ที่สุดวาทกรรม “ประยุทธ์” บริภาษสื่อ
โดย- ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
นอกจากสมัคร สุนทรเวช ที่ขึ้นชื่อเป็นนักการเมืองชอบวิจารณ์สื่อแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศที่วิพากษ์สื่ออย่างเผ็ดร้อน รุนแรงมากกว่านายกรัฐมนตรีทุกคนที่ผ่านมา
ด้วยบุคลิกเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดตรงไปตรงมา ดุดัน แบบฉบับของทหารและสถานการณ์ของประเทศที่ปกครองด้วยทหารจากการยึดอำนาจ โดยพล.อ.ประยุทธ์ นำมาซึ่งการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อหวังจะแก้ปัญหาความแตกแยกขัดแย้งทางการเมือง
“จุลสารราชดำเนิน” รวบรวม วาทกรรมของพล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดพาดพิงการทำงานของสื่อมวลชน ทั้งการให้สัมภาษณ์ การพูดในรายการประจำทุกวันศุกร์ คืนความสุขให้กับคนในชาติ หรือ การพูดบนเวทีงานปาฐกถาต่างๆ ในช่วงปีกว่าที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนับแต่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตำหนิ สื่อเฉลี่ยแทบทุกเดือน ในหลายเวที โดยเตือนในทุกระดับตั้งแต่นักข่าวภาคสนามประจำทำเนียบรัฐบาล เจ้าของสื่อ ผู้บริหารสื่อ พิธีกรรายการทีวี หรือ จะเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อ สมาคมนักข่าวฯ กระทั่งแม้แต่ตัวช่างภาพ ก็โดนด้วย
โดยเฉพาะคอลัมนิสต์ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขั้นระบุชื่ออย่างน้อย 3 ราย จากไทยรัฐและเอเอสทีวีผู้จัดการ
พล.อ.ประยุทธ์ พยายามแยกแยะว่า มีสื่อที่เป็นกลางอยู่ และส่วนหนึ่งก็เป็นสื่อเลือกข้างที่ชอบสร้างความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ มองว่า นี่คือ สถานการณ์ที่ไม่ปกติ ดังนั้น สื่อควรหยุดเสนอนำข่าวที่กระทบต่อการแก้ปัญหาประเทศ และควรหันมานำเสนอสิ่งที่รัฐบาลทำให้มากเพื่อให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้
พยายามแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยความเหน็ดเหนื่อย และไม่เห็นด้วยที่สื่อจะตรวจสอบรัฐบาลหรือ กระทั่งวิจารณ์ คสช. ตามหน้าที่ของสื่อในฐานะสุนัขเฝ้าบ้าน โดยอ้างว่าขัดกับประกาศคสช. และกฎอัยการศึก โดยขู่จะใช้กฎหมายดำเนินกับเจ้าของ ผู้บริหารสื่ออย่างเข้มงวด รวมถึงจะฟ้องร้องอีกทาง หากนำเสนอเนื้อหาที่ฝ่าฝืนคำสั่ง
นอกจากนี้ จากคำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ตอกย้ำให้เห็นว่า มีการเชิญคอลัมนิสต์ไปปรับทัศนคติในทางลับอยู่ตลอด ขณะเดียวกัน คำพูดหลายครั้งแม้จะดูทีเล่นทีจริง เช่น อยากจะชกหน้านักข่าว จะจัดการกับสื่อโดยใช้เครื่องประหารหัวสุนัข ได้สร้างความหวาดกลัวและคุกคามสื่อที่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา และอาจมองได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณ ให้คนรอบข้างพล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการกับสื่ออย่างเต็มที่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่คสช.เข้าบริหารประเทศ มีการเรียกเชิญ บรรณาธิการ และตัวแทน รับฟังนโยบายเป็นระยะ รวมถึง การเรียกไปปรับทัศนคติทั้งคอลัมนิสต์ การ์ตูนนิสต์ หรือ การโทรเตือนโดยตรง
-----
4 ก.ค. 2557 หลังยึดอำนาจได้ 2 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้พูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย นสพ.หลายฉบับหยิบไปพาดหัวข่าว "ประยุทธ์ เตือนสื่ออย่าแพร่ข่าวเท็จ"
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ขอทำความเข้าใจในเรื่องสื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ โทรทัศน์ดาวเทียม วิทยุกระจายเสียง วิทยุชุมชน โซเชียลมีเดีย สื่อสิ่งพิมพ์ วันนี้บ้านเมืองอยู่ในห้วงไม่ปกติ จำเป็นต้องขอร้องให้ลดการนำเสนอข่าวที่จะเพิ่มหรือขยายความขัดแย้ง หากสื่อใดยังนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงหรือสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ผู้บริหารสื่อต้องรับผิดชอบด้วย ทั้งนี้ คสช.ไม่ได้มุ่งหวังใช้อำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อ เราต้องการความสงบสุข เพื่อคสช.จะได้แก้ปัญหา
"ที่ผ่านมาจะเห็นว่าก่อนวันที่ 22 พ.ค. ประชาชนบริโภคข่าวจากสื่อทุกประเภท ต้องยอมรับว่า มีสื่อทั้งที่เลือกข้าง และเป็นกลาง ทำให้สังคมสับสน มีความเกลียดชัง เพราะต่างฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นในข้อมูลของฝ่ายตน มีการเขียน หรือโพสต์ หรือวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง ทั้งแชร์ข้อมูลของฝ่ายตนเอง และประสงค์ที่จะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อด้วย ดังนั้น เราจำเป็นต้องช่วยกัน ทั้ง คสช. สมาคมผู้สื่อข่าว นักข่าว บรรณาธิการ เจ้าของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่โดยตรง"
"โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีพรมแดน การกระจายข่าวสาร รวดเร็วมาก หากมีการโพสต์ข้อความ หรือเสนอข่าวใดที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็มีแต่ข้อมูลสร้างความเกลียดชัง หรือที่เรียกว่า Hate Speech เป็นการประจานประเทศไทยในสายตาของต่างชาติ รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อภายในประเทศเราเอง ความขัดแย้งก็จะไม่มีวันจบไม่สิ้น บางทีอาจสร้างผลกระทบกับความคิด ความอ่านของเยาวชนไทยที่เป็นอนาคตของเราด้วย หากปล่อยเป็นเช่นเดิม ความแตกแยกจะมากขึ้น เด็กไม่เคารพผู้ใหญ่ ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยาก
25 ก.ย. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ตอบโต้นางยุวดี ธัญสิริ หรือ เจ๊ยุ ผู้สื่อข่าวอาวุโสทำเนียบรัฐบาล กรณีนิตยสารไทม์ โจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยต่อคดีการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวอังกฤษที่เกาะเต่า โดยระบุว่า สื่ออย่าไปช่วยเขาโจมตี เราก็รู้อยู่ว่า การสืบสวนเรื่องนี้คงไม่ง่ายหนัก เพราะเป็นพื้นที่เกาะ
“นิตยสารต่างประเทศพูดอะไรมา ก็อย่าไปขยายความให้เขา เพราะประเทศชาติมันเสียหาย เราก็จะต้องมาแก้ของเรา ถ้าเราไม่แก้กันเอง ใครจะมาแก้ นิตยสารไทม์จะมาแก้ให้หรือไม่ ถ้าเราไปคล้อยตามเขาอีก จะทำอย่างไร แสดงว่าท่านไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวไทยหรือ วันนี้ชอบไปรับอำนาจคนอื่น ท่านบอกว่า ตำรวจไทยไม่ได้เรื่อง ผมถามว่า จะมีกำลังใจทำงานหรือไม่ คนไทยดูถูกคนไทยด้วยกัน แล้วมันจะทำอะไรสำเร็จ"
24 ต.ค. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว 2 เดือน ได้พูดในรายการคืนความสุข สื่อนำมาพาดหัวว่า “ประยุทธ์วอนสื่อทำความเข้าใจกับต่างประเทศ”
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ติดตามข่าวที่ออกมาว่ามีท่านทูตหลายประเทศของ อียู ได้พูดถึงประเด็นการเสนอข่าวของสื่อไทย ซึ่งบางครั้งก็เป็นการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้เสียหาย หรือผู้กระทำก็ตาม ก็มีการพูดคุยกันระหว่างคณะทูตกับผู้แทนของสมาคมผู้สื่อข่าวประเทศไทย ก็ขอให้ระมัดระวังเพราะผลต่อเนื่องไปหลายๆ เรื่องด้วยกัน
“ในส่วนของการสถานการณ์ ประเทศเราตอนนี้ ก็อาจมีประเด็นหลักๆ อยู่บ้าง ถ้าสื่อสร้างความเข้าใจ ในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่เคยเป็นปัญหา ผมว่าเขาก็เข้าใจได้ อันนี้ผมก็ไม่ไปก้าวล่วงท่าน ฉะนั้นท่านไปพิจารณาว่าท่านควรจะต้องแก้ไข หรือทำอะไร อย่างไร ต่อไปเพื่อช่วยให้ประเทศเดินหน้า”
21 พ.ย. 2557 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในรายการคืนความสุขติ นอกจากกล่าวเตือนนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่าปลุกระดมแล้ว ยังเตือนสื่อไม่ควรว่ากล่าวรัฐบาล หรือ คสช. เพราะอยู่ในช่วงแก้ปัญหาความขัดแย้ง
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า โซเชียลมีเดียทั้งในและนอกประเทศ ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดแค้น ชิงชัง ไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก โดยการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่ hate speech ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจริง มีวัตถุประสงค์แอบแฝงบางอย่างอยู่
“สำหรับเรื่องสื่อ ผมเรียนขอร้องอีกครั้ง ทั้งเจ้าของ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ สื่อมวลชน พิธีกรรายการ ขอให้เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองว่า ถ้าหากท่านจะใช้เสรีภาพของสื่ออย่างไร้ขอบเขต อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศชาติในสภาวการณ์แบบนี้
“เราไม่เคยมีปัญหากับท่าน ถ้าท่านมาว่ากล่าวรัฐบาล ว่ากล่าว คสช. อันนั้นไม่ถูกต้อง แต่ท่านสรุปมาว่าประชาชนต้องการอะไรแค่นี้ง่าย ง่ายจะตายไป ฉะนั้นทำให้ถูกช่องทางแบบนี้ก็ไม่มีใครมาก้าวล่วงซึ่งกันและกัน ในวันนี้เราจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เพราะว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ ฉะนั้นก็ขอให้เคารพกฎหมาย และก็ส่งเสริมการปฏิรูป ต้องปรับตัวช่วยกันนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงสร้างสรรค์ ผมยินดีรับฟังทุกสื่อ ทุกช่อง ทุกคนด้วยซ้ำไป แต่อย่าไปสร้างปัญหา อย่าไปสร้างความเกลียดชังให้กับพวกเรา”
28 พ.ย. 2557 - พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากการเยือนเวียดนาม ตอนหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่า ในการเยือนลาว มีการรำวงกับผู้นำ สนุกหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า รำไม่ค่อยเป็น แต่ก็ต้องรำ คนไทยอย่างไรก็ต้องรำ เมื่อผู้สื่อข่าวแซวว่า ดูเหมือนท่านจะรำไม่ค่อยเก่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ และขึ้นเสียงว่า "จะเอาอะไรกันหนักหนา บริหารประเทศก็จะเอา รำก็ไม่ดี จะอะไรกันวะ"
“ผมกลับมาเหนื่อยๆ ไปประชุม ไม่ได้นอนเลย กลับมาแทนที่จะถามว่า นายกรัฐมนตรีเหนื่อยไหม เป็นยังไงบ้าง นี่กลับมา มีแต่ถามจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ รัฐธรรมนูญจะเสร็จไหม ก็ยังไม่ได้ร่างเลย สักมาตรา จะถามอะไรนักหนา ผมเหนื่อยนะ”
พล.อ.ประยุทธ์ ยังตอบคำถามกรณีกระทรวงไอซีที ได้บล็อกเว็บไซต์ของฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย ว่า รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น แต่ขอให้สื่อไปดูก่อนว่าเขาเขียนเอาไว้ว่าอะไร ถ้าบอกว่าทุกคนเสรีหมด จะเขียนว่าอะไรใคร ด่าใครได้หมด ก็ทำไปสิ ประเทศไทยก็ไม่ต้องอยู่หรอก
"ผมดูหนังสือพิมพ์บางฉบับ บางเล่ม บางคอลัมน์ ท่านว่าผมปิดกั้น แต่ขอให้ไปดูที่ท่านเขียนได้ หนังสือพิมพ์ของท่านทั้งนั้น เขียนทำไม เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องขี้หมากาไก่ เขียนส่งเดชไปเรื่อย”
“ผมเนี่ย อ่านทุกฉบับ รู้หมดใครเขียนอะไร เขียนด่าไม่ว่า แต่ต้องให้ความเป็นธรรมผมบ้าง ไปทำงานเหนื่อยแสนเหนื่อย ทำงาน กลับมาต้องมาหย่าศึกอีกน่ารำคาญ จะมาอะไรนักหนา โธ่! เอ้ย นี่ไม่ได้อารมณ์เสียนะ ไม่ได้โมโหมา 3 วันแล้ว แต่จะเอาอะไรวะ นี่ไม่ได้บ่น นะ แต่เหนื่อย โมโห แต่มีสติ นะ โมโห แล้วทำมั้ย ทำงานทำมากกว่าเดิม เพราะคนคาดหวัง”
“ผมกำลังทำใหม่เป็นร้อยเรื่อง ทั้งหมดคุณก็เขียนช่วยผมสิ นี่ไม่มีเลยจะช่วยยังไงก็ไม่มี ติอย่างเดียว ไอ้ที่ยังไม่เสร็จมีปัญหาไม่ช่วยผม แล้วไงจะหากินกันอยู่อย่างนี้ต่อไปรึไง ผมไม่เป็นศัตรูท่านอยู่แล้ว ผมอ่านหนังสือท่านทุกวัน แต่จะอ่านที่มันบันเทิง และประเทืองปัญญาหน่อย นี่ไม่ได้หงุดหงิดนะ ไม่ได้โมโหมาหลายวันละ"
17 ธันวาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับเยาวชนระหว่างเปิดงานที่ท้องฟ้าจำลอง “คืนความสุขให้เธอ...เยาวชน” โดยลำดับถึงการเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ช่วงหนึ่ง ระบุว่า
“ยังมีสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับ จะเอานี้ เอาโน้น ผมเข้าใจในหน้าที่ของพวกท่าน แต่หลายสื่อจะแบ่งคนเป็นข้างนี้หรือข้างนั้นไม่ได้ มาคอยติติงรัฐบาล เรากำลังจะแก้เพื่อส่วนรวมก็มาคอยจ้องเล่นงาน จะรักชอบใครผมไม่ว่า แต่เราเป็นศัตรูกันไม่ได้ วันนี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับก็ยังเลือกข้างอยู่เหมือนเดิม ผมพูดก็โกรธ แต่ก็ทำเหมือนอยากให้ประเทศรบกันอยู่เช่นเดิม ขอให้ทุกคนยึดประเทศชาติเป็นหลัก”
25 ธค. 2557 - การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศชัดจะเล่นงานสื่อที่วิจารณ์รัฐบาล ด้วยการใช้อำนาจสั่งปิดทันที โดยพูดระหว่างการแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 3 เดือน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และ การปฏิรูปประเทศที่ต้องเดินหน้า
"สื่อเองก็ต้องปฏิรูป แต่มีหนังสือพิมพ์บางฉบับ เขียนวิจารณ์ไปหมดไม่ว่ารัฐบาลไปไหน ผมอดทนมานาน เป็นไร บ้าหรือไง ไม่ว่าใครเป็น ด่าทั้งหมด แล้วมันจะดีตรงไหนวะ ผมไม่อยากอ่าน อ่านแล้วมันโมโห ทำให้เสียกริยา เสียมาดผู้นำหมด คราวนี้ผมจะปิดจริง ๆ ไม่งั้นจะมีกฎอัยการศึกไว้ทำไม มาตรา 44 ใช้ในทางสร้างสรรค์ ผมยังไม่เคยเอาใครมาติดคุกสักคน"
29 มกราคม 2558 - พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งนี้สื่อทำเนียบรัฐบาลรายงานว่าพล.อ.ประยุทธ์ มีอาการหงุดหงิดมาก บางช่วงแสดงอารมณ์โมโหด้วยการทุบโพเดียม และเสียงดัง หลุดคำสบถออกมาหลายครั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ พาดพิงถึงสื่อขณะซักถามถึงกรณี คสช. ทยอยเรียกนักการเมืองเข้ามารายงานตัวโดยยืนยันว่า ทหารไม่ได้ กดดันอย่างที่เข้าใจ
“ใครล่ะ ใครมอง มีคนตรงไหนมองเช่นนั้นใครอึดอัดบ้าง พลเรือนที่ไหนอึดอัด ไปถามคนจนดูบ้าง .... ผมไม่ได้เป็นพวกบ้าอำนาจ ไม่เข้าใจกันสักที หาเรื่องกันอยู่นั่น เมื่อวาน (28ม.ค.) ก็ครั้งหนึ่งแล้วถ่ายรูปได้อย่างไร ผมก็ชี้นิ้วของผมไปเรื่อย ไอ้ห่า...ถ่ายออกมาดีๆ ดันไปถ่ายผมชี้นิ้วอย่างนั้นอย่างนี้ นี่แหละที่เขาบอกว่าจิตใจมันต่ำ ด่าซะอีก ไม่กลัวหรอกจะด่าแบบนี้ จะทำไม”
6 มี.ค. 2558 - เป็นครั้งที่ดุเดือดอีกครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ซึ่งตรงกับวันนักข่าว 5 มี.ค. พอดี โดยระหว่างรายงาน การแก้ปัญหาในช่วง 6 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ก็พูดถึงสื่อว่า
"วันก่อนเจอนักข่าวถามว่า รัฐบาลมีผลงานอะไร ผมแทบจะชกหน้าคนถาม ทำมาตั้งเยอะไม่เห็นหรืออย่างไร วันนี้จะพูดไปเรื่อยๆ ยอมเหนื่อย ยอมเจ็บคอ ต่อไปนี้ทุกคืนวันศุกร์ ข้าราชการทุกกระทรวงต้องจดบันทึกให้รัฐมนตรีให้ทราบว่าผมพูดอะไรไปบ้าง นักข่าวเองก็ต้องฟังเหมือนกัน เวลามาถามจะได้รู้เรื่อง ผมมีแนวคิดจะเปิดเวทีละถามนักข่าวบ้าง เหมือนการสอบ แล้วส่งให้บรรณาธิการดีไหม"
.....
25 มีนาคม 2558 - ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะมีอารมณ์กับสื่อมากเป็นพิเศษ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีสีหน้าเคร่งเครียดและโมโหตลอดระยะเวลาการให้สัมภาษณ์ รวมทั้งได้เตรียมเอกสารเพื่อชี้แจงต่อผู้สื่อข่าว มีการพาดพิงถึง นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการ และมติชนโดยตรง
“ผู้จัดการ เปิดอ่านแล้ว ดูไม่ได้สักหน้า เป็นบ้ากันไปหรืออย่างไร เขียนอะไรไม่รู้กันทุกวัน จะเอาอะไรกันนักหนา เก่งนักหนา มึงมาบริหารงานมา มาเป็น ส.ส.เลย ไอ้ชัชวาลย์ (ชาติสุทธิชัย คอลัมนิสต์) ไอ้โสภณ (องค์การณ์ คอลัมนิสต์) รัฐบาลนี้พูดจาแบบนี้จะว่าผมก็ว่ามา ยังไงก็รับอยู่แล้ว แต่ผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนายกฯ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็มีจิตใจ มีชีวิตและจิตใจ”
พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีปัญหาในทีมเศรษฐกิจว่า “มีแต่พวกคุณพูดกันทั้งนั้นว่าจะมีการปรับ ครม. ถ้าปรับแล้วมันดีขึ้น แต่ถามว่าสถานการณ์ขณะนี้การปรับคนจะทำให้แก้ปัญหาได้หรือไม่ อยากให้ตอบ สมมติว่าหนังสือพิมพ์ของพวกคุณ ถ้าจะให้ขายดีต้องให้ไอ้นักข่าวคนนี้ออกไป บรรณาธิการคนนี้ก็ต้องออก แล้วมันจะดีขึ้นไหม มันไม่ได้แก้ปัญหาง่ายขนาดนั้น”
“เสรีภาพให้ก็ให้แล้ว ทุกอย่างไม่เคยห้ามอะไรเลย ไม่มีใครเขาให้แบบนี้หรอก เดี๋ยวผมจะดูอีกระยะหนึ่งนะสำหรับการทำงานของสื่อ ที่ผมและรัฐบาลทำมาทั้งหมดก็เพื่อคนไทยทุกคน แต่พอจะมีกลไกอะไรต่างๆ ออกมาก็ไม่ยอมกันจะกลับไปยืนที่เก่า ต่อจากนี้ผมจะดูทุกสื่อและถ้าจำเป็นผมก็จะใช้อำนาจของผม ไม่ให้มาวิจารณ์ วิจารณ์ได้แต่ต้องเข้าใจเสียหน่อย วันนี้คำสั่ง คสช.มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หรือลืมกันไปหมดแล้ว ลืมหรืออย่างไร สบายกันเกินไปแล้วมั้ง”
“สื่อใดที่เสนอข่าวสร้างความแตกแยกก็จะให้ทางสมาคมฯ ดำเนินการสอบมา แล้วถ้าสมาคมไม่ได้เรื่อง ผมก็จะให้คณะข้างบนเขาสอบต่อ เอามาดูสิว่าไอ้นี่มันสร้างความแตกแยกหรือไม่ ถ้าวิจารณ์ทั่วๆ ไป ผมไม่ว่า ติติงนิดหน่อยผมก็รับได้นะ"
การให้สัมภาษณ์รอบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังหลุดคำว่า ประหารชีวิตออกมา เมื่อสื่อถามว่า ทั้งหมดจะถึงขั้นปิดสื่อเลยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ประหารชีวิตมั้ง ถามส่งเดชไปได้ ก็อย่าทำกันสิ ระมัดระวังกันหน่อย สื่อต้องมี จรรยาบรรณกันหน่อย เห็นเรียกร้องอยากได้จรรยาบรรณกันนักหนาให้ไปแล้วก็ใช้ไม่เป็น ไม่รู้จักใช้ ความจริงรัฐบาลเขากำลังทำงานอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นสักฉบับไม่มีเลย มีน้อยมากหรือมีแค่บางคนเท่านั้น ผมไม่ได้ขอให้เชียร์”
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้สื่อข่าว บอกว่า ไม่มีคำถามจะถามแล้ว เกรงจะถูกคำสั่งประหาร พล.อ.ประยุทธ์พูดทีเล่นทีจริงว่า “ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขเลย เดี๋ยวจะจัดการกับสื่อสักหน่อย รักกันอยู่แล้ว ขอร้องให้ช่วยกันหน่อย ไม่ใช่ให้มาแก้ตัวให้ผม แต่ขอให้ช่วยกันสร้างความรัก ความสามัคคี”
หลังให้สัมภาษณ์จบ นายทหารคนสนิทได้หยิบหนังสือพิมพ์มติชน และ ASTV ผู้จัดการ มาให้ พล.อ.ประยุทธ์ตามคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปชี้พร้อมระบุว่ามีหลายฉบับมาก พร้อมหันมาถามกลุ่มผู้สื่อข่าวว่า “ไหน เครือมติชนอยู่ไหน ไปดู เขียนให้ดี อย่าเขียนให้มันเข้าข้างฝ่ายโน้นให้มากนักนะ ผมจะบอกให้ รัฐบาลที่แล้วมติชนน่ะ ขายกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด คุณไปรื้อดู กระทรวงมหาดไทยสั่งให้ซื้อเฉพาะมติชน ทำให้ฉบับอื่นขายกันไม่ออก”
..........
27 มี.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ โดยพยายามปรับความเข้าใจกับสื่อหลังถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์กับสื่อ และเกิดการตอบโต้จากองค์กรสื่อ
"ผมไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ หน้าที่ของสื่อเหมือนกับเฝ้าบ้าน ต้องคอยแจ้งเตือนเจ้าของบ้าน เหมือนกับกล้องทีวี เพราะเวลามีเหตุร้าย มีโจรมีขโมยจะขึ้นบ้าน หรือจะเห็นการทุจริตผิดกฎหมาย สื่อทำหน้าที่คอยเตือนประชาชน แต่ไม่ใช่สื่อมาทำให้เกิดความระแวงกันเอง เพราะท่านมีหน้าที่ในการดูแลบ้านหลังนี้ แล้วปรากฏว่าท่านไม่ดู ท่านกลับมาเล่นงานเจ้าของบ้าน กลับเล่นงานคนในบ้าน แล้วโจรมันก็เข้ามาได้ นั่นคือเรื่องธรรมดา
“ท่านบอกว่าท่านมีหน้าที่ ท่านบอกว่าท่านมีสิทธิ และหน้าที่ของสื่อ จะต้องนี่ต้องโน่น อะไรของท่าน ผมไม่ได้ขัดแย้งท่าน ท่านนายกสมาคมสื่อฯ นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ฯ บอกว่าขอร้องให้ผมเข้าใจสื่อหน่อย เป็นการทำงานของสื่อ เพื่อติติงอะไรก็ได้ แต่ถ้าเล่นงานผมทุกเรื่อง ผมว่าไม่เป็นธรรม แล้วพอผมบอกให้ท่านไปดูแลเอง ท่านตอบผมว่าไง ก็สำหรับสื่อที่อยู่ใน เป็นสมาชิกของสมาคมนั้นจะดำเนินการต่อไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากมีสื่อหลายสื่อไม่อยู่ใน ไม่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ อันนี้ไม่สามารถจะรับผิดชอบได้ ผมไม่เข้าใจ ท่านไปทำสิครับ หรือไม่ จะต้องให้ผมออกกฎหมายอีกมั้ยว่าสื่อทุกสื่อต้องเป็นสมาชิกของสมาคมท่าน
“ไปอ่านดูซิ ที่เขียนมันสร้างสรรค์ นี่สร้างสรรค์ท่านครับ สนับสนุนท่าน ทุกอย่างครับ โอ้โห ด่าทุกวัน บอกว่านี่เป็นการติติง ก็ผมทำไปแล้ว กำลังทำ ท่านก็บอกว่าผมไม่ทำอะไร ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ หรือไม่ก็ เรื่องนี้ไม่รู้จะกล้าทำ ไม่กล้าผมไม่เข้ามา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าจะทำได้เมื่อไร ผมไม่อยากจะไปบังคับขู่เข็ญคนมากนัก ผมฝากพี่น้องประชาชนทั่วไปแล้วกัน จะให้ผมทำยังไง บอกมา จะให้หนักกว่านี้ หรือเบากว่านี้ ใช้อำนาจมากกว่านี้ ว่ามา ผมจะไปพิจารณาอีกที ผมเข้ามาแล้วผมก็อยากให้มันสำเร็จนะ”
10 เม.ย. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ ว่า ยังมีสื่อบางส่วนที่พูดโกหกและจำเป็นต้องเรียกตักเตือน โดยหากยังไม่หยุดกระทำเช่นนี้จะปิดทุกสำนัก
"สื่อต่างๆ เลือกข้างทั้งหมด สัปดาห์ที่แล้วได้เตือนกัน 2-3 สถานี พูดอยู่นั้นแหละ ผมอยากจะพูดว่าโกหก ผมก็เตือนแล้วอะไรแล้ว ผมไม่อยากไปยุ่งอะไรกับท่านน่ะ แต่ที่ผ่านมาท่านก็ทำแบบนี้ พออีกคนเขามาสู้ท่าน ท่านก็ไปรังแกอีกพวกเพื่อจะพูดข้างเดียว ไม่ใช่ ถ้าจะปิดก็ปิดทั้งหมด เพราะงั้นก็ระมัดระวังกันก็แล้วกัน สื่อที่มีจรรยาบรรณเขาเยอะแยะไป ฉะนั้น ขอให้หยุดซะ แล้วก็อ้างว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ของสื่อ...ไม่ใช่ ผมไม่ต้องการนะ ฉะนั้นทำถูกทำผิดอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ว่าใครถูกใครผิด อย่ามาโกหก บิดเบือนกันอีกต่อไป ให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หน่อยแล้วกันนะ"
17 เม.ย.2558 พล.อ.ประยุทธ์ แถลงผลงานรอบ 6 เดือน ช่วงหนึ่ง พาดพิงสื่อชอบพาดหัวข่าวให้ร้ายทั้งที่เนื้อหาเป็นคนละเรื่อง
"ก่อนอื่นขอติงว่าคนไทยไม่ฟังให้จบก่อน ยกตัวอย่างเรื่องภาษี ยังไม่ทันจบก็นำไปวิพากษ์วิจารณ์กัน นิสัยที่ชอบสร้างวาทกรรม หรือพาดหัวข่าว โดยเห็นข่าวเราก็โมโห แต่สาระข้างในมันก็ดี แต่ต้องมาพาดหัวข่าวให้หวือหวา ซึ่งอาจจะทำให้สร้างความขัดแย้ง"
2 ก.ย. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จ.ตาก พาดพิงถึงคอลัมนิสต์ชื่อดังของไทยรัฐ.....
“รัฐบาลพยายามทำงานเต็มที่ แต่ยังมีสื่อบางฉบับ อย่างคอลัมน์ลมเปลี่ยนทิศ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล เขียนวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาล ทั้งที่เรียกมาตักเตือนหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งก็รับปากจะไม่ทำอีก แต่ยังคงเขียนโจมตีอยู่ ถ้ายังไม่หยุด ก็จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปฟ้องร้อง เพื่อเป็นการเอาคืนบ้าง ให้เป็นแบบอย่างว่า การใช้สื่อสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนเป็นอย่างไร”
9 ก.ย. 2558 - พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลังว่า วันนี้สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายที่สุด คือ สื่อโซเซียลมีเดีย เขียนอะไรมาบางทียังคิดว่าเขียนไปได้อย่างไร บางทีนั่งเขียนอยู่บ้าน มีหน้าที่ในการปลุกปั่นจิ้งหรีดหัวทิ่มหัวตำ ทำงานไม่มีความสุข ต้องแก้ไขตรงนี้ ถ้าไม่ไปอ่านก็โง่ไม่ทันเขา แต่ถ้าเชื่อทั้งหมดไอ้นี่มันบ้า เพราะบางอันใช่ บางอันก็ไม่ใช่
5พ.ย. 2558 - พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวขณะเป็นประธานพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดสื่อสารคดี โดยเมื่อนายกฯเล่าถึงผลงานในการแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้วิจารณ์สื่อด้วยว่า ไม่ยอมเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง แต่กลับเขียนทุกเรื่องที่มีปัญหา
"อย่าหาว่าไปรังแกสื่อแบบนี้ เขาไม่ได้เรียกว่าสื่อ เพราะสร้างความแตกแยก เคยเรียกมาคุย บอกจะแก้ไข รับรองไม่มีครับ มันก็มีอีก อ้างว่ายังคุมคนเหล่านี้ไม่ได้ ไอ้คนแบบนี้ถ้าประเทศนี้มันล่มสลาย จะขึ้นชื่อให้ดูทั้งหมดว่าใครบ้าง หากินบนความเดือดร้อน บนความสูญเสียของคนอื่น บ่อนทำลายชาติ"
6 พ.ย. 2558 – พล.อ.ประยุทธ์ พูดในรายการคืนความสุข ขอโทษประชาชน ที่ช่วงนี้หงุดหงิด ดูใจร้อน เพราะมีเรื่องต้องแก้ปัญหามาก ขณะเดียวกันก็มีการยั่วยุ มีการให้ข่าวบิดเบือนตามสื่อต่างๆ บางสื่อเคยเรียนไปแล้ว ก็ยังไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ไม่เคยไปละเมิดจรรยาบรรณของสื่ออยู่แล้ว
“เรื่องความขัดแย้งอื่น ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ ผมไม่เคยขัดแย้ง ผมพูดหลายครั้งแล้ว ถ้ามันผิดกฎหมายอีก จำเป็นต้องดำเนินการนะครับ สื่อก็พยายามจับภาพว่า ผมหงุดหงิดกับสื่อ ละเมิดสื่อ ควบคุมสื่อ ผมไปควบคุมอะไรท่าน ไอ้ที่ท่านเขียนกันทุกวันนี้ เพราะผมควบคุมหรือไง ก็ไม่ควบคุมไง ถึงเขียนได้อย่างนี้ ผมก็ได้แต่เพียงบอกว่าระมัดระวัง วันหน้าอาจจะมีปัญหาในเรื่องการทำงาน เรื่องกฎหมายทางคดี มันมีอยู่ไม่กี่คนหรอก ไม่กี่สำนักพิมพ์หรอก มันเดือดร้อนกันไปทั้งหมดนะ มันทำให้ประเทศชาติวุ่นวายไปหมด ที่ดีๆ ก็เยอะกว่าอยู่แล้ว ก็ขอบคุณนะครับ บางสื่อ บางสำนักพิมพ์ก็ต่อต้านทุกเรื่องไปเหมือนกัน คือเหมือนกับว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลตลอด”
24 พ.ย. 2558 -วอนสื่ออย่าขยายปมราชภักดิ์
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์เรียกร้องสื่ออย่าขยายความเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายตรงข้ามกรณีการตรวจสอบการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพราะขณะนี้ รมว.กลาโหมได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม