นับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่ 2 เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความวุ่นวายขึ้นมากมาย นอกเหนือไปจากกำแพงภาษีที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั่วโลก หนึ่งในเรื่องภายในประเทศที่น่าเป็นห่วงคือเสรีภาพสื่อที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งการตัดสิทธิของสื่อบางรายไม่ให้เข้าทำข่าวในทำเนียบขาว หรือแม้กระทั่งกรณีตำรวจยิงนักข่าวด้วยกระสุนยาง สื่อหลายเจ้าในสหรัฐได้ออกมาวิจารณ์การบริหารของทรัมป์ว่าลิดรอนเสรีภาพสื่อ รวมถึงองค์กรไม่แสวงผลกำไรด้านสื่ออย่าง “the Committee to Protect Journalists” (CPJ) หรือคณะกรรมาธิการปกป้องนักข่าว ที่ระบุว่า “Press freedom is no longer a given in the United States…” หรือ เสรีภาพสื่อในสหรัฐไม่ใช่สิ่งที่รับประกันได้อีกต่อไป ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนที่หนักแน่นถึงวิกฤตที่กำลังก่อตัวขึ้นในประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้
รัฐบาลทรัมป์ 100 วันแรก: จุดเริ่มต้นของวิกฤตสื่อ
รายงานพิเศษของ CPJ เรื่อง “Alarm Bells: Trump’s first 100 days ramp up fear for the press, democracy” ที่เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนภายหลังการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ได้ 100 วัน ได้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงต้นวาระ โดยพบว่ารัฐบาลชุดนี้มีพฤติกรรมและนโยบายที่เป็นภัยโดยตรงต่อเสรีภาพสื่อในสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการเข้าถึงข้อมูล การใช้หน่วยงานกำกับดูแลเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไปจนถึงการเปิดฉากโจมตีสื่ออย่างเป็นระบบ
แคทเธอรีน จาคอบเซน (Katherine Jacobsen) ผู้ประสานงานโครงการของ CPJ สำหรับภูมิภาคสหรัฐ แคนาดา และแคริบเบียน กล่าวว่า ปฏิบัติการเชิงรุกของทรัมป์ในช่วง 100 วันแรก สร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาพแวดล้อมการทำข่าวอย่างอิสระของสื่อทั่วประเทศ ทั้งนี้ CPJ ต้องให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัยแก่ผู้สื่อข่าวมากกว่า 530 รายภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ซึ่งสูงกว่าทั้งปี 2022 ที่มีเพียง 20 รายเท่านั้น
การกดดันสื่อในยุคนี้ของรัฐบาลทรัมป์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การโจมตีด้วยคำพูดเหมือนในอดีต แต่ยกระดับไปสู่การกระทำที่มีผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ การตัดสิทธิของสำนักข่าวชื่อดังอย่าง Associated Press (AP) ออกจากวงผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว เนื่องจากสำนักข่าวดังกล่าวไม่ยอมใช้คำว่า “Gulf of America” แทน “Gulf of Mexico” การกระทำดังกล่าวสร้างผลกระทบอย่างมาก เพราะในความเป็นจริง AP ไม่ได้เป็นเพียงสำนักข่าวที่รายงานข่าวภายใต้องค์กรของตนแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ให้แก่สำนักข่าวท้องถิ่นหลายแห่ง รวมถึงสำนักข่าวอื่น ๆ ในต่างประเทศ ดังนั้นการแบน APจากการทำข่าวในทําเนียบขาวเป็นการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสื่อขนาดเล็กโดยปริยาย

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ เช่น การสั่งสอบสวนสื่อใหญ่เช่น CBS, NBC และ ABC รวมถึง NPR และ PBS โดย คณะกรรมาธิการการสื่อสารแห่งชาติ (FCC) ซึ่งมีการวิจารณ์ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐข่มขู่สื่อ การพยายามตัดงบสนับสนุนสื่อสาธารณะและสื่อที่ดำเนินงานในต่างประเทศ เช่น Voice of America (VOA), Radio Free Asia และ Radio Free Europe รวมถึงการตัดงบประมาณของ U.S. Agency for Global Media ที่ส่งผลให้มีการเลิกจ้างนักข่าวจำนวนหลายพันตำแหน่ง และการยกเลิกการสนับสนุนสื่ออิสระของ USAID ทําให้การเข้าถึงข่าวสารในประเทศที่โครงสร้างระบบสารสนเทศด้อยพัฒนายิ่งย่ำแย่ลงไปอีก ด้านจาคอบเซนระบุว่า “นโยบายเหล่านี้ เมื่อพิจารณาเหตุการณ์เหล่านี้เดี่ยว ๆ อาจดูไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อพิจารณาเป็นภาพรวมจะเห็นภาพการเสื่อมถอยของเสรีภาพสื่อในสหรัฐซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
การใช้ความรุนแรงต่อสื่อ: กรณียิงนักข่าวด้วยกระสุนยาง
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา มีรายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแอนเจลิสยิงลอเรน โทมาซี (Lauren Tomasi) ผู้สื่อข่าวจาก 9News Australia ด้วยกระสุนยางระหว่างการรายงานข่าวการประท้วงต่อต้านนโยบายกวาดล้างผู้อพยพของทรัมป์ แม้ว่าเธอจะอยู่ห่างจากแนวเจ้าหน้าที่และแสดงตนว่าเป็นนักข่าวอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีรายงานระบุอีกว่า หลังการประท้วงดำเนินไปได้ 3 วัน พบว่ามีเหตุการณ์คุกคามนักข่าวไปแล้วกว่า 30 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยิงกระสุนพริกไทย การจับกุมโดยไร้สาเหตุ ไปจนถึงการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ขณะที่ นิก สเติร์น (Nick Stern) ช่างภาพอิสระจากอังกฤษต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อนำกระสุนพลาสติกขนาด 3 นิ้วออกจากขา
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า นักข่าวที่อาจกำลังเผชิญกับความไม่ปลอดภัยและความรุนแรงต่อสื่อสามารถพบเห็นได้แม้ว่าการรายงานข่าวนั้นจะเกิดขึ้นกลางเมืองใหญ่อย่างลอสแอนเจลิสที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สงครามหรือมีระบอบเผด็จการที่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
บทบาทของประชาชนและความจำเป็นในการปกป้องเสรีสื่อ
โจดี กินส์เบิร์ก (Jodie Ginsberg) ประธานผู้บริหารของ CPJ เน้นย้ำว่านี้เป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของสื่ออเมริกันและประชาชน “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยืนหยัดเพื่อปกป้องบทบาทของสื่อในระบอบประชาธิปไตย เพราะสิทธิเสรีภาพทั้งหมดของเราขึ้นอยู่กับมัน”

รายงานของ CPJ ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลกลาง รัฐสภา องค์กรภาคประชาชน และศาลยุติธรรมทุกระดับร่วมกันสนับสนุนร่างกฎหมายปกป้องเสรีภาพสื่ออย่าง PRESS Act และ Free Speech Protection Act ซึ่งจะช่วยเป็นดั่งเกราะป้องกันให้สื่อในการทำข่าวและเข้าถึงแหล่งข่าวอย่างอิสระในระยะยาว
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐเป็นแม่แบบของเสรีภาพสื่อ เป็นดินแดนที่นักข่าวทั่วโลกเคยมองว่าเป็นต้นแบบในการทำข่าว แต่ปัจจุบันกลับมีสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามว่า เสรีภาพของสื่อและอิสระภาพในการแสดงออกของสื่อและประชาชนยังอยู่ในสถานะที่ปกติหรือไม่ หรือว่ากำลังเสื่อมถอยอยู่หรือเปล่า
“เสรีภาพสื่อไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยในยามสงบ แต่มันคือตัวกำหนดของสันติภาพ” คือคำเตือนสุดท้ายที่รายงานของ CPJ เน้นย้ำ พร้อมกับภาพของสหรัฐที่กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “เรายังเป็นประเทศประชาธิปไตยอยู่หรือไม่ หากไร้สื่อเสรี?”
https://cpj.org/2025/04/trumps-first-100-days-portend-long-lasting-damage-to-press-freedom/