“จับตาครม.อนุทิน เร่งสปีด : กางงานตามแผน 120 วันได้จริงหรือ!”

“หลายคนมองว่าหากนายอนุทิน ตั้งคนนอกที่มีความเหมาะสม ไม่ติดยึดสัดส่วนโควต้าการเมืองมากเกินไป จะทำให้การออกตัวของครม.ชุดนี้ มีความหวังในการเข้ามาทำงานแต่ละด้าน ช่วยทำให้ผ่อนแรงไปเยอะ” “มนตรี จอมพันธ์ สื่อมวลชนอาวุโส  อดีต บก.ข่าวการเมือง” วิเคราะห์ “ทิศทางการเมืองไทย หลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 23” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า 

“รัฐบาลใหม่ต้องสร้างสมดุล-ทำงานแข่งกับเวลา ตามที่ปชช.คาดหวัง”

  มนตรี บอกว่า เรื่องหลักคือ ความคาดหวังของประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องนำพาบ้านเมืองแข่งกับเวลา เพราะเวลาของรัฐบาลชุดนี้มีไม่มากนัก นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้จัดทำแผน 120 วันล่วงหน้า ส่วนตัวมองว่านายอนุทิน มีประสบการณ์และมีระยะทางในทางการเมืองอย่างน้อยที่สุด 17 ปี ของการทำพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันนี้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คงต้องสร้างสมดุลทั้งในเรื่องของการบริหาร  อารมณ์สังคมและการบริหารบ้านเมือง ควบคู่ไปกับการบริหารการเมือง ที่แต่ละพรรคการเมืองสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าสร้างสมดุลตรงนี้ได้อาจจะ 4 เดือนหรือมากกว่า 4 เดือนคงจะไม่มีอะไรสะดุด ส่วนเมื่อมีผู้ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ เบื้องต้นต้องผ่านกระบวนการอย่างน้อย 2-3 เดือนหรือมากกว่านั้น เพราะมีประเด็นที่ต้องพิจารณา เชื่อว่าเงื่อนไขที่พรรคประชาชนหยิบยื่นให้พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยไปดำเนินการ น่าจะขับเคลื่อนควบคู่ไปพร้อมกับการบริหารบ้านเมือง

.

“งานจะผ่อนแรง หากไม่แบ่งเก้าอี้-ยึดติดโควตาการเมือง” 

  มนตรี บอกว่า ขณะที่นักวิเคราะห์และนักวิชาการ มององคาพยพของรัฐบาลชุดนี้ เริ่มจากการวางตัวคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งนายอนุทินได้เปรียบมาก เพราะมี 146 เสียงแม้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ถ้าเราคิดสูตรคณิตศาสตร์ในอดีตไม่ว่าจะ 7/1หรือ 5/1 สส.ต่อได้เก้าอี้รัฐมนตรีก็ตาม แต่ตอนนี้มี 143 ที่นั่งของพรรคประชาชน ที่สนับสนุนอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่ง 

  “หลายคนมองว่าถ้านายอนุทิน ตั้งคนนอกที่มีความเหมาะสม ไม่ติดยึดสัดส่วนโควต้าการเมืองมากเกินไป ก็จะทำให้การออกตัวของครม.ชุดนี้ มีความหวังในการเข้ามาทำงานแต่ละด้าน ก็จะทำให้ผ่อนแรงไปเยอะ แต่ถ้าประกาศรายชื่อครม.ออกมา ไม่แตกต่างจากการแบ่งเค้กหรือจัดสรรเก้าอี้ต่างตอบแทนก็อาจจะเหนื่อย เท่าที่เห็นทั้ง 3 รายชื่อตามข่าวออกมาเป็นรัฐมนตรีคนนอก หลายคนมองว่าเป็นภาพที่ไม่ได้ออกมาในทางลบมากมาย” 

.

“ยังไม่เริ่มงาน สส.เพื่อไทย ยื่นร้องศาลรธน.เอาผิดรัฐบาลชุดใหม่แล้ว” 

  มนตรี บอกว่า ยังไม่ทันเริ่มต้นแต่กลไกรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในการตรวจสอบ เช่น ยื่นร้องการฝ่าฝืนอะไรต่างๆ ถือว่ามาเร็วกว่าที่คิด ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรคงจะต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไปดูในรายละเอียดคำร้องของสส.พรรคเพื่อไทย 60 กว่ารายชื่อ ที่ยื่นต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไปตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน เพื่อให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรยื่นเรื่อง ไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องดังกล่าว ให้เอาผิดทั้งนายอนุทินและนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุธ หัวหน้าพรรคประชาชน เพราะได้ลงนาม MOA กัน

.

“คาด คำร้อง 2 อาจตามมาหากตั้งสายล่อฟ้าเป็น รมต.” 

  มนตรี บอกว่า สมมุติหลายคนที่เป็นสายล่อฟ้า ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีอย่างที่เห็นโผตามหน้าสื่อ เชื่อว่าไม่นานคงจะมีคำร้องที่ 2 ประเด็นปัญหาจริยธรรมตามมา เช่น กรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน และน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากเรื่องของจริยธรรม ซึ่งศาลคงจะพิจารณาไปว่าเข้าข่ายหรือไม่ เพราะค่อนข้างที่จะหนักหน่วงรุนแรง ใช้สิทธิ์ในการล้มล้างการปกครองไม่เป็นไปตามวิถีทาง ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและเป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตรงนี้ คือ ประเด็นปัญหาทางการเมืองที่อนุทินและครม.จะต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลา ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารอารมณ์สังคมควบคู่กันไป

.

“ปชน. ย้ำจุดยืนชัดแก้รธน. ชั่งน้ำหนักเลือกภท.ดีกว่าพท.” 

  มนตรี บอกว่า เป้าหมายของพรรคประชาชนมีความชัดเจน เท่าที่ฟังการอภิปรายของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน คือ เลือกนายอนุทินมาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อยุบสภาไม่ใช่มาบริหารบ้านเมือง เพราะว่า 4 เดือนนี้นายอนุทินและครม.จะทำตามที่ตกลงกับพรรคประชาชนไว้ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะมีข้อเสนอที่มากกว่าพรรคภูมิใจไทย คือ ยุบสภาทันทีที่แถลงนโยบายหรืออาจจะเร็วกว่า 4 เดือน แต่พรรคประชาชนก็ไม่เลือก เพราะเห็นว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมามีเป้าหมายเดียวกัน ถึงขนาดมีคนไปเปรียบเทียบว่าเคมีหรือ DNA ใกล้เคียงกัน ในเรื่องของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ 

.

“พท.ไม่มีสว.ยกมือหนุน แม้ออกโปรไฟไหม้”  

  มนตรี บอกว่า แต่พรรคเพื่อไทยไปไม่สุดทาง เพราะไม่มีในสิ่งที่ภูมิใจไทยมี คือ สภาสูงที่จะมาเป็นโหวตตอร์สนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องมีสว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของรัฐธรรมนูญ คือ 67 เสียงขึ้นไป ตรงนี้น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้พรรคประชาชนตัดสินใจเลือกสนับสนุนภูมิใจไทย มากกว่าที่จะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ที่ให้ข้อเสนอแบบโปรไฟไหม้ทั้ง ลด-แลก-แจก-แถมแต่ไม่สำเร็จ เอาเป็นว่าเรามองข้ามนิติสงครามหรือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน และความสามารถในการที่จะจัดการปัญหาบ้านเมือง ได้มากน้อยแค่ไหนถ้ามาดูในเงื่อนไขของพรรคประชาชน น่าจะอยู่ในกรอบเวลาที่จะทำได้

.

“คาดพุธ 10 กันยายนนี้ ได้คำตอบแรกจากศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องรธน.” 

  มนตรี บอกว่า วันพุธที่ 10 กันยายนนี้ จะมีคำตอบแรกออกมาจากศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรับคำร้องของสภาผู้แทนราษฎรไปพิจารณา ว่าตกลงการจะทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยมีส.ส.ร. และต้องทำประชามติกี่ครั้ง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญให้คำตอบในพุธนี้สมมุติว่าถ้า 3 ครั้งหัวหน้าพรรคประชาชนบอกว่าถ้าอย่างนี้ง่ายเลย ไม่ต้องอยู่ถึง 4 เดือนก็ได้ก็ยุบสภาแล้วจัดทำประชามติ ไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ ตามเงื่อนไขข้อ 2 ที่เขียนเอาไว้แต่ผมดูแล้วอย่างน้อยที่สุดรัฐบาลต้องอยู่ 4 เดือน + ถ้าวันที่ 10 กันยายนนี้ศาลรัฐธรรมนูญให้คำตอบว่า จะต้องทำประชามติ 3 ครั้ง คือ ต้องไปถามประชาชนผู้มีอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งตรงนั้นเขาก็คาดหวังว่า จะทำไปพร้อมกับการเลือกตั้ง แต่นาทีนี้กฎหมายประชามติที่เขาแก้ไขเอาไว้เดิม เป็นประชามติแบบ 2 ชั้น ฝ่ายการเมืองก็เห็นว่าถ้าทำแบบ 2 ชั้นเมื่อไหร่ตกม้าตายแน่ๆ จึงไปแก้ไข

.

“รัฐบาลเศรษฐา เคยตั้งกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติ-มีกรอบเวลากำหนดไว้ในกม.”

  มนตรี กล่าวถึง ยุครัฐบาลเศรษฐาเคยมอบหมายให้ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่มีบทสรุปว่า ก่อนที่จะทำประชามติต้องแก้ไขกฎหมาย ประชามติเสียก่อน ซึ่งสว.ได้คว่ำเอามาแช่แข็งไว้ 180 วันแล้วนำมากลับมายืนยัน ตอนนี้ร่างแก้ไขอยู่ในขั้นตอนรอการประกาศใช้ เพราะฉะนั้นต้องรอตรงนี้ด้วยเช่นกัน แต่เข้าใจว่าน่าจะอีกไม่นาน ทั้งนี้มีกรอบเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายประชามติ แม้จะเป็นชั้นเดียวก็ตามแต่มีเวลาอยู่ 3 กรอบ คือ ทันทีที่ครม.มีมติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปดำเนินการกรอบแรก 90 วัน กกต.จะมีเวลาในการไปรณรงค์ทำความเข้าใจ ซึ่งฝ่ายเห็นด้วยและเห็นต่างก็จะไปรณรงค์พร้อมพร้อมกันนั่นคือกฎหมายจะมีบางมาตรา เขียนเอาไว้ที่เขียนเอาไว้เพื่อที่จะไปแก้ไขในสิ่งที่เป็นประชามติของรัฐธรรมนูญฉบับที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน ซึ่งเที่ยวนี้ก็จะระบุเอาไว้ว่าต้องเปิดกว้างในการรณรงค์อย่างน้อย 90 วันก่อนที่จะไปหย่อนบัตร

.

“กางตาราง ดีดลูกคิด-ตั้งตุ๊กตารอไว้แล้ว”

มนตรี บอกว่า ส่วนกรอบที่ 2 เขาก็จะบังคับหัวท้าย อย่างน้อย 90 วันและไม่เกิน 120 วัน หากจะเอาแบบผู้นำฝ่ายค้านบอก คือ ถ้าทำครั้งเดียวก็ยุบสภาแล้วทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหม่ จะมีกรอบสุดท้ายอยู่ที่กำหนดเอาไว้ว่าในกรณีที่จะให้ทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งท้องถิ่น ณ เวลานั้นก็ให้ยืดหยุ่นได้ไม่ให้เกิน 150 วัน เป็น5เดือนเข้าไปแล้ว ฉะนั้นเงื่อนไขที่ออกแบบไว้แล้ว อยู่ในเงื่อนไขที่ทำได้แต่จะช้าเร็วอย่างไร  “คาดว่าจะไม่เกิน 4 เดือน ซึ่งผมเห็นเขาดีดลูกคิดตั้งตุ๊กตากันรอแล้ว คำนวณเวลาทั้งเรื่องของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องของการประกาศใช้กฎหมายประชามติฉบับแก้ไข และทำไปพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป น่าจะมีอย่างช้าประมาณปลายเดือนเมษายน พอยุบสภารัฐบาลก็จะอยู่ทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการ

.

“หากไม่มีอะไรสะดุด รบ.หนูอยู่ได้ถึง 9 เดือน” 

  มนตรี บอกว่า เมื่อยุบสภารัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการยุบสภาการเลือกตั้งใหม่ ต้องดำเนินการ 60 วันให้แล้วเสร็จ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 45 วันและในกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งกกต.ต้องประกาศรับรองผลโดยไม่ช้าแต่ต้องไม่เกิน 60 วัน ทั้งนี้ กว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่กระบวนการต่างๆตั้งแต่การโหวตนายกรัฐมนตรีในสภา การฟอร์มทีมครม. จนกระทั่งนำครม. ชุดใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ถึงจะมารับไม้ต่อจากรัฐบาลรักษาการอย่างน้อย 15-30 วัน ฉะนั้น รัฐบาลอนุทินหากไม่มีอะไรสะดุดจะมีเวลามากถึง 9 เดือน 

.

“ปม ตั้งรมต.สีเทา-ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก ทำเสี่ยหนูตัดสินใจทางการเมือง”

  มนตรี บอกว่า ยกเว้นถ้าบังเอิญแต่งตั้งรัฐมนตรีสีเทา แล้วมีบางคนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาผิดจริยธรรม ขณะที่ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย ตรงนี้เป็น 2 ประเด็นที่จะทำให้นายอนุทิน อาจจะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจจะยุบสภาหนีเพราะทั้งประเด็นเรื่องเขากระโดง  ฮั้วสว. หรือกรณีของสนามกอล์ฟแล้วเห็นว่าพรรคประชาชนมีท่าทีหรือเสียงก้ำกึ่งอาจจะอยู่รอ ขณะเดียวกันเรื่องของจริยธรรมถ้าเห็นจวนตัว ก็คงจะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมา คือ รัฐบาลแพรทองธารเดินมาสุดทางแล้ว เลยทำให้แทนที่พรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจในการตัดสินใจกุมสภาพได้ ก็กลายเป็นผึ้งแตกรังอย่างที่เห็น

.

 “หลายคนประเมิน เลือกตั้งครั้งหน้า พท.เหนื่อย คาด ต่ำ 100”

มนตรี คาดการณ์ไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะเหนื่อย เพราะไม่แน่ใจว่า หากมีการยุบสภาแล้ว สส.จะยังอยู่กันครบอีกหรือไม่ โอกาสของเพื่อไทยจากนักวิชาการหรือนักวิเคราะห์ต่างๆ พับไปเลยเรื่อง 200 เสียง ส่วนจะต่ำ 100 เท่าไหร่ ให้ตัวเลขที่แตกต่างกันไป คนพูดว่าได้ถึง 80 เสียงก็น่าจะเก่งแล้ว  “ฟังซุ่มเสียงของคนที่อยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย ตอนที่นายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มั่นใจว่าจะกวาดให้ได้เกิน 200 เสียง แต่ผ่านมาถึงวันนี้พรรคเพื่อไทย อยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าจะเอาใครมานำ ไม่รู้ว่าเสียงยังอยู่ครบหรือแตกแถวออกจากไลน์กลุ่มไปบ้าง ฉะนั้นอารมณ์ของคนภาคอีสาน ใกล้เคียงกับภาคใต้ที่กระแสกระแสตอบรับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เริ่มจะมีปัญหาเพราะการทำงานที่ผ่านมาหลายเรื่อง แม้กระทั่งกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คนภาคอีสานประสบปัญหาไม่น้อยเลยในการใช้ชีวิต” 

.

“คาดเลือกตั้งครั้งต่อไป ปชน.ยังครองอันดับ 1”

  มนตรี กล่าวถึง พรรคประชาชนว่ามีความเสี่ยง จากการตัดสินใจยกมือสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยในครั้งนี้ เพราะยังมีเสียงที่เขาประเมินดูแล้วอาจจะ 30/70 ซึ่งการคุมสภาพของพรรคประชาชน ยังสามารถกุมสภาพได้และสามารถอธิบายกับประชาชนได้  “หากทุกอย่างราบรื่นและมีการทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญได้ คือ การเปิดประตูไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือถ้าโชคดีศาลบอกว่าทำประชามติ 2 ครั้งพอ ร่างที่คาอยู่ในสภานี้จะใช้ร่างเดิมเลยก็ได้ โดยเดินหน้าไปตั้งส.ส.ร.เตรียมเอาไว้ ตรงนี้จะเป็นเครดิตและในทางการเมืองพรรคประชาชน ดูเหมือนจะถูกตั้งกำแพงค่อนข้างสูงเหมือนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายอนุรักษ์ แต่พอมาวันนี้ดูเหมือนจะเป็นการ สร้างความคุ้นเคยกันในทางการเมือง ฉะนั้นหลังเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาชน น่าจะยังเป็นพรรคการเมืองที่รวมตัวกันได้แน่นหนาสามารถที่จะขยับได้ทั้งซ้ายและขวา ซึ่งการรักษาระยะ1-2-3- นั้นโอกาสที่ใครจะมาแซง ความเป็นที่ 1 ก็น่าจะยากเช่นกัน

.

“คนไทย อยากเห็นประเทศเริ่มต้นเดินหน้า”

  มนตรี กล่าวปิดท้าย ถึงความรู้สึกประชาชนคนไทย จากผลสำรวจที่ออกมาและความรู้สึกก่อนหน้านี้ดูเหมือนคาดหวัง อยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ เพราะติดหล่มมาเป็นเวลาพอสมควร “เพราะฉะนั้นจะมากกว่า 4 เดือน หรือเท่าไหร่ก็ตาม เขาคาดหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศในขณะนี้ ซึ่งประชาชนคงจะมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันว่าอยากจะเห็นบ้านเมืองเริ่มต้น ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แต่ก็มีจุดเริ่มต้นและเดินหน้า

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5