ผ่าปัญหาส่วยสมประโยชน์!! ใครได้-ใครเสีย

            “รายชื่อและเอกสารรายละเอียดเชิงลึก ที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มอบให้วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกล ไปวันก่อนยังมีเจ้าเดิม ที่ทำเรื่องสติกเกอร์มาตั้งแต่ปี 2539 เรื่องนี้สำคัญต้องเอาจริงเอาจัง เพราะกระบวนการและปัญหาใหญ่มาก ถึงขนาดว่าคนขับรถบรรทุกโอนเงินไปแล้ว มีสติกเกอร์ส่วยส่งมาที่บ้านโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย”   

             “บุศรินทร์ วรสมิทธิ์ หัวหน้าผู้สื่อข่าว สถานีโทรทัศน์ PPTVHD 36” ให้มุมมองถึงปัญหาใน“รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ถึงปม “ส่วยสติ๊กเกอร์”เป็นการคอร์รัปชันอย่างหนึ่ง ที่ฝังรากลึกใน สังคมไทย หลายฝ่ายพยามยามหาทางทางออก ว่า บางคนบอกว่าเรื่องส่วยอยู่คู่สังคมไทยไปแล้ว พอมีข่าวเรื่องส่วยรถบรรทุก ก็มีเรื่องส่วยอื่น ๆ ตามมาต่อเนื่อง

ปมส่วยเรื้อรังมาจาก 3 ปัจจัย จ่ายแล้วจบ

            ปัญหาส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกแก้ไม่จบ และเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน เพราะประกอบด้วย 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องกัน คือ 1.คนจ่าย 2. คนกลางในการนำจ่ายและ 3. คนรับซึ่งสำคัญที่สุด ตามปกติคนรับจะเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจ หน้าที่และบทบาทในเรื่องนั้นๆ เช่น ส่วยสติกเกอร์ที่พูดถึง เกี่ยวข้องกับตำรวจทางหลวง เมื่อมีคนเข้าไปแฉแต่กฎหมายไม่ได้ถูกแก้ไขตามไปด้วย เมื่อเรื่องเงียบสังคมอาจจะเปลี่ยนไปสนใจเรื่องอื่นแทน เพราะปัญหามีอยู่มากมายในสังคมนี้ แต่กระบวนการต่างๆของส่วยกลับมาเหมือนเดิม ยังเป็นคนเดิม กลุ่มเดิม จึงทำให้แก้ไขไม่ได้

            ในมุมของคนขับรถบรรทุก  เขาไม่ได้อยากจ่ายส่วย แต่จ่ายแล้วจบปัญหาแก้ได้ก็ต้องจำใจ  ทั้งที่เงินนี้เขานำไปใช้จ่ายส่วนอื่นๆด้วย แต่ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน  หรือบางกรณี เช่น การขนส่งสินค้าไม่เพียงพอกับรายรับของเขา จำเป็นต้องบรรทุกน้ำหนักเกินเยอะๆ  ไม่เช่นนั้นเขาก็อยู่ไม่ได้  

แก้ปัญหาต้องมองภาพใหญ่ การเมืองมีเอี่ยว

            “ต้องมองภาพใหญ่มากๆ ส่วนไหนมีปัญหาแล้วไปแก้ไขตรงนั้น เช่น กฎหมายเก่าไปแล้วหรือไม่ต้องปรับปรุงตรงไหนอย่างไร  ขณะเดียวกันเรื่องเศรษฐกิจปากท้องก็เหมือนกัน  บรรทุกสินค้าไม่เพียงพอต่อรายรับ-รายจ่ายของเขาจะแก้ไขอย่างไร  ไม่เช่นนั้นรถบรรทุกที่เป็นเจ้าของเขาก็อยู่ไม่ได้ อยู่ได้แต่บริษัทใหญ่ๆ”  

            แม้จะมีข่าวส่วยรถบรรทุกออกมาทุกวันตลอด 1 สัปดาห์  แต่กระบวนการยังไปไม่ถึงไหน  รัฐบาลใหม่ยังไม่มา ประชุมรัฐสภาก็ยังเปิดไม่ได้ เพราะถ้าดูTimeLine การเมือง กว่าที่ประชุมรัฐสภาจะเปิดต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน  คิดว่ายากมากที่สังคมจะพูดเรื่องนี้ทุกวันไป 2-3 เดือน  ความจริงก็ลุ้นเหมือนกันว่าอยากให้ผลักดันและแก้ไขปัญหาได้  

ตั้งแต่ปี 39 รายเดิม ๆ ยังพัวพันส่วยสติกเกอร์ 

            “เคยคุยกับพี่ๆสื่อรุ่นเก่าที่เคยติดตามข่าว  เรื่องส่วยรถบรรทุกมาตั้งแต่อดีต เขาบอกว่ารายชื่อและเอกสารรายละเอียดเชิงลึก ที่สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มอบให้วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ส.ส.พรรคก้าวไกลไปวันก่อนยังมีเจ้าเดิม ที่ทำเรื่องสติกเกอร์มาตั้งแต่ปี 2539 เลยรู้สึกว่าเรื่องส่วยนี้สำคัญต้องเอาจริงเอาจัง เพราะกระบวนการและปัญหาใหญ่มาก  ถึงขนาดว่าคนขับรถบรรทุกโอนเงินไปแล้ว มีสติกเกอร์ส่วยส่งมาที่บ้านโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย”   

แก้กฎหมายก่อน แก้ที่ตัวเราตามมา

            บุศรินทร์ บอกว่า การแก้ไขปัญหาต้องเริ่มจากกฎหมายก่อน ว่าครอบคลุมสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น กรณีส่วยรถบรรทุก มีการพูดกันว่าประเทศไทยระบุในกฎหมายแบบองค์รวม ว่าห้ามบรรทุกน้ำหนักเกินเท่าไหร่และกำหนดตัวเลขลงไป ขณะที่ต่างประเทศระบุเลยว่าล้อรถบรรทุกหนึ่งล้อ สามารถบรรทุกได้เท่าไหร่  ถ้าระบุได้ขนาดนั้นก็จะทำให้การ ตรวจสอบกฎหมายชัดเจน การจะไปบิดพลิ้วตามตัวหนังสือก็ทำได้ยาก 

            อยากให้ดีก็ต้องไม่จ่าย เพราะรู้ว่ากำลังทำความผิด และเห็นใครทำแล้วต้องไม่นิ่งเฉย ไม่จำเป็นต้องไปต่อว่าเขาให้มีเรื่องมีราว แต่ปัจจุบันมีช่องทางการร้องเรียนที่หลากหลาย เช่น ลงคลิปในโซเชียลก็มีสื่อไปตาม ง่ายกว่าในอดีตตรงที่ ทำให้คนรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา

รอดูพรรคก้าวไกลสางปัญหา รับ ปฏิรูปตำรวจ

            บุศรินทร์ บอกว่า รอดูว่านายวิโรจน์ ระบุเตรียมจัดการเรื่องนี้ จะแก้ไขปัญหาไปไกลได้หรือไม่ ความหวังที่สังคมบอกว่ารอพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  เพราะพัวพันกับหลายหน่วยงานและองค์กรมากๆ  และข้อเสนอที่บอกว่าต้องปฏิรูปตำรวจ  โดยนำบางหน่วยงานออกจากตำรวจ เป็นภาพใหญ่และองค์รวมมากๆ ควรไปดูว่าแต่ละเรื่องตำรวจมีบทบาทเกี่ยวข้องสำคัญแค่ไหน  หรือมีหน่วยงานอื่นที่เข้ามาดูแลจัดการ  แล้วก็แก้เป็นเรื่องๆไป คงพูดภาพใหญ่ไม่ได้ว่า  ให้ตำรวจออกมาจากทุกอย่าง เพราะตำรวจน้ำดีก็มี ไม่ได้มีแต่ตำรวจแย่ๆอย่างเดียว  พอพูดถึงเรื่องนี้ก็จะมีการถกเถียงกันตลอด 

            ส่วนทิศทางข่าวของส่วยรถบรรทุก ต้องติดตามหลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งทีมขึ้นมาสืบสวนสอบสวนแล้วจะตรวจสอบอย่างไร  เพราะในข้อมูลมีรายชื่อที่ระบุตัวตน รวมถึงกรณีที่จเรตำรวจเรียกหลายฝ่ายไปให้ข้อมูลด้วยเรื่องนี้น่าจะยังใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง

            ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว”  ทุกวันอาทิตย์เวลา 11.00-12.00 น.โดยความร่วมือของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5

///////////////////