รายงานพิเศษ
------------------
ภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบันกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงบทบาทและคุณค่าของ "ข่าว" ที่ถูกกลืนกินโดยกลไกของ "การบันเทิง" สถานการณ์การสื่อสารในภาวะความขัดแย้ง โดยเฉพาะกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อ (Media Landscape) บทบาทของสื่อวิชาชีพที่ถูกท้าทาย และปฏิบัติการทางภาษาที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชังอย่างน่ากังวล
จาก "ปัญหาชายแดน" สู่ "สงครามขยี้ข่าว" เราจะสื่อสารประเด็นอ่อนไหวนี้อย่างไร ให้สร้างความเข้าใจ ไม่ใช่ความเกลียดชัง?
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเวทีเสวนา ในหัวข้อเรื่อง “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” โดยมี 5 วิทยากรจากแวดวงสื่อสารมวลชนและวิชาการ ที่มาถกหาทางออกของ "มลพิษสื่อ" ในสังคมไทยร่วมกัน ได้แก่ ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , ผศ.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ชวรงค์ ลิมปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ, กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) , สันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการ รายการ See True ไทยรัฐทีวี
ภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป : จาก Watchdog สู่ 'สาระบันเทิง'

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเปิดโอกาสให้ทุกคนเป็นผู้สื่อสาร การนิยามบทบาทของสื่อมวลชนจึงมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สะท้อนถึงภาพสื่อกระแสหลัก หรือ สื่อที่มีชื่อช่องทั้งหลาย ว่าได้เปลี่ยนสถานะจากบทบาทดั้งเดิมที่เคยเป็น "Watchdog" ไปสู่ "ธุรกิจบันเทิง"
“ทุกวันนี้ข่าวมันกลายเป็นธุรกิจบันเทิงไปแล้วนะ เราไม่ได้เห็นข่าวแบบเก่า แบบที่เราเรียกว่า Watchdog ที่เป็นคนเฝ้าระวัง... แต่ยุคนี้มันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว เป็นสาระบันเทิง”
สภาพการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้การนำเสนอข่าวต้องแข่งขันกันด้วยยอดเรตติ้งและยอดคลิก ยอดวิว เพื่อดึงดูดเม็ดเงินโฆษณา “ข่าวทำตัวเองให้เป็นรายการบันเทิง ที่ไม่แตกต่างกับละคร หรือเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง ที่ต้องขายให้ได้ มียอดโฆษณา มียอดผู้ชม”
นอกจากสื่อองค์กรแล้ว ภูมิทัศน์สื่อเอง ยังเต็มไปด้วยผู้เล่นใหม่ ทั้ง Content Creator และ Influencer ที่เข้ามามีบทบาทในการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีฐานแฟนคลับของตนเอง และยังมีการไหลเวียนของข้อมูลระหว่างสื่อมวลชนกับโซเชียลมีเดียที่ขยายประเด็นต่อเนื่องไปมา และการแข่งขันในโลกออนไลน์ ทำให้สื่อหลักต้องเผชิญกับภาวะที่ต้องหยิบประเด็นจากโซเชียลมีเดียมาเล่นต่อ
.
ปฏิบัติการภาษา : เมื่อข่าวกลายเป็น "วรรณกรรม" แห่งความเกลียดชัง
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในสถานการณ์ความขัดแย้ง คือการที่ข่าวถูกนำเสนอผ่านกลไกทางภาษาที่สร้างวาทกรรมแห่งความแตกแยกและเกลียดชัง ผศ.ดร. ธเนศ มองว่า ข่าวชิ้นใหญ่ โดยเฉพาะข่าวความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ถูกเชฟให้กลายเป็น “ตัวบทวรรณกรรมชิ้นหนึ่ง” ซึ่งมีโครงสร้างการเล่าเรื่องที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ คือ มีแก่นเรื่องชัดเจน เช่น อธิปไตยของชาติ , มีโครงเรื่อง มีปมขัดแย้ง และจุดหักเหที่น่าตื่นเต้น เช่น คลิปเสียงหลุดนายกฯ อุ๊งอิ๊ง , ช่วงพีคที่ถล่มโรงพยาบาล โรงเรียน , มีการสร้าง "ตัวละครอุดมคติ" เช่น แม่ทัพภาค 2 ที่เข้ามาเปลี่ยน Mindset ของสังคม และมีการสร้าง "อารมณ์ขัน" คล้ายวรรณคดีไทย ผ่านมีม ทหารเต้น หรือคลิปตลก เพื่อสลับอารมณ์ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด
โครงสร้างการเล่าเรื่อง หรือ Narrative เหล่านี้ ทำให้การเสพข่าวเป็นไปอย่างสนุกสนาน แต่กลับนำไปสู่ปัญหาที่ตามมา คือ การตีตรา และ Hate Speech
เพราะความมุ่งเน้นในการเรียกยอดคลิก และการขยี้อารมณ์ ได้นำไปสู่การใช้ภาษาที่เป็นพิษ ทั้ง Clickbait และ Hate Speech จากการพาดหัวที่ยั่วยุอารมณ์ ใช้คำที่หยาบคาย ติดป้ายตีตรา และยั่วยุอคติ , การสร้างวาทกรรมเชิงลบ มีการใช้คำที่รุนแรงและแสดงการด้อยค่า ฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน เช่น “ตบหน้าโต้เดือด”, “ฟาดเขมร”, “เขย่าคอเสื้อเขมร” , การสร้างความเกลียดชัง มีผลบิดเบือนความจริง สร้างผู้ร้าย เป็นการผลักให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย “พวกเขา พวกเรา” และยุยงให้เกลียดชัง เช่น กรณีคุณอังคณาถูกทำให้สังคมเกลียดอย่างชัดเจน

ผศ.ดร. ธเนศ สรุปปรากฏการณ์นี้ว่า สื่อและวาทกรรมเกลียดชังได้สร้าง "มลพิษทางอารมณ์" ซึ่งทำให้ความเกลียดชังกลายเป็นเรื่อง "ธรรมดาปกติของสังคม" หรือเปรียบเสมือนฮิปโปที่พ่นอุจจาระแล้วใช้หางพัดวนในบ่อน้ำ ซึ่งการพ่นออกมาเอง แล้วก็กินกลับไปเอง
.
สงครามข่าวลวง : หลอกล่อด้วย Deepfake และการขยายผลของสื่อใหญ่

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟคประเทศไทย หรือ Cofact เผยถึงผลการตรวจสอบข่าวลวงในช่วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยโคแฟคพบว่า
- ปริมาณข่าวลวง ตรวจสอบพบข่าวลวงกว่า 40-50 เรื่อง แต่จำนวนจริงในโลกออนไลน์มีมากมายมหาศาลจนไม่สามารถระบุได้ทั้งหมด
- การใช้ AI Deepfake พบการนำ AI Deepfake มาใช้สร้างภาพที่ดูสมจริงเพื่อบิดเบือนข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญในช่วงนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมากนัก
- การใช้คลิปผิดบริบท มีการนำคลิปจริงมาใช้ในบริบทที่ผิดเพื่อสื่อเจตนา เช่น คลิปซ้อมปฐมพยาบาลของทหารเขมร ถูกนำมาบิดเบือนว่า “ซ้อมตายแล้วซ้อมห่อศพกันแล้ว”
- การขยายผลของสื่อหลัก สื่อใหญ่จำนวนหนึ่งนำข้อมูลหรือโพสต์จากผู้ใช้งานในโซเชียลมีเดียมาเผยแพร่ต่อโดยไม่มีการกลั่นกรองหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง มีตัวอย่างที่สื่อทีวีนำคลิปจาก Facebook Page ที่ไม่เป็นทางการมาเล่นต่อ และต้องลบออกหลังจากกองทัพออกมาแถลง
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในโลกโซเชียลโดย Neo Momentum ซึ่งเก็บข้อมูลช่วง มิ.ย.-ต.ค. 2568 มีประมาณ 580,000 ข้อความ ยังพบหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ข้อความที่เป็นลบ (Negative) และ Hate Speech มีสัดส่วนเกินกว่า 50% ของข้อความทั้งหมด โดยเรื่องเล่าที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและเป็นไปในเชิงลบ คือเรื่องเกี่ยวกับ อัตลักษณ์ และ วัฒนธรรม ถึง61-67%
“ แม้ภาพรวมสื่อกระแสหลักจะรายงานด้วยความเป็นกลาง แต่ก็จะมีบางประเด็นในการสื่อสารของสื่อที่ไปกระตุ้นต่อมรักชาติ ต่อมความเกลียดชัง โดยเฉพาะการโพสต์คำพูดสั้นๆ การพาดหัวข่าวที่มีนัยยะการใช้ภาษาที่ไปเร้าอารมณ์ กระตุ้นให้ความตึงเครียดที่มีอยู่แล้ว เพิ่มสูงขึ้น ”
.
เสียงจากสมรภูมิ : จุดยืนของข่าวสืบสวนและสิทธิมนุษยชน

สันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการข่าวสืบสวน ไทยรัฐทีวี ซึ่งมีประสบการณ์ภาคสนามอย่างโชกโชนกว่า 20 ปี สะท้อนถึงภาพการทำงานของสื่อที่เลือกยืนอยู่บนธงของ "สันติภาพ" และ "สิทธิมนุษยชน" ว่า ในการรายงานข่าวต้องเน้นความเป็นไปของชาวบ้านที่เดือดร้อนในพื้นที่ ไม่ใช่การสัมภาษณ์ความเห็นของคนนอกพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงซึ่งช่วงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตัวเขาเองได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้เสียหายจริง เสียงสะท้อนล้วนไปในทิศทางเดียวกันว่า คือชาวบ้านไม่อยากให้เหตุการณ์เหล่านี้มันเกิดกับใครอีก ถ้ารัฐบาลเจรจาได้ อยากให้เจรจา ไม่อยากให้เกิดการสู้รบ บางรายชีวิตลำบากมาก ต้องอพยพ และรายได้ขาดหาย เช่นเดียวกับภาวะวิกฤตที่ทหารกัมพูชาก็ไม่อยากให้เกิด เคยสัมภาษณ์แหล่งข่าวระดับสูงของกัมพูชา ผู้เคยอาศัยอยู่ชายแดนไทยและสนิทกับคนไทย ที่บอกว่า “ถ้าเขาเจรจาเอง เขาจะไม่ให้เกิดการสู้รบ” เพราะเขาเห็นความเอื้อเฟื้อจากคนไทย
การทำข่าวสืบสวนภาคสนามยังเผยให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งสื่อกระแสหลักอาจไม่ได้เปิดโปงเช่น การขนของเถื่อน ขบวนการนำพา บางพื้นที่เป็นเส้นทางใหญ่มากในการขนของเถื่อน ขนคน ที่มีทั้งแรงงานกัมพูชา คนไทยไปทำงานเว็บพนันออนไลน์ และคนจีน ซึ่งทำกันเป็นขบวนการโดยมีผู้นำท้องถิ่น ทหารบางนาย และตำรวจบางนายเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ ผลประโยชน์ทับซ้อน
“ ปัญหาบางอย่างถูกซุกไว้ ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งของสองประเทศ แต่เป็นเรื่องการยึดที่ดินทำกินของชาวบ้าน และมีการรับส่วยจากข้าราชการไทยจากนักธุรกิจชาวกัมพูชา ถ้าใช้ความรักชาติมาคลุมมันไว้ มันอาจจะดีกว่าที่จะเปิดโปงออกมาก็ได้” สันติวิธี ตั้งข้อสังเกต
กลไกกำกับดูแลที่ถูกท้าทาย และมรดกอาณานิคม
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อไทยและกัมพูชามีประวัติศาสตร์ยาวนาน และเคยมีกลไกการกำกับดูแลกันเองที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แต่ปัจจุบันถูกท้าทายอย่างหนัก

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เล่าถึงความพยายามสร้างความสัมพันธ์กับสื่อกัมพูชามาตั้งแต่ยุค UNTAC (ปี 2534) สมาคมนักข่าวทั้งสองประเทศเคยทำงานร่วมกันจนมีความสัมพันธ์เหมือนญาติ ซึ่งความร่วมมือของทั้งสองสมาคม เคยใช้ "ฮอตไลน์" เพื่อยุติเหตุการณ์ที่อาจบานปลายได้ทันที เช่น กรณีการรายงานข่าวที่อาจถูกตีความว่า "เหยียบย่ำ" พระบรมศพสมเด็จสีหนุในปี 2555 และกรณีความขัดแย้งเรื่องนางงาม
แต่หลังการสู้รบปี 2566 สมาคมนักข่าวกัมพูชาเริ่มออกแถลงการณ์เรียกร้องสื่อไทยบางสำนัก ที่ตรงกับข้อเรียกร้องของรัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารของกัมพูชา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบทบาทของสมาคมถูกครอบงำโดยรัฐ เสรีภาพของสื่อกัมพูชาค่อนข้างน้อย เพราะเจ้าของสื่อในกัมพูชาจะถูกควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด เพราะเจ้าของสื่อมักมีธุรกิจอื่นที่ต้องพึ่งพารัฐบาล
“ เราก็เห็นว่าสื่อกัมพูชาก็มีการบิดเบือนเหมือนกัน เช่น เรื่องเครื่องบินปล่อยสารเคมี สุดท้ายสมาคมสื่อไทยจึงตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์ชั่วคราว เพราะไม่ควรให้สมาคมนักข่าวประเทศหนึ่งมาแทรกแซงการทำงานของสื่ออีกประเทศหนึ่ง ”
มรดกอาณานิคมกับการหยุดคิด
ผศ.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ถึงรากฐานปัญหาที่ลึกกว่าความขัดแย้งเฉพาะหน้า คือ มรดกจากสมัยอาณานิคม แม้บางคนมองว่าพรมแดนเป็นเรื่องสมมุติ แต่ในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ พรมแดนคือเรื่องจริง และปัญหาทั้งหมดล้วนเป็นมรดกที่ต้องก้าวข้ามความคิดแบบอาณานิคม สังคมไทยมักบอกตัวเองว่าไม่เคยตกเป็นอาณานิคม แต่ในเชิงระบบ เราตกอยู่ภายใต้ความคิดแบบอาณานิคมมาตลอด และการปฏิเสธตรงนี้ทำให้เราไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาได้

ผศ.ดร. จิรยุทธ์ ยกแนวคิดของ ฮันนาห์ อาเรนท์ นักรัฐศาสตร์ ที่ว่า “ความชั่วร้าย เกิดขึ้นเพราะว่ามนุษย์หยุดที่จะคิด”ว่าการกระทำของเราส่งผลต่อคนอื่นอย่างไร และมองข้ามผลประโยชน์ที่ทับซ้อน ซึ่งสื่อและสังคมไทยต้องช่วยกันกระตุ้นให้เกิด "ความคิด" ที่ไม่ถูกครอบงำด้วยกรอบความรักชาติ หรือความเกลียดชัง เพื่อหาทางออกร่วมกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน
.
ทางออกจากมลพิษสื่อ : การรีดีฟายน์ความรักชาติและบทบาทใหม่ของสื่อ
ผศ.ดร. จิรยุทธ์ เสนอโจทย์ท้าทายให้สังคมไทยและสื่อ “เรามารีดีฟายความรักชาติกันใหม่ไหม?” และสื่อควรมีบทบาทในการวางกรอบความคิดและแนวทางที่ต้องการให้สังคมดำเนินไป
“ การวาง Positioning ตัวเอง สื่อไทยต้องเข้าใจว่า ปัญหาพรมแดนไม่ได้มีแค่ไทย-กัมพูชา และโลกภายนอกไม่ได้สนใจปัญหาของเรามากนัก ดังนั้นสื่อควรให้ความรู้แก่คนไทยว่าควร Position ตัวเองอย่างไรในสงครามครั้งใหญ่ด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo-economics) ของโลก
อยากให้กำลังใจสื่อคุณภาพที่ยังคงรักษามาตรฐาน สื่อเรามีความสามารถมีบทบาทในสังคมได้มากกว่าการเป็นคนรายงานข่าว หรือรายงาน Information แต่ว่าเรายังสามารถที่จะวางกรอบความคิดอะไรบางอย่าง กรอบแนวทางอะไรบางอย่าง ที่ว่าเราอยากให้สังคมมันจะดำเนินไปได้”

ขณะที่ สันติวิธี ยืนยันว่า สื่อไม่ควรทำข่าวสนับสนุนให้รบกัน แต่ควรทำข่าวให้เกิดสันติภาพ ให้การสู้รบจบลงเร็วที่สุด และพยายามเลี่ยงการนำความเห็นที่สร้างความเกลียดชังมานำเสนอ เพราะในขณะที่ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ แต่เขายังเชื่อว่า "หลักการวิชาชีพ" คือสิ่งที่ทำให้สื่อมืออาชีพแตกต่าง
“ สงครามไม่ได้รบกันไปตลอด ยังไงมันก็ต้องมีวันจบ สื่อมืออาชีพควรนำเสนอข้อมูลให้ต่างจาก Influencer ที่ชื่นชอบมุมเดียวด้านเดียว ถ้าสื่ออย่างเรายังรักษาหลักการในการทำข่าว ตรวจสอบ เช็คข้อมูลข่าวด้วยความรอบด้าน ไม่กระพือความขัดแย้ง สิ่งเหล่านี้คือหลักในการทำข่าวพื้นฐานเลย ผมว่านั่นแหละจะเป็นทางออก”
โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ : แพลตฟอร์มและการรู้เท่าทันสื่อ
กุลชาดา ชี้ว่าปัญหาใหญ่คือ “โมเดลการสร้างรายได้” ของแพลตฟอร์ม เพราะยิ่งใส่อารมณ์เท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนอยู่นานๆ และยิ่งได้เงิน โดยเสนอให้มีการรวมพลังเพื่อเรียกร้องให้แพลตฟอร์มปรับ Algorithm ในสถานการณ์ความขัดแย้ง มากกว่าที่จะมาเรียกหาความรับผิดชอบเฉพาะแต่ในสื่อเพียงอย่างเดียว
“ เราไม่สามารถเอาภาระต่างๆ มาวางที่บ่าของ “สื่อ” เพียงอย่างเดียว ถ้าสามารถทำวิกฤตเป็นโอกาสได้เราต้องมานั่งคุยกันจริงจัง เราจะเชื่อมการทำงานของสื่อกับภาครัฐอย่างไร แต่เราก็ไม่อยากให้เป็นการกำกับสื่อ มันเป็นเส้นบางๆจริงๆ หรือแม้แต่ “โมเดลการสร้างรายได้” ของแพลตฟอร์ม ความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มเองก็มีส่วนสำคัญที่ต้องช่วยกันตรงนี้ด้วย ให้แพลตฟอร์มมีการปรับ Algorithm ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ไม่ให้มุ่งหาแต่เรื่องที่หวือหวาหรือเร้าอารมณ์ ”
ด้าน ผศ.ดร.ธเนศ เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันสร้างหลักสูตรหรือรายวิชา เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อ หรือ Media Literacy และปลูกฝังสิ่งนี้ควรเริ่มตั้งแต่เด็กระดับประถม
“ การรู้เท่าทันสื่อ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก อยากให้สถาบันการศึกษาทุกระดับชั้น ตื่นตัว ระวัง และใส่ใจ ที่จะดูว่าสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปถึงเด็กอย่างไร ด้วยท่าทีแบบไหน และเราจะกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้กับข่าวสารข้อมูลเหล่านี้อย่างไร ด้วยสายตาแบบไหน ”

ชวรงค์ ย้ำว่า การที่องค์กรกำกับดูแลกันเอง สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติเห็นความกังวลและกำลังหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น กสทช. เพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น เพราะ “บรรยากาศการแข่งขันของข่าว” และการที่โปรดิวเซอร์ต้องดูเรตติ้งแบบ Real Time ทำให้สื่อถูกกดดันให้ต้องนำคลิปจากโซเชียลมีเดียมาใช้เพื่อดึงเรตติ้ง
“การทำข่าวดีๆ ทำข่าวนี่มันยาก แต่ทำข่าวให้มันมีกระแสมันง่าย การทุ่มเททรัพยากรไปกับการทำข่าวเชิงสันติภาพจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ หากสื่อวิชาชีพต้องการก้าวข้ามมลพิษของยุคสมัยนี้” ชวรงค์ กล่าว
