รายงานพิเศษ
โดย ทีมข่าวจุลสารราชดำเนิน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
.....................................................
ที่ผ่านมา"ทีมข่าวจุลสารราชดำเนินสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย"นำเสนอ"ชีวิตการทำงาน"ของ"นักข่าว-คนสื่อ"ที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตไปทำอาชีพอื่น มาแล้วบางสายงานเช่น ทีมงานประชาสัมพันธ์พรรคการเมือง
และอีกหนึ่งอาชีพที่นักข่าว-คนทำสื่อ เข้าไปทำงานกันจำนวนไม่น้อย จนบางคนขึ้นมาเป็นถึงระดับผู้บริหารองค์กร นั่นก็คือ "ประชาสัมพันธ์-สื่อสารองค์กรหน่วยงานภาครัฐ"ที่มีทั้งหน่วยงานราชการ-รัฐวิสาหกิจ-องค์กรมหาชน -องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เป็นต้น
น่าสนใจว่า จากคนที่เคยเป็นนักข่าว -คนทำสื่อ เมื่อไปทำงานด้านประชาสัมพันธ์-สื่อสารองค์กรหน่วยงานภาครัฐ ประสบการณ์การทำข่าว-ทักษะด้านการสื่อสาร และคอนเนกชั่น จะมีผลบวกต่อการทำงานด้านนี้อย่างไรบ้าง ที่อาจจะเป็นข้อมูลสำหรับนักข่าว-คนสื่อ ที่ในอนาคตสนใจไปทำงานด้านนี้
เราได้สัมภาษณ์ อดีตนักข่าว-อดีตกองบก.ที่มีประสบการณ์ในสายงานข่าว ที่มีประสบการณ์ทำงาน เกิน 10 - 30ปี และปัจจุบันไปทำงานด้านสื่อสารองค์กรหน่วยงานภาครัฐสองคน โดยคนแรกคือ "สุทธิรักษ์ อุฒมนตรี ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ “บจธ.” ธนาคารที่ดิน"ที่มีประสบการณ์การทำข่าว-คนทำสื่ออยู่ค่ายเนชั่นมาถึง 31 ปี และ “นางสาวนลินทิพย์ เลิศไพบูลย์ ผู้อำนวยการส่วนส่วนสื่อสารภายนอกสำนักสื่อสารองค์กรสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือสำนักงานกสทช.”อดีตนักข่าวสายเศรษฐกิจ-การเงินฝีมือดี จากค่ายไทยโพสต์-โพสต์ทูเดย์-กองบก.กรุงเทพธุรกิจทีวี เป็นต้น
จากนักข่าวการเมือง
สู่เส้นทางชีวิตใหม่
ผอ.สื่อสารองค์กร องค์การมหาชน

เริ่มที่ "สุทธิรักษ์ - ผอ.กองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินหรือธนาคารที่ดิน"เล่าถึงเส้นทางการเป็นนักข่าวภาคสนาม-กองบก.ข่าว จนมาทำงานที่ธนาคารที่ดิน ให้ฟังโดยสังเขปว่า เริ่มทำงานสื่ิอปีแรกปี 2536 เป็นนักข่าวโต๊ะการเมืองหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดยเริ่มต้นภาคสนามที่ทำเนียบรัฐบาล ในยุคนั้นเป็นรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี การทำงานข่าวสายการเมือง จะต้องไปที่รัฐสภาด้วย การทำงานก็คือไปทำเนียบรัฐบาลในวันจันทร์และอังคาร ส่วนวันพุธ พฤหัสฯและศุกร์จะไปประจำที่รัฐสภา
"สุทธิรักษ์"หรือที่รู้กันในชื่อ"แกะ"บอกเล่าเรื่องราวบางเสี้ยวชีวิตในการทำงานข่าวการเมืองยุคนั้นว่า ก็มีเช่นอย่างเรื่องที่ประทับใจคือการลงพื้นที่ติดตามนายชวน สมัยเป็นนายกฯสมัยแรกไปจังหวัดตรัง ตอนนั้นจำได้ว่านั่งรถไปใจก็คิดว่าจ.ตรัง ไกลมาก ๆ เพราะนั่งอยู่ในรถหลายชั่วโมง อีกเหตุการณ์หนึ่งที่จำได้แม่นเลยก็คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายชวน เรื่อง ส.ป.ก.4-01 ในคืนวันที่ 18 พฤษภาคม 2538 ตอนเที่ยงคืน ประธานสภาฯ ปิดการอภิปรายเพื่อให้ ส.ส.ลงมติในวันรุ่งขึ้นคือ 19 พฤษภาคม 2538 นักข่าวสภา เราเช็คข่าว กันวุ่นเลย เพราะพรรคพลังธรรมของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำรัฐบาล มีกระแสข่าวว่าพลังธรรม จะโหวตไม่ไว้วางใจ สุดท้ายนายชวน หลีกภัย ประกาศยุบสภาฯ ในเวลาเที่ยงวันของวันที่ 19 พฤษภาคม 2538
ภายหลังการเลือกตั้ง 2538 พรรคความหวังใหม่ โดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นกระแสการปลุกธงเขียวเพื่อรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญแรงมากทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ ผมจำได้ว่าคนไทยเดินชูธงเขียวไปตามถนนราชดำเนิน และลานพระบรมรูปทรงม้า ผ่านมายังรัฐสภา ในที่สุดพลเอก ชวลิต ก็ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือส.ส.ร.ขึ้นมาเมื่อปี 2539 และยกร่างรัฐธรรมนูญ เสร็จในปี 2540 ซึ่งผมเองได้มีส่วนร่วมทำข่าวการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งในสภาฯ และการประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่โรงแรมสปริงฟิลด์ จังหวัดเพชรบุรีตอนนั้นผมได้ความรู้เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ มากเลยครับ
อีกเหตุการณ์สำคัญ ในปี 2540 ประเทศไทย เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ในห้วงนั้นผมเริ่มทำข่าวสายศาล ควบคู่กับสายการเมือง แต่ส่วนใหญ่ก็ประจำอยู่ศาลยุติธรรม ถนนรัชดาภิเษก และภายหลังรัฐธรรมนูญ 2540 ประกาศใช้ ได้มีศาลและองค์กรอิสระเกิดขึ้นมากมายหนึ่งในนั้นคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ครับผมเองก็ต้องไปรับผิดชอบข่าวที่ศาลรัฐธรรมนูญ และที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ด้วย ในปี 2543 ครับมีคดีที่ป.ป.ช.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ตอนนั้นเป็นทั้งเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และรมว.มหาดไทย แสดงบัญชีทรัพย์สินเท็จ จำนวน 45 ล้านบาท
..มีอยู่วันหนึ่งผมโทรหาท่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท่านหนึ่งท่านซึ่งเป็นแหล่งข่าวของผม ท่านรับโทรศัพท์ และบอกว่ากำลังประชุมอยู่ แล้วท่านก็วางโทรศัพท์ลง แต่ท่านไม่ได้วางสายนะครับผมยังได้ยินเสียงภายในห้องประชุมอยู่ ผมจึงให้บรรณาธิการ มาฟังเสียงในห้องประชุม และบรรณาธิการอนุญาตให้ฟังต่อไปจนในที่สุดหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ก็ได้ข่าว Exclusive ฉบับเดียวก่อนใครครับว่าศาลรัฐธรรมนูญ มีมติว่า พลตรีสนั่น แสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
หรืออย่างช่วงปี 2549 มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เกิดรัฐประหาร รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คมช.) มีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ต่อมามีการตั้ง ส.ส. ร.เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมมีส่วนร่วมทำข่าวการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งในรัฐสภา และส.ส.ร.ยกคณะไปร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญใหม่กันที่โรงแรมบางแสนรีสอร์ท จนประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งได้ฉายาเป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง คือให้ดาบองค์กรอิสระเพิ่มขึ้น เพื่อปราบคอร์รัปชั่น
หลังปี 2550 ภูมิทัศน์สื่อเริ่มเปลี่ยน หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จะตั้งสถานีโทรทัศน์ ก็ดึงเอานักข่าวจากกองบรรณาธิการแต่ละโต๊ะข่าวมาทำช่องข่าวธุรกิจ มาทำรายการ ผมได้เริ่มนับหนึ่งเรียนรู้เรื่องโทรทัศน์ ตั้งแต่ร่วมจัดผังรายการ การวางสลอตข่าวและรายการ รับสมัครผู้ประกาศ น้อง ๆ ผู้ประกาศที่รับเข้ามาในตอนนั้น เวลานี้โลดแล่นอยู่ตามช่องทีวีหลายช่อง ส่วนผมมีรายการวิเคราะห์ข่าวการเมือง ต่อมา กสทช.เปิดประมูลทีวีดิจิทัล 24 ช่อง สื่อในเครือเนชั่นปรับตัวครั้งใหญ่ ดึงเอาบุคลากรที่กระจายอยู่ในหนังสือพิมพ์ ทั้ง The Nation หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก รวมทั้งวิทยุเนชั่น มาเสริมศักยภาพช่องข่าวที่มีสองช่องคือ Nationtv22 กับ now26 ซึ่งก็คือช่อง กรุงเทพธุรกิจทีวี เดิม
..บทบาทผมในช่อง Nationtv22 เป็นบรรณาธิการข่าวสืบสวน เป็นผู้ดำเนินรายการข่าวสืบสวนสอบสวน nationxfiles รวมถึงจัดรายการข่าวเช้าเสาร์อาทิตย์ โดยมีโอกาสได้ร่วมจัดรายการกับคุณ “แอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์” และยังเป็นผู้ดำเนินรายการอื่น ๆ ตามโอกาส
ปี 2566 เป็นปีที่ 31 ของผมในสังกัดสื่อเดียวคือ “เนชั่น” ตำแหน่งสุดท้ายคือบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวเนชั่น เป็นอันว่ารูดม่านปิดฉากชีวิตนักข่าวกันในวันสิ้นปี (4 มีนาคม 2536 - 31 ธันวาคม 2566)
"สุทธิรักษ์-ผอ.กองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน-อดีตนักข่าวภาคสนาม -อดีตสื่อประสบการณ์ร่วม 31 ปี"เล่าถึงเส้นทางชีวิตในการเข้าไปทำงานที่ ธนาคารที่ดิน ว่า หลังจากตัวเองพ้นสภาพการเป็นนักข่าว ก็หยุดพักไป 6 เดือน ช่วงเวลานั้นก็ทำช่อง youtube ทำข่าวใน facebook ส่วนตัว คือเราไม่เคยทำอาชีพอื่นมาก่อน ก็ทำข่าวนี่แหล่ะ
จุดเปลี่ยนชีวิตคือ ผมทราบว่า ธนาคารที่ดิน เปิดรับสมัครผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร ผมดูคุณสมบัติแล้วเข้าเกณฑ์ และอายุเราก็ยังพอมีเวลาทำงาน จึงมาสมัคร และทราบว่า ธนาคารที่ดิน เป็นหน่วยงานรัฐ ประเภทองค์การมหาชน สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ต้องปรับตัวพอสมควรครับ จากนกน้อยในไร่ส้ม มาสวมเครื่องแบบข้าราชการ
โดยงานที่รับผิดชอบ สื่อสารองค์กร และการประชาสัมพันธ์ภารกิจองค์กร ก็ต้องสื่อสารทั้งภายใน และภายนอก ตามพันธกิจองค์กร คือ ช่วยเหลือประชาชนให้มีที่ดินทำกิน มีกินมีใช้ รายได้ยั่งยืน โดยมีประชาชนจากทั่วประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือด้านที่ดินทำกิน ตอนนี้ธนาคารที่ดิน ช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว 30 จังหวัด 42 พื้นที่ รวมเนื้อที่ร่วม 10,000 ไร่
นอกจากการสื่อสารแล้ว ก็มีภารกิจสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาคี ต้องเอาประสบการณ์ด้านสื่อสารมาใช้ ซึ่งโชคดีที่ตอนทำข่าวผมรู้จักคนเยอะทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ก็ได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งในบริบทที่เปลี่ยนไปแต่ความสัมพันธ์ก็ยังเหมือนเดิมครับ
content is king
connection is best
ประสบการณ์จริงจากอดีตคนข่าว
เราถามถึงว่าประสบการณ์การเป็นนักข่าว การทำงานสื่อ มีประโยชน์กับการทำงานที่ธนาคารที่ดินตอนนี้อย่างไรบ้าง "สุทธิรักษ์"ย้ำว่า ประสบการณ์การเขียนข่าว การจับประเด็น การวางประเด็น มีความสำคัญกับการทำหน้าที่เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์ ภารกิจขององค์กร อย่างมาก เพราะ content is king คือการเลือกเนื้อหาและจับประเด็นมาเขียนข่าวมีความจำเป็นสำหรับองค์กรที่ตั้งใหม่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก คือเราต้องดึงเอาจุดเด่นองค์กร มาเขียนเป็นข่าวให้ได้ และให้ตรงจริตของคนที่อ่านข่าวองค์กรธนาคารที่ดิน ว่า ช่วยเหลือประชาชนด้านที่ดินทำกิน เราไม่ได้ซ้ำซ้อนกับองค์กรอื่นที่มีอยู่ในเวลานี้ และประชาชนที่ธนาคารช่วยเหลือนั้น เขาได้ชีวิตใหม่ เขาเห็นแสงสว่างในความมืดมิด ธนาคารที่ดินเข้าไปแก้ไขข้อพิพาททางคดีความระหว่างชาวบ้าน กับเจ้าของที่เป็นเจ้าของที่ดิน ธนาคารที่ดิน ที่ให้ความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน

ถามย้ำชัดๆว่าคอนเนกชั่นต่างๆที่มีกับนักข่าว กองบก.สื่อบางสำนักหรือหลายสำนัก มีประโยชน์กับการทำงานปัจจุบันอย่างไรบ้าง เช่นการติดต่อประสานงาน การส่งข่าว "ผอ.กองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรธนาคารที่ดิน"ให้คำตอบชัดๆเช่นกันว่า ผมโชคดีที่ตำแหน่งสุดท้ายในอาชีพสื่อคือบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวเนชั่น ที่ดูแลนักข่าวภูมิภาคที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทำให้มี คอนเนกชั่นกับนักข่าวทั่วประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ผมสามารถเชิญนักข่าวทั่วประเทศ มาร่วมทำข่าว และนำเสนอข่าว ในพื้นที่ของธนาคารที่ดิน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยมีกลุ่มไลน์ “สื่อธนาคารที่ดิน” เป็นช่องทางสื่อสารและกระจายข่าว นอกจากนั้น ยังมีเบอร์ตรงที่คุยกับนักข่าว ในประเด็นที่อยากให้นำเสนอที่ตรงเป้าหมาย ผมเรียกว่า connection is best
เราถามปิดท้ายว่า หากมีนักข่าว คนทำสื่อสนใจอยากทำงานด้านสื่อสารองค์กรประชาสัมพันธ์องค์กรภาครัฐจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง และอยากบอกอะไรกับนักข่าว คนสื่อ ที่สนใจอยากเข้ามาทำงานในสายนี้บ้าง "สุทธิรักษ์-ผอ.กองประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรธนาคารที่ดิน"ให้ข้อคิดเห็นว่า ส่วนตัวผมมองว่า คนทำสื่อทั่ว ๆ ไป กับการทำงานสื่อสารองค์กร แตกต่างกันเล็กน้อย คือ งานสื่อสารองค์กร เนื้อหาจะแคบเฉพาะภายในองค์กร จะต้องสโคปเนื้อหาให้อยู่ในกรอบภารกิจ พันธกิจขององค์ ซึ่งก็เป็นงานยากนะครับ เพราะมีข้อจำกัดที่เป็นหน่วยงานราชการ การผลิตสื่อออกไปต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ขององค์กรเป็นหลัก
..คิดว่า คนทำสื่อหรือนักข่าวจะมาทำงานประชาสัมพันธ์หรือสื่อสารองค์กรไม่ต้องปรับตัวมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่คนทำสื่อหรือนักข่าว ทำกันเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว และเวลานี้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่ออกจากสื่อต้นสังกัดก็ไปทำงานสื่อให้กับองค์กรเอกชน รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาครัฐิเป็นจำนวนมาก
จากนักข่าวเศรษฐกิจ-สายแบงก์
สู่เส้นทางราชการ ผอ.ส่วนสื่อสารองค์กร กสทช.
กว่าจะมีวันได้ เครียด-ร้องไห้
บางเรื่องเรายกหูโทรศัพท์คุยกับสื่อเองเลยแต่การที่ยกหูคุยไม่ใช่เป็นการคุยในแบบที่ว่าโทรไปเพราะเขาเป็นบก.ข่าวของสื่อสำนักต่างๆแต่ที่ยกหูคุยเป็นการคุยในฐานะที่รู้จักกันเราเคยรู้จักกันเราเป็นพี่น้องกันเพราะฉะนั้นแต่ละคนที่เรายกหูโทรหาเขาก็จะรู้ว่า "อันนี้เราโทรมาให้ข้อมูล"เขาจะไม่ได้เข้าใจว่าเราเป็นพีอาร์...ทุกวันนี้ที่ทำพีอาร์คุยกับสื่อเราพยายามทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ใช่พีอาร์แต่เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่เหมือนน้องคนหนึ่งที่เขาสามารถคุยและถามได้

ด้าน "นางสาวนลินทิพย์ เลิศไพบูลย์ ผู้อำนวยการส่วนส่วนสื่อสารภายนอกสำนักสื่อสารองค์กรสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือสำนักงานกสทช."หรือ"แบด"ที่นักข่าว-กองบก.สื่อหลายแห่งรู้จักดีเพราะเธอโลดแล่นทำงานเป็นนักข่าวภาคสนามสายเศรษฐกิจ-กระทรวงคมนาคม-สายแบงก์-การเงินการธนาคาร มาร่วมสิบกว่าปี จึงทำให้รู้จักคุ้นเคยกับนักข่าว-กองบก.สื่อหลายสำนัก เล่าถึงเส้นทางการเป็นนักข่าว-คนทำสื่อ ก่อนเข้ามาทำงานที่สำนักงานกสทช.ซอยสายลม ในปัจจุบัน
...หลังเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เข้าไปทำงานด้านสื่อมวลชนแห่งแรกเมื่อปี 2545 ที่สถานีวิทยุ จส.100 ที่เป็นรายการวิทยุรายข่าวสารการจราจร แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เข้าเวรรับโทรศัพท์จากผู้ฟัง-ประชาชน ที่คนโทรศัพท์เข้ามาที่สถานีฯ ว่ามีเหตุยิงกันแถวคลองเตย แล้วไม่มีนักข่าวไปลงพื้นที่รายงานข่าวเหตุการณ์เข้ามา เราเลยอาสากับทีมงานไปทำข่าว-รายงานข่าวเข้ามายังสถานีฯ ก็เป็นจุดเริ่มต้น แต่จริงๆ อยากทำงานเป็น"นักข่าว"มาตั้งแต่แรก พอทางออฟฟิศจส.100 รู้ว่าอยากเป็นนักข่าวเลยให้ขยับมาเป็นนักข่าวของศูนย์ข่าวแปซิฟิก ที่อยู่ในเครือเดียวกับ จส.100 ทำให้เริ่มต้นชีวิตนักข่าวที่แรกคือที่ศูนย์ข่าวแปซิฟิก
..เริ่มชีวิตการเป็นนักข่าว ด้วยการเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจ ก็วิ่งทำข่าวหลายหน่วยงานเช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ เพราะส่วนใหญ่นักข่าววิทยุจะวิ่งทำข่าวหลายที่ การทำงานช่วงแรกต้องเรียนรู้เรื่องข่าวเศรษฐกิจเพราะตอนที่เริ่มยังไม่มีพื้นมากนัก แต่ออฟฟิศก็ให้โอกาส โดยมีครูคนแรกที่สอนเรื่องการทำข่าว-การเขียนข่าวเศรษฐกิจก็คือ พี่จุ๋ม บุญฑริกา ราชอาจซึ่งหลังจากทำข่าววิทยุได้หนึ่งปี เราก็เริ่มพบว่าเป็นคนที่ชอบรายละเอียดของข่าว ที่จะแตกต่างจากข่าววิทยุต้นชั่วโมง ที่เน้นเรื่องประเด็น-ความเร็ว แล้วก็จบ แต่เราเป็นคนชอบรายละเอียดของข่าว เช่นการถามรายละเอียดกับแหล่งข่าว ทำให้ต้องการไปทำข่าวหนังสือพิมพ์ เพราะตรงกับบุคลิกการทำข่าวของเรามากกว่าที่เวลาทำข่าว จะชอบคุยกับแหล่งข่าวเพื่อต้องการความลึกของข่าว ที่จะแตกต่างจากข่าววิทยุที่ต้องการความเร็ว
..เลยไปสมัครเป็นนักข่าวที่หนังสือพิมพ์"ไทยโพสต์"โดยสาเหตุที่เลือกไปสมัครที่ไทยโพสต์ เพราะพ่อเป็นคนชอบอ่านนสพ.การเมือง ชอบอ่านไทยโพสต์ เราเลยเห็นไทยโพสต์ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมฯ ที่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ พ่อจะให้เราขี่จักรยานไปซื้อนสพ.ไทยโพสต์มาให้อ่าน เพราะพ่อชอบอ่านคอลัมน์"เปลว สีเงิน"เพราะเขียนดีเลยซึมซับว่าไทยโพสต์คือนสพ.ที่รู้จักเป็นฉบับแรก
ทำงานเป็นนักข่าวไทยโพสต์อยู่ประมาณหนึ่งปี โดยเป็นนักข่าวประจำกระทรวงคมนาคม ซึ่งช่วงแรกๆ พอจากนักข่าววิทยุมาเป็นนักข่าวนสพ.ทำให้ต้องมีการปรับเรื่องการเขียนข่าวพอสมควร ก็มีครูคนที่สองที่ช่วยให้คำแนะนำคือ พี่เป๋ง คุณสุกรี แมนชัยนิมิต(ปัจจุบันอยู่ไทยรัฐออนไลน์) ซึ่งเราโชคดีที่ตั้งแต่ทำงานที่แรก ก็เจอหัวหน้าที่ดีตลอด คอยเป็นครูให้เราหมดเลย ตั้งแต่ศูนย์ข่าวแปซิฟิกจนมาที่ไทยโพสต์
..ด้วยความที่เรามีนิสัยอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา ก็เลยบอกกับที่โต๊ะข่าวเศรษฐกิจที่ไทยโพสต์ว่า ขอไปช่วยทำข่าวเศรษฐกิจที่ทำเนียบรัฐบาลด้วยก็ได้เพราะกระทรวงคมนาคมกับทำเนียบรัฐบาลก็อยู่ไม่ไกลกัน และด้วยความที่พ่อเป็นคนชอบอ่านข่าวการเมืองและพูดเรื่องการเมืองให้เราฟังตั้งแต่เด็กๆ เราก็เลยชอบเรื่องราวของการเมือง แต่ไม่เคยได้ทำข่าวโต๊ะการเมืองเลย ก็รู้สึกว่า การทำข่าวที่ใกล้เคียงที่สุดคือ เศรษฐกิจทำเนียบรัฐบาล ทางหัวหน้าข่าวเศรษฐกิจไทยโพสต์ ก็เลยมอบหมายให้ทำข่าวของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ฯ เวลามีการแถลงข่าว อีกทั้งช่วงดังกล่าว เป็นช่วงรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ที่ข่าวเศรษฐกิจจะค่อนข้างสำคัญ ทางหัวหน้าเราก็เลยให้ไปช่วยทำข่าวเศรษฐกิจเวลามีการประชุมครม.แต่ละสัปดาห์ เราก็ไปช่วยดูมีประเด็นข่าวเชิงเศรษฐกิจอะไรสำคัญๆ ที่น่าสนใจ
พออยู่ไทยโพสต์ได้หนึ่งปี พอดีตอนนั้นนสพ.โพสต์ทูเดย์ กำลังขาดคน มีการรับสมัครนักข่าวสายการเงิน ก็เลยบอกกับทางไทยโพสต์ไปว่าจะไปอยู่โพสต์ทูเดย์ ทางพี่ๆเขาก็สนับสนุนเลยมาสมัครเป็นนักข่าวสายการเงินที่โพสต์ทูเดย์ ก็เข้าไปเป็นนักข่าวสายการเงิน-ธนาคารพาณิชย์ หรือสายแบงก์ โพสต์ทูเดย์
ตอนแรก ก่อนที่จะเข้าไปเป็นนักข่าวสายแบงก์ ก็มีความรู้สึกว่าเป็นสายงานข่าวที่ยากและมันก็ยากจริงๆ คือด้วยความที่เราเรียนคณะมนุษยศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง พอถึงเวลาก็ไปสอบ ไม่ได้ผ่านการเรียนในห้องเรียนเหมือนคนที่เรียนมหาวิทยาลัยปิด แต่ต้องมาเป็นนักข่าวสายการเงิน ตอนแรกๆ ก็ยอมรับว่าหวั่นอยู่เหมือนกันว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ก็โชคดีที่หัวหน้าเราที่โพสต์ทูเดย์ ก็เป็นครูให้เราเหมือนกัน ทั้งพี่โอ บากบั่น บุญเลิศ ที่เป็นคนสัมภาษณ์และรับเราเข้าทำงาน พี่ชลลดา อิงศรีสว่างและพี่เป๊ก ธราธร เหมวิชากร ที่ค่อยๆ สอนและอธิบายเรา และมีการส่งไปถึงแหล่งข่าวในสายการเงิน-แบงก์ด้วยว่า "คนนี้น้องเรา"ก็เป็นการได้รับความเมตตา-ความเอ็นดูจากผู้ใหญ่หลายคนส่งผ่านมาถึงเรา
"ตลอดการทำงานมาตลอดทาง อาชีพนักข่าวเป็นอาชีพที่ดี สำหรับชีวิตเรามากๆ เพราะเราเจอหัวหน้างานที่ดี เจอแหล่งข่าวที่ดี เราเจอแต่เรื่องดีๆมาตลอด หัวหน้าก็มีการส่งเราให้แหล่งข่าวว่าน้องคนนี้ น้องผมเอง แหล่งข่าวก็จะเมตตา คอยเป็นครูในการสอนเรา จากที่ตอนไปเริ่มทำงานข่าวสายแบงก์ที่แทบไม่มีความรู้เลย แต่แหล่งข่าว รวมถึงเพื่อนร่วมงาน ที่เป็นนักข่าวสายแบงก์ด้วยกันแต่สังกัดอื่น ก็มีความน่ารัก เมตตา ช่วยเหลือกันเลยทำให้ ทุกวันนี้ ที่ชีวิตรู้เรื่องการเงินได้ เพราะการเป็นนักข่าวสายการเงินจริงๆ"นลินทิพย์ บอกเล่าด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติ

"ผอ.ส่วนสื่อสารภายนอกสำนักสื่อสารองค์กรสำนักงานกสทช.-อดีตคนข่าวสายเศรษฐกิจการเงิน"กล่าวถึงเส้นทางการเป็นนักข่าวจนมาทำงานที่กสทช.ต่อไปว่า ก็เป็นนักข่าวสายการเงินที่โพสต์ทูเดย์อยู่แปดปี จนถึงช่วงปี 2556 ช่วงนั้น กำลังจะเริ่มมีการประมูลทีวีดิจิทัล ก็ลาออกจากโพสต์ทูเดย์ ไปทำ"กรุงเทพธุรกิจทีวี"ก็ไปอยู่กับพี่เป๋ง สุกรี ที่ตอนนั้นมาเริ่มทำ กรุงเทพธุรกิจทีวี ซึ่งอยู่ในเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจด้วยกัน โดยเป็นช่องทีวีออนไลน์อยู่ในเว็บไซต์เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการประมูลทีวีดิจิทัล ต่อมามีการประมูลทีวีดิจิทัล แล้วทางเนชั่นฯ ได้ช่องทีวีดิจิทัลมาสองช่อง คือเนชั่นทีวีช่อง 22 กับช่อง NOW 26 ก็มีการให้ทีมกองบก.กรุงเทพธุรกิจทีวี ย้ายไปทำในช่อง NOW ทั้งหมด เราทำงานที่ช่อง NOW ได้ประมาณหนึ่งปี ต่อมาก็ลาออก เพราะตอนนั้น มีครอบครัว เริ่มมีลูก ก็เลยลาออกมา
..พอดีต่อมาช่วงปี 2557 มีคนบอกว่า สำนักงานกสทช.กำลังเปิดสอบรับสมัครข้าราชการสำนักงานกสทช.หลายตำแหน่งเลยไปสอบ โดยตอนที่เปิดรับ ไม่ได้สอบในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หรือสื่อสารองค์กร เป็นการสอบในตำแหน่งข้าราชการทั่วไป ก็สอบได้และเข้าไปทำงานที่กสทช. โดยเริ่มแรก ทำงานอยู่ที่ สำนักกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ที่ดูเรื่องเกี่ยวกับทีวีดิจิทัล โดยโครงสร้างงานของกสทช.หลักๆจะมีสองส่วนคือกิจการกระจายเสียงกับกิจการโทรคมนาคม
"นลินทิพย์”เล่าถึงการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากนักข่าว-คนทำสื่อ ที่มีความเป็นอิสระ แต่ต้องรับผิดชอบงานของตัวเองให้ดี แล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตไปทำงานระบบราชการที่สำนักงานกสทช.ว่าช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาเรื่องการปรับตัวพอสมควร
..ช่วงแรกที่เข้าไปทำงานกสทช.ก็ร้องไห้เกือบทุกวันเพราะยังไม่เข้าใจระบบราชการ คือก็เคยมีคนบอกเรา ก่อนที่เราจะออกจากงานนักข่าวว่า นักข่าวไม่ใช่โลกแห่งความจริง แต่การทำงานทั่วไป อย่างที่คนอื่นทำงานกันเช่นทำงานออฟฟิศ คือชีวิตจริง เมื่อเราออกมาทำงานตรงนี้แล้วเราจะได้เจอชีวิตจริง ตอนแรกเราก็ยังไม่เข้าใจ เพราะด้วยความที่เราอยู่กับการเป็นนักข่าวมานาน ซึ่งก็เคยมีคนบอกว่า หากเป็นนักข่าวนานๆ จะมีอีโก้ จะไม่เข้าใจว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่คนอื่นเขาอยู่กันเขาอยู่กันอย่างไร
"เราเลยได้เห็นว่ามันคือเรื่องจริงแต่พอดีว่าตอนนั้นเราเป็นแม่คนแล้วสิ่งที่เราจะโฟกัสมันไม่ใช่เรื่องงานอย่างเดียวจะมีเช่นการบริหารเวลาเพื่อดูแลครอบครัวดูแลลูกซึ่งหากตอนนั้นเราโสดก็อาจมีความอดทนน้อยอาจย้ายเปลี่ยนงานได้แต่พอมีลูกแล้วเพิ่งได้งานใหม่เราเลยรู้สึกว่าทำอะไรต้องอดทนแม้จะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
จากที่การเป็นนักข่าวที่มีความเป็นอิสระสูงแต่ต้องรับผิดชอบกับงานของตัวเองแต่ระบบราชการหรือระบบงานปกติต้องเข้างานและออกงานเป็นเวลาแค่นี้ก็เป็นด่านแรกของการปรับตัวในชีวิตเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต"
... แต่ที่ต้องปรับตัวเยอะคือเรื่องการทำงานเกี่ยวกับ"การเขียนเอกสารราชการ"ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยเรียนรู้การเขียนหนังสือราชการเลย เช่นรูปแบบการเขียน ก็ไม่เหมือนกับที่เราเขียนข่าว เพราะหนังสือราชการจะมีกรอบของระเบียบและกฎหมาย ก็เป็นหนึ่งปีแรกที่ตอนนั้น ร้องไห้แทบทุกวันเลย อยากลาออก ไม่อยากทำงานที่กสทช.แล้ว รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา จนวันหนึ่งเมื่อเรามีอำนาจในการเซ็นหนังสือฯ เราถึงเข้าใจว่า ทำไมคนเซ็นหนังสือราชการถึงซีเรียสในหนังสือที่จะเซ็น เพราะนั่นคือลายเซ็นของเรา ที่เราต้องรับผิดชอบ ก็มาเข้าใจในวันที่เราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
..พอทำงานไปได้สักหนึ่งปี ก็มีจุดเปลี่ยน เพราะทางผอ.สำนักประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กรของกสทช. ที่ปัจจุบันเกษียณไปแล้ว รู้ว่าเราเคยเป็นนักข่าว เลยไปนำเรียนคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ อดีตเลขาธิการกสทช.ว่าอยากได้เรามาช่วยเขียนข่าวให้สำนักงานกสทช. ต่อมาก็มีคำสั่งโยกย้ายภายในให้เราโยกมาช่วยเขียนข่าวที่สำนักสื่อสารองค์กร
..จากนั้นพออยู่ได้สักประมาณห้าปี อยากลองไปทำสำนักอื่นในกสทช.บ้าง ก็ย้ายไปทำงานด้านฝั่งกิจการกระจายเสียงฯ คือสำนักใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ฯ ซึ่งเป็นสำนักที่ดูแลผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้งหมด เช่นเรื่องการออกใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ต่อมา ทำงานได้หนึ่งปี ก็ย้ายไปอีกสำนักหนึ่ง ที่ทำงานเกี่ยวกับด้านโครงข่ายทีวีดิจิทัลฯ ต่อมามีการเปิดสำนักขึ้นใหม่ในกสทช.คือ สำนักวิชาการ ที่มีงานเช่น การทำวารสารวิชาการ เราพอรู้เรื่องการทำหนังสือวารสารเลยขอย้ายไป ก็เข้าไปทำวารสารวิชาการ ต่อมา มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณปี 2566 กสทช.เจอข่าวด้านลบเยอะมาก ก็อยากได้คนที่อยู่ในกสทช.ที่รู้จักสื่อ-นักข่าว และเขียนข่าวได้ มาทำงานที่สำนักสื่อสารองค์กรฯ เราเลยได้ย้ายกลับมาอีกครั้ง ที่สำนักสื่อสารองค์กรฯ เมื่อปี 2566 จนถึงปัจจุบัน 2568 ก็อยู่มาสองปี
"งานกสทช.เป็นงานที่ยากเพราะมีงานด้านวิศวะและกฎหมายเยอะเป็นงานด้านเทคนิคขณะที่เรามาจากสายนิเทศศาสตร์ที่หากเราไม่เรียนรู้ไม่กระตือรือร้นไม่พูดคุยกับคนเยอะๆหรือไม่ใฝ่รู้จะทำงานเหนื่อยมากเพราะกสทช.เป็นงานยาก"
จากประสบการณ์การเป็น"นักข่าวภาคสนาม-กองบก.ข่าว"ที่มีประสบการณ์เกินสิบปี เมื่อมาทำงานด้านการสื่อสารองค์กร ที่สำนักงานกสทช. "นลินทิพย์ - ผอ.ส่วนสื่อสารภายนอกสำนักสื่อสารองค์กร สำนักงานกสทช."บอกเล่าถึงสิ่งนี้ว่า เป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับการทำงานในปัจจุบันมาก อยากบอกว่า คนที่เป็นนักข่าว และมีความตั้งใจ รักในอาชีพ-วิชาชีพการเป็นนักข่าว มีความมุมานะ ที่จะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะไปทำอาชีพอะไร มันก็ดีกับตัวเอง แต่พอดีว่าเรามาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ เลยทำให้คลุกคลีกับนักข่าว-สื่อ ก็เลยดีทวีคูณ
..เราเชื่อว่าตอนที่เป็นนักข่าว ก็เป็นนักข่าวที่ขยันทำงาน ขยันเรียนรู้ แม้อาจไม่ได้เก่ง แต่เมื่อเราขยันทำงาน-ขยันเรียนรู้มันทำให้เรารู้อะไรหลากหลายแม้อาจจะไม่ได้ลึก มาเรามาทำงานตรงนี้ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ การเป็นนักข่าวมาก่อน มันทำให้เราจะได้"กลิ่น"อะไรที่เร็วกว่าคนอื่น ที่สิ่งเหล่านี้จะติดตัวเราตลอดเวลา คิดว่าโดยบุคลิกของเรา ไม่ได้เป็นนักประชาสัมพันธ์ที่มีความเป็นพีอาร์จ๋า แบบพูดหวาน หรือเขียนแต่ข่าวพีอาร์องค์กรแต่ในมุมที่ดี แต่คิดว่าเราเป็นพีอาร์องค์กรที่ยังมีมุมความเป็นนักข่าวเยอะมาก
...คือเรารู้ว่านักข่าวต้องการอะไร แล้วเราก็พยายามสื่อสารให้กับหัวหน้า ที่เป็นข้าราชการได้เข้าใจ คือความเป็นข้าราชการเขาอาจมีความรู้สึกไม่ค่อยกล้าอยากพูดอะไร อาจรู้สึกกลัวนักข่าว แต่เราเหมือนเป็นสื่อกลาง ที่จะไปอธิบายให้กับหัวหน้าหรือคนในสำนักงานกสทช.ได้เข้าใจว่าจริงๆแล้วนักข่าวเขาไม่ได้มีอะไรหรอก นักข่าวก็เป็นคนธรรมดา เขาแค่ต้องการข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อไปเขียนงานของเขา เราสามารถให้ข้อมูลเขาได้ด้วยข้อเท็จจริง และเราทุกคนที่มีความรู้สามารถเป็นครูให้กับเขาได้ เราก็พยายามอธิบายบอกเขา บอกกับหัวหน้า บอกกับพี่ๆ ผอ.แต่ละคนในสำนักงานกสทช. เช่น เลขาธิการกสทช. ผช.เลขาธิการกสทช.ว่านักข่าวเขาไม่ได้มีอะไร เขาแค่ต้องการข้อมูลเท่านั้นเอง เรื่องไหนที่ให้กับสื่อได้ ก็ให้ เรื่องไหนให้ไม่ได้ก็บอกนักข่าวไปตรงๆ เราก็จะสื่อสารบอกกับคนในกสทช.แบบนี้ เป็นเหมือนคนกลางในการสื่อสารว่านักข่าวเขาต้องการอะไร หน้าที่พีอาร์เราจะเหมือนเป็นสื่อกลางระหว่างนักข่าวกับแหล่งข่าว ที่ก็คือหัวหน้าเราที่กสทช."
สไตล์-วิธีการทำงานพีอาร์ภาครัฐ
เราจะไม่ชาร์จนักข่าว-กองบก.
เมื่อเราถามถึงการที่เคยเป็นนักข่าวทำสื่อมาก่อน แล้วมาทำงานตรงนี้ คอนเนกชั่นต่างๆ มีประโยชน์ต่อการทำงานด้านสื่อสารองค์กร ประชาสัมพันธ์ที่ทำอยู่อย่างไร "ผู้อำนวยการส่วนส่วนสื่อสารภายนอกสำนักสื่อสารองค์กรสำนักงานกสทช."ยืนยันว่ามีประโยชน์มาก เพราะอย่างบางเรื่อง เรายกหูโทรศัพท์คุยกับสื่อเองเลย แต่การที่ยกหูคุย ไม่ใช่เป็นการคุยในแบบที่ว่า โทรไปเพราะเขาเป็นบก.ข่าวของสื่อสำนักต่างๆ แต่ที่ยกหูคุยเป็นการคุยในฐานะที่รู้จักกัน เราเคยรู้จักกัน เราเป็นพี่น้องกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่เรายกหูโทรหา เขาก็จะรู้ว่า "อันนี้แบด โทรมาให้ข้อมูล"เขาจะไม่ได้เข้าใจว่าเราเป็นพีอาร์ เราจะไม่คุยในแบบชาร์จนักข่าว เช่น"ทำไมทำแบบนี้ "หรือโทรต่อว่า โทรให้แก้ข่าวให้ เราไม่มีทำแบบนั้น แต่จะเป็นการโทรคุยเพื่ออธิบายว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นการให้ข้อมูล แล้วคุยเสร็จก็จะแล้วแต่ทางพี่ๆ สื่อ เขาจะพิจารณา
..หากเขายืนยันว่าข่าวลงไปแล้ว หากเขาบอกว่าให้หัวหน้าเราทำ Press ชี้แจงออกมา เราก็จะไปสื่อสารบอกให้ แต่เราจะไม่ใช่วิธีชาร์จสื่อ เพราะสมัยเราทำข่าว ก็จะไม่ชอบพีอาร์ที่มาชาร์จ เรารู้สึกว่าเป็นการให้เกียรติกันดีกว่า หากเราเขียนผิด ก็ขอให้บอก แล้วให้อีกฝั่งเขาอธิบาย
..การทำงานสื่อสารองค์กรที่กสทช. อยากบอกว่า หากต้องการรู้ข้อมูลอะไร ก็โทรศัพท์มาสอบถามเราก่อนได้ อยากให้สื่อให้พื้นที่กสทช.บ้างเช่นในการอธิบายเรื่องต่างๆ เพราะสมัยก่อนตอนเราทำข่าว เราก็ได้รับการปลูกฝังมาว่า เวลามีข่าวของฝั่งหนึ่ง ก็ต้องเช็คกับอีกฝั่งหนึ่งด้วย แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น คือลงไปก่อนเลยด้านเดียว แต่ก็เกิดผลกระทบไปแล้ว
ตรงนี้อยากบอกว่า มันก็ทำให้แหล่งข่าวเกิดความระแวง ไม่กล้าคุยกับสื่อ เพราะเขาจะรู้สึกว่าจะวางใจได้หรือไม่ ทำไมที่ผ่านมา ไม่เคยให้เขาได้อธิบายเลย เหมือนกับถูกด่า หัวหน้าก็เคยมาถามเหมือนกันว่า"สื่อเขาเป็นแบบนี้กันหรือ" เราก็อธิบายว่าไม่ได้เป็นกันทุกคน เพราะแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน มันไม่ใช่ทั้งหมด นักข่าวที่ดีก็มี แต่เราก็สื่อสารไปว่าหากเราอยากชี้แจง ก็ทำ Press ชี้แจงออกมาได้
...ทุกวันนี้ที่ทำพีอาร์ คุยกับสื่อ เราพยายามทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่ใช่พีอาร์ แต่เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ เหมือนน้อง คนหนึ่ง ที่เขาสามารถคุยและถามได้ เพราะเราคิดว่าตำแหน่งที่เรามีมันเป็นแค่หมวกใบหนึ่งเท่านั้นเอง เป็นสิ่งสมมุติ วันหนึ่งเราก็ไม่ได้เป็นพีอาร์ที่กสทช. วันหนึ่งเราต้องเกษียณ แต่เรายังสามารถคุยกันได้ เราจึงจะไม่โกรธเคืองกัน แม้ว่าอีกฝั่งอาจจะเขียนข่าวถึงหน่วยงานเราไม่ดี เพราะว่าเป็นหน้าที่ของเขา เราก็มีหน้าที่ในการชี้แจง ด้วยข้อเท็จจริง ความจริงใจของเรา เราก็บอกแบบนี้กับหัวหน้าเราเสมอ
เพราะในความโชคร้ายเรายังมีความโชคดี ก็คือ เราอยู่ในองค์กรที่แทบไม่มีใครชม เป็นพีอาร์ในองค์กรที่มีข่าว crisis บ่อยต้องคิดแก้ปัญหาตลอด แต่ที่บอกว่าเราโชคดีก็คือ ทำให้เรามีความเข้าใจสัจธรรมของชีวิตจริงๆว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือหมวก แค่นั่นเอง เราไม่ควรไปโกรธนักข่าวที่เขามาว่าเรา แต่เราต้องให้ข้อเท็จจริงกับเขา ต้องทำให้เขาเห็นว่าเรากระตือรือร้นที่จะช่วยสื่อในเรื่องของข้อมูล ไม่ได้ปิดบัง อะไรบอกได้ ก็บอก แต่เรื่องไหนยังบอกไม่ได้ ก็จะบอกว่ายังบอกไม่ได้ ซึ่งที่บอกไม่ได้เพราะติดเรื่องกฎ ระเบียบของราชการหรือหน่วยงานรัฐ เรื่องไหนที่ยังไม่ชัวร์ เราก็ยังให้ข้อมูลไม่ได้ ข้อมูลที่จะให้ได้จึงต้องชัวร์

เมื่อถามปิดท้ายว่า หากจะมีนักข่าว คนทำสื่อ อยากเปลี่ยนสายงาน อยากมาทำงานด้านสื่อสารองค์กร พีอาร์องค์กรภาครัฐ อยากจะบอกอะไรกับคนที่สนใจงานด้านนี้ "นลินทิพย์ - อดีตนักข่าวสายเศรษฐกิจ-การเงิน"ให้ข้อมูล-ข้อแนะนำว่า การทำงานเป็นประชาสัมพันธ์หน่วยงานภาครัฐต้องบอกว่าไม่ใช่ง่ายเพราะงานภาครัฐมีเรื่องของระบบ-ระเบียบ-ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ที่ก็เป็นการฝึกชีวิตเราอีกมุมหนึ่ง
...จากที่ทำงานมาตรงนี้ ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองมากทำให้รู้ว่าการทำงานที่เป็นระเบียบขั้นตอนทำอย่างไร คนอื่นอาจมองว่าเป็นข้อจำกัดแต่สำหรับเรา มองว่าคือการได้เรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ เสมอ เพราะการที่ทำงานราชการ ต้องมีความรอบคอบ จะมาเน้นความเร็วแต่ไม่ถูกต้องไม่ได้ เพราะทุกอย่างมีข้อกฎหมาย-ระเบียบราชการ เหมือนขาหนึ่งอาจเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเลยก็ได้
..ถือว่าเป็นการฝึก skill ให้เราเป็นคนที่รอบคอบมากขึ้น เติบโตมากขึ้นในทางความคิด และต้องมองทุกอย่างให้รอบด้านมากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อาจจะไม่ได้สนุกเหมือนกับการเป็นประชาสัมพันธ์หน่วยงานเอกชน เพราะอย่างการจัดซื้อจัดจ้าง จะมีระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะเงินทุกบาทคือเงินหลวง ซื้อของหนึ่งบาท ก็ต้องบอกว่าที่จะซื้อมาใช้ทำอะไร -จัดซื้อแล้วได้ประโยชน์อะไร ความสนุกในการทำงานจะแตกต่างจากประชาสัมพันธ์เอกชน แต่จะได้ชีวิตที่เติบโตในมุมของการทำงานที่มีความตกผลึกมากขึ้น การทำงานที่กสทช.ที่ผ่านมาทำให้ได้ทักษะชีวิตอย่างมาก
