมาก ข่าวสารที่เผยเเพร่ในตอนนั้น โซเชียลมีเดียยังไม่ครอบคลุมเหมือนปัจจุบัน พื้นที่บริการของโทรศัพท์มือถือยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด และตัวโทรศัพท์เองยังไม่มีความสามารถเท่าปัจจุบัน ในตอนนั้นสื่อหลักของไทยจะเป็นผู้เสนอข่าวสาร เหตุการณ์เเละอารมณ์ของสังคมสองประเทศไม่ร้อนเเรงเท่าวันนี้
ปัจจุบันใครต่อใครสามารถใช้เเพลทฟอร์มต่างๆพร้อมนำเสนอข่าวได้ทันทีจนเกิดข่าวจริง/ข่าวลวง/ เฟกนิวส์หากไม่กลั่นกรองเเยกเเยะจะเชื่อตามนั้นได้ เเบบนี้อันตรายต่อการรับรู้ของผู้คนมาก มองว่ากัมพูชาควบคุมสื่อของตนเองได้ทุกเเพลทฟอร์มได้ครบถ้วนเเละชาวกัมพูชาพร้อมเชื่อเเละมีการตอบโต้ชาวเน็ตไทยในทันทีด้วยความจริงที่ผู้เขารับรู้มาจากผู้นำและสื่อ ขณะที่ชาวเน็ตไทยเเละสื่อไทยบางสำนักก็พร้อมตอบโต้และแก้ข่าวเช่นกัน หลายต่อหลายเหตุการณ์อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดเเละนำไปสู่สถานการณ์บานปลายหากไม่ใช้วิจารณญาณในการนำเสนอเเละรับฟัง
สื่อระดับมาตรฐานไทยบางเเห่งฟอร์มตก
เพราะหยิบข่าวจากสังคมออนไลน์เเต่ไม่ได้ re-check

“ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งเเสงประทีป” นักวิชาการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์/สื่อมวลชนอิสระ มองบทบาทสื่อช่วงการปะทะไทย-เขมรอย่างไร บรรทัดจากนี้คือคำตอบ
-การเสนอข่าวความขัดเเย้งไทย-กัมพูชาตอนนี้ความเเตกต่างของสื่อสองประเทศเป็นเช่นใด/มีผลอย่างไรกับสถานการณ์?
อยากเกริ่นถึงหลักกการนำเสนอข่าวสารของสื่อกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ไม่ปกติก่อน ซึ่งสื่อมวลชนทราบดีอยู่แล้วว่า ต้องรายงานตามข้อเท็จจริง และที่สำคัญคือการทำหน้าที่ของกองบรรณาธิการที่จะต้องทำหน้าที่มากกว่าปกติในการคัดกรองข่าวสารก่อนนำเสนอต่อสาธารณะ เพราะในข่าวสถานการณ์หรือเหตุการณ์มักมีสิ่งที่เป็นทั้งข่าวจริงและข่าวลวงหรือ Fake NEWSกระบวนการคัดกรองจึงมีความสำคัญ
“หลักการเสนอข่าวสารของสื่อกับสถานการณ์ทั่วไปคือรายงานตามข้อเท็จจริงเเละcross check ที่มาของข่าวสารก่อนนำเสนอต่อสาธารณะ”
..เหตุการณ์ตั้งเเต่ 28 พ.ค.2568-ช่วงนี้นับว่าอยู่ในภาวะสงครามหรือการสู้รบ สงครามที่มีการปะทะของทหาร แต่ทว่ามีสงครามข่าวสารที่คู่ขนานไปกับสงครามการสู้รบควบคู่ไปด้วย
ช่วงเเรกของเหตุการณ์ จะพบว่า สื่อกัมพูชามีการรายงานข่าวจากรัฐบาลและกองทัพของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยเรื่องการมีอิทธิพลของรัฐบาลต่อการควบคุมสื่อของกัมพูชาเอง จนทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไทยมีการตอบโต้สื่อสารอย่างล่าช้า สื่อของไทยเองจึงเน้นนำเสนอเรื่องเหตุการณ์และสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับชาวบ้านและข่าวจากกองทัพเป็นหลัก
ผลที่เกิดขึ้นคือ สื่อกัมพูชานำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องแต่เน้นไปที่ข่าวสารของรัฐบาลกัมพูชาเองเป็นหลักไม่ว่าข่าวนั้นจะจริงหรือเป็น ข่าวปลอม Fake NEWs หรือไม่ การนำเสนอเช่นนี้ทำจนถึงปัจจุบันเช่นกรณีที่เราเห็นคือ การแถลงรายวันของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ขณะที่สื่อไทยที่มีอิสระในการนำเสนอมีการนำเสนอเน้นไปที่ผลกระทบกับประชาชนและการดำเนินการของรัฐบาลและกองทัพ
นอกจากสื่อหลัก คือสำนักข่าวที่ทำหน้าที่แล้วเรายังเห็นสงครามข่าวสารจากบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ของทั้งสองประเทศว่า มีบทบาทมากขึ้นจนสื่อหลักนำหลายแห่งหยิบยกมานำเสนอ โดยเฉพาะสื่อไทย
มีการนำมารายงานต่อโดยไม่ผ่านการคัดกรอง เป็นเพียงเพื่อความเร็วเเละเรียก/เพิ่มยอดการเข้าถึงจากสื่อออนไลน์ของสำนักข่าวเอง จนสื่อหลักของไทยหลายแห่งผิดพลาดในการรายงานข่าว เช่น เรื่องคนจีนปลอมตัวเป็นนักข่าว แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะในสถานการณ์การทำข่าวปกติสื่อไทยก็นำเสนอในลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่หลังมีความผิดพลาดก็นำเสนอใหม่และลบข่าวที่ผิดทิ้งไป
-บางฝ่ายมองว่ารัฐบาลไทยชี้เเจงช้ากว่ารัฐบาลกัมพูชาเพราะเกรงใจความสัมพันธ์ของตระกูลชินวัตรกับสมเด็จฮุนเซนที่อาจมีดีลลับบางอย่าง?
ในช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมา กองทัพคือคนนำ ส่วนรัฐบาลหลังจากมีเรื่องคลิปลับ รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ถดถอยประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นแม้จะให้สัมภาษณ์ว่าไฟเขียวให้กองทัพ รัฐบาลยังคอนโทรลการสื่อสารของรัฐเองได้ แต่การชี้แจงล่าช้าอาจมีหลายปัจจัย เช่น ทีมโฆษกรัฐบาลที่ขาดประสบการณ์การรับมือและไม่มีองค์ความรู้เรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต รวมถึงการขาดศักยภาพในการวางแผนการสื่อสาร
เช่นการตั้งวอร์รูมที่ไม่เห็นจากสถานการณ์ในรอบนี้ รวมถึงปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวเร่งที่รัฐบาลไม่คาดคิดว่าจะมีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินตั้งแต่วันแรก ทำให้รัฐบาลอาจตั้งหลักไม่ทันและประเมินสถานการณ์ผิด ทั้งๆที่ทหารรู้ตั้งแต่คืนก่อนหน้าและรายงานต่อรัฐบาลแล้ว รัฐบาลเเละนายทักษิณ ชินวัตรจะมีดีลลับหรือไม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลเป็นอีกเรื่องที่ไม่น่ามีผลต่อการชี้แจงของรัฐบาล แต่เป็นเพราะการขาดประสบการณ์และศักยภาพของทีมงานมากกว่า
-แวดวงสื่อมักจะสัมมนาถอดบทเรียนกับสถานการณ์ใหญ่ๆบ่อยครั้งบทเรียนเหล่านั้นสื่อเเขนงต่างๆนำมาใช้ปฏิบัติจริงหรือไม่?
การถอดบทเรียนหลังสถานการณ์ของสื่อนั้น เกิดขึ้นเสมอๆทุกครั้งในวิกฤตการการสื่อสาร เเต่คำถามคือมีการนำบทเรียนนั้นๆกลับไปสู่การปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพน้อยมาก เข้าใจผู้สื่อข่าวในพื้นที่ที่รายงานตามข้อเท็จจริง เเต่บางครั้งนโยบายขององค์กรสื่อนั้นๆที่มีจุดยืนของตัวเองอาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานภาคสนามลำบาก เช่นการต้องการความรวดเร็วเพื่อเรตติ้ง โดยไม่สนใจข่าวปลอม หรือ ข้อเท็จจริง
การพิจารณาบทเรียนการเสนอข่าวในสถานการณ์อ่อนไหว เเละบทเรียนที่สมาคม/สภาวิชาชีพสื่อตั้งวงเสวนาหลายต่อหลายครั้ง ควรนำบทเรียนเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงเสียทีเพราะเสียงสะท้อนของนักข่าวภาคสนามที่มาร่วมถอดบทเรียนในเเต่ละเหตุการณ์คล้ายว่าเสียงสะท้อนของพวกเขาหายไปกับสายลมเเละกาลเวลา
เหตุการณ์ครั้งนี้เห็นชัดหลายอย่าง เช่น สื่อบางเเขนงที่มีมาตรฐานในการเสนอข่าวระดับสูงมีสรรพกำลัง แต่กลับหลุดมาตรฐานของตนเอง
กลุ่มสำนักข่าวที่เล่นข่าวเชิงกระแสโดยเฉพาะสื่อทีวีรายการข่าวคงไม่แปลกใจที่จะนำเสนอข่าวโดยไม่ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน รวมถึงการสอดเเทรกความเห็นส่วนตัวและการแสดงความรู้สึกอารมณ์ร่วมไปในการเสนอข่าวนั้น ๆ เช่นน้ำเสียงในการเสียดสีกระตุ้นเร้าอารมณ์ที่เราจะพบในรายการข่าวช่องหนึ่งเป็นประจำ เช่นเหตุการณ์นี้ที่สื่อกำลังกลายเป็นคนที่สร้างให้เกิดความเกลียดชัง สร้าง Hate Speech เสียเอง หากต้องการเเสดงทัศนะส่วนตัวกับข่าวนั้นๆ ควรใช้พื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ของตัวเองในการเสนอความเห็นส่วนตัวกับข่าวนั้นๆโดยไม่ปะปนกัน
พูดง่ายๆสื่อมวลชนควรเเยกเเยะบทบาทเเละหมวกของตัวเองให้ได้ด้วยว่า สิ่งใดควรปฏิบัติในหน้าที่เเละวิชาชีพ สิ่งใดเเสดงออกในมุมส่วนตัวที่เเยกเเยะจากหมวกวิชาชีพเเล้ว
ส่วนผู้บริหารสื่อ/กองบรรณาธิการควรยึดมั่นเเนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน หลักการข่าววันนี้คือความเร็วในการนำเสนอข่าวโดยไม่กลั่นกรอง รวมทั้งการพาดหัวข่าว/clickbait เเบบยั่วอารมณ์เพื่อเรียกยอดการเข้าชมผ่านสื่อออนไลน์นั้น ควรยุติเเละเลิกทำ หากดำเนินการได้มาตรฐานสื่อไทยจะได้รับการยอมรับ ปรากกฎการณ์สื่อไทยในครั้งนี้เราจะเห็นการหยิบยกเอาข่าวจากอินฟลูเอนเซอร์รวมถึงข่าวที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนมานำเสนอจำนวนมาก
"เข้าใจว่าคนไทยทุกคนรักชาติผมก็รักชาติเเละห่วงใยทหาร/ประชาชนตามเเนวชายเเดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้เเต่การเสนอเเละรับรู้ข่าวสารต้องการความละเอียดรอบคอบผ่านกระบวนการกลั่นกรองในภาวะที่อ่อนไหวเช่นนี้ "
-มาตรฐานทางวิชาชีพของสื่อไทยวันนี้-อนาคตควรวางไว้อย่างไรหากนำสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเป็นบทเรียน?
สถานการณ์ครั้งนี้ เกิดประโยชน์มากที่จะเป็นบทเรียนอีกครั้งให้องค์กรวิชาชีพสื่อ สำนักข่าวหันกลับมายึดมาตรฐานวิชาชีพสื่อในการร่วมปฏิบัติ มันไม่ใช่สถานการณ์ของการแย่งชิงความได้เปรียบในการแข่งขันของสื่อกันเอง แต่มันคือความร่วมมือในการนำเสนอข่าวเพื่อประโยชน์ของสาธารณะและประเทศ
