------------------
ในโลกที่เต็มไปด้วยกระแสข้อมูล ซึ่งใครๆ ก็สามารถเผยแพร่ข่าวสารได้อย่างอิสระ รวดเร็ว คงทำให้หลายคนเกิดการตั้งคำถามต่อ “ความน่าเชื่อถือ” ของข้อมูลและคุณสมบัติของนักข่าว ทั้งนี้ล่าสุดมีการเผยแพร่ผลงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา เป็นข้อมูลที่น่าสนใจยิ่ง
มายนิวส์โฟร์ดอตคอม (mynews4.com) เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นของสถานีเคราเอ็นวี (KRNV) รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา ได้รายงานผลสำรวจล่าสุดของสถาบันพิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ (Pew Research Center) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่า นักข่าวยังมีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของสังคม แต่ขณะเดียวกัน กลับมีความเห็นต่างว่า ใครคือ ผู้ที่สมควรเรียกว่าเป็น “นักข่าว” ที่แท้จริง
จากรายงานพบว่า คนอเมริกันให้ความสำคัญและมองว่านักข่าวต้องมีความซื่อสัตย์ ความชาญฉลาด ความจริงใจ และจิตใจดี อย่างไรก็ตาม ความฝักใฝ่ทางการเมือง อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้คนที่มีต่อนักข่าว โดยกลุ่มรีพับลิกัน (Republican) มีแนวโน้มที่มีทัศนคติด้านลบต่อนักข่าวและมองว่าพวกเขาลำเอียง “ถือตัว” และ ไม่ซื่อสัตย์ มากกว่ากลุ่มเดโมแครต (Democrat)
ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า นักข่าวกำลังสูญเสียอิทธิพลในสังคม แต่เคธีย์ คีลีย์ (Kathy Kiely) นักข่าวอาวุโสและอาจารย์ด้านวารสารศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี (University of Missouri) กลับมองตรงข้าม โดยชี้ว่า รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นถึง “สัญญาณแห่งความหวัง” ว่าผู้คนเริ่มหันมาตระหนักถึงความสำคัญของสื่อมวลชนอีกครั้ง
“ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในข่าวลดลง ในขณะเดียวกัน ก็ได้ทำให้เกิดการถกเถียงและตั้งคำถามด้านนโยบายและบทบาทของวงการนักข่าว” คีลย์ กล่าว สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการตั้งคำถามของสาธารณะชนในประเด็นที่ว่านี้
ทั้งคีลีย์ และ พีเทอร์ ลอจ (Peter Loge) ผู้อำนวยการสาขาสื่อและกิจการสาธารณะ (School of Media and Public Affairs) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน (George Washington University) ต่างเห็นตรงกันว่า นักข่าวมีบทบาทสำคัญในการทำให้สังคมอเมริกันเข้มแข็ง เนื่องจากนักข่าวทำหน้าที่เหมือนกับผู้ตรวจสอบสังคม เป็นกระจกสะท้อนความจริง และช่วยหล่อหลอมให้ชุมชนมีความเป็นปึกแผ่นได้ โดยงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า พื้นที่ที่มีสื่อท้องถิ่นที่เข้มแข็งมักมีการเมืองที่ดีและการคอร์รัปชันต่ำ สอดคล้องกับที่คีลีย์ย้ำว่า การสื่อสารมวลชนคือ “หัวใจ” ของประชาธิปไตย
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่สร้างความสับสนและมีความเห็นต่างมากในการสำรวจครั้งนี้ คือการกำหนดว่าใครคือ “นักข่าว” ที่แท้จริง

ตามผลสำรวจ ร้อยละ 59 ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า ผู้ที่รายงานข่าวและสถานการณ์ปัจจุบันด้วยตัวเอง คือ นักข่าว แต่ความคิดเห็นกับแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ว่าควรเรียกบุคคลที่รวบรวมข่าว และเผยแพร่รายงานข่าวของผู้อื่นว่าเป็นนักข่าวด้วยหรือไม่ ขณะที่เสียงส่วนใหญ่มองว่าผู้ที่แสดงความคิดเห็นหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ “ไม่ใช่” นักข่าว
คนอเมริกันส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 79 เห็นว่า ผู้ที่เขียนข่าวลงหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์คือ “นักข่าว” อย่างแท้จริง และคนส่วนมากยังเห็นว่า ผู้ดำเนินรายการข่าวทางโทรทัศน์หรือวิทยุก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน มีเพียงร้อยละ 46 เท่านั้น ที่มองว่า คนที่จัดรายการพอดแคสต์เกี่ยวกับข่าวเป็นนักข่าว ขณะที่ครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง คิดว่าคนที่ทำคลิปหรือโพสต์เกี่ยวกับข่าวด้วยตัวเองและเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียไม่ใช่นักข่าว แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เห็นขัดแย้งก็ตาม
ลองมองว่า ความคิดเห็นที่หลากหลายเหล่านี้ สะท้อนความแตกแยกทางความคิดของสังคมอเมริกัน “ทัศนคติต่อวงการสื่อก็คงไม่ต่างจากประเด็นอื่นๆ มันขึ้นอยู่กับว่า คุณอยู่ในช่วงวัยไหนหรือเติบโตมากับสื่อรูปแบบใด” ลอจกล่าว “ถ้าคุณโตมากับสื่อออนไลน์ คุณก็จะมองว่าการสื่อสารมวลชน คือ สิ่งที่คุณเสพอยู่บนจอมือถือ แต่ถ้าคุณเป็นรุ่นผม สื่อที่คุณคุ้นตาก็คือหนังสือพิมพ์ที่จับแล้วหมึกเลอะมือ”
ลอจยังระบุอีกว่า แม้การปรากฏตัวของข่าวสารในยูทูป (YouTube) และติ๊กตอก (TikTok) จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการตีความนิยามและบทบาทของนักข่าวในสังคมชาวอเมริกัน แต่ลักษณะการพูดคุยหรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวในสื่อออนไลน์ ก็มีปรากฏมานานแล้วผ่านรายการวิทยุหรือช่องโทรทัศน์เคเบิ้ลสมัยก่อน
ในยุคที่ไม่ว่าใครที่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถเผยแพร่ข่าวสารได้ คีลีย์ย้ำต่อสาธารณชนว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เขียนข่าวจะเป็นนักข่าวมืออาชีพ” และการนำโพสต์ของคนทั่วไปในโซเชียลมีเดียมาเทียบกับข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือคือ ต้นตอของปัญหาความน่าเชื่อถือของวงการสื่อ ทั้งยังเตือนว่า โซเชียลมีเดียเปรียบดั่ง “อาหารขยะทางข้อมูลข่าวสาร” ที่ใช้อัลกอริทึมเพื่อป้อนแต่สิ่งที่ผู้อ่านต้องการเสพและติดอยู่ในแพลตฟอร์มนั้นให้ได้นานที่สุด
คีลีย์ นิยามนักข่าวมืออาชีพว่า เป็นบุคคลที่เข้าถึงแหล่งข่าวชั้นต้น เสาะแสวงมุมมองที่หลากหลายในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง และแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูกต้อง โดยพวกเขานั้น ควรเป็นกระบอกเสียงให้กับสาธารณชน สอดคล้องกับความคิดของลอจที่ว่า นักข่าวก็เหมือน “กรรมการ” ในสนามแข่ง เมื่อผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามใจคนดู กรรมการก็ย่อมถูกโห่
ท้ายที่สุด แม้ว่าจะยังไม่สามารถถามมติเป็นเอกฉันท์ได้ว่านักข่าวที่แท้จริง คืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ ผู้คนให้ความสำคัญกับบทบาทนักข่าวในสังคม ทำให้จริยธรรมของนักข่าว โดยเฉพาะในเรื่องความเป็นกลาง ความซื่อสัตย์ และการเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้คน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเมิดได้
