“ข้อสังเกตกรณีโครงสร้างอุโมงค์พังถล่มลงมาก่อน ไปกระแทกท่อของการประปานครหลวงในที่เกิดเหตุ จนน้ำทะลักส่งผลให้ดินที่อยู่ใต้อุโมงค์เกิดการสไลด์ตัว ช่วงแรกข่าวที่ออกมาบอกว่า เกิดจากดินของถนนสามเสนพังถล่มก่อน ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เป็นความจริง”
“ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส” ประมวลเหตุ “ถนนทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ ถนนสามเสน หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลและสถานีตำรวจนครบาลสามเสน” ใน“รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า
“รฟม.ตั้งเป้าเปิดใช้ถ.สามเสน 8 ต.ค.ตามกรอบ 14 วัน”
ภัทราพร บอกว่า เป้าหมายหลักที่จะต้องทำ ในส่วนของถ.สามเสนให้กลับมาเปิดใช้งานได้ถือว่ามีความคืบหน้าไปเยอะมาก ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มีเป้าหมายจะเปิดถนนดังกล่าวให้ได้ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้หรือในกรอบ 14 วัน แต่ปัญหาใหญ่ คือ ถนนสามเสนพังเสียหายทั้ง 2 ฝั่งที่เป็นเส้นทางจราจรคือ 30 × 30 เมตรและลึกลงไปเกือบ 20 เมตร ช่วง 2-3 วันหากฝนไม่ตกมาซ้ำอีก และระดมการทำงานเฉพาะหน้าแบบมีความมั่นคงด้วยการถมกระสอบทราย 50,000 คิว หลังจากนั้นเตรียมเทคอนกรีตทับเพิ่ม “ตามแผนเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ นั่นคือกรอบช่วง 3-4 วันนี้จะระดมเทปูนทำคอนกรีต ตอนนี้เหลืออีกประมาณ 10 วันก่อนจะถึงวันที่ 8 ตุลาคม ที่กำหนดว่าจะเปิดใช้ ซึ่งวันที่ 6 - 7 ตุลาคมจะต้องทำยางมะตอยให้ได้ เพื่อให้ยางมะตอยแห้งและทดสอบโดยให้รถวิ่ง ก่อนจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้จริง”
.
“เทคอนกรีตแบบลีน เพิ่มความแข็งแรงฐานอุโมงค์”
ภัทราพร บอกว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ระดมเทคอนกรีตในหลุม เพื่อให้มีความแข็งแรงมากขึ้น คอนกรีตที่เทตามหลักวิศวกรรมเป็น “แบบลีน” คือ ไม่ใช่คอนกรีตแบบแข็ง100% แต่มีความแข็งแรงมากพอ ที่จะทำให้ฐานพื้นของอุโมงค์ที่ถล่มไปเกือบ 20 เมตร ห่างเพิ่มขึ้นมาอีก 12 - 15 เมตรเป็นเลเยอร์ขึ้นมา จนเกือบถึงถนนสามเสนจะเหลือไว้สำหรับทำยางมะตอยหรือแอสพัลท์ ประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อให้กลับมาเปิดใช้งานได้ตรงนี้ถือเป็นทั้งความยากและความท้าทายด้วย “สาเหตุหลักที่ยังไม่ทำคอนกรีตแข็งแรง 100% เผื่อไว้วันหน้าอาจจะต้องมารื้ออีกรอบหนึ่ง เพราะอุโมงค์หลักๆที่เป็นของรฟม. ยังไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้ 100% ตอนนี้หน้างานเขาอยากจะให้กลับมาใช้ถนนให้ได้ก่อน จึงโฟกัสที่ถนนให้ทำในหลักของความปลอดภัยรถสามารถสัญจรได้ แต่ก็เผื่อไว้ในอนาคตถ้าจะต้องรื้อเพื่อเข้าไปซ่อมอุโมงค์รถไฟฟ้า ที่ถล่มก็สามารถรื้อคอนกรีตเหล่านี้ออกมาได้และทำใหม่ให้เป็นแบบถาวร”
.
“ชัชชาติ แบ่งโจทย์หลัก 2 งาน-หวั่น ฝนถล่มซ้ำ-ห่วงสน.สามเสน ดินสไลด์”
สำหรับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.และทีมงานทุกคน ลงพื้นที่หน้างานทุกวันทุกคืนเพื่อทำงานเชิงรุก พร้อมไลฟ์สดบรรยากาศการปฏิบัติหน้าที่ผ่านสื่อโซเชียล เพื่อให้ประชาชนเห็นโครงสร้างและลักษณะพื้นที่ความเสียหายแบบเรียลไทม์ เนื่องจากบางพื้นที่สื่อมวลชนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ โดยระหว่างการไลฟ์สดนายชัชชาติ ซึ่งมีความรู้ด้านวิศวะ จึงสามารถอธิบายและให้ความรู้กับประชาชนไปด้วย “การทำงานถือว่าความคืบหน้าไปเยอะ ตอนนี้เป้าหมายส่วนที่เป็นทั้งอุโมงค์ถล่ม และบริเวณถ.สามเสนที่ถล่มลงไป โจทย์หลักแบ่งเป็น 2 งาน คือ สไลด์น้อยลงแล้วแต่ยังน่าเป็นห่วง คือ ปริมาณน้ำฝนที่ตกหนัก แต่กทม.ได้นำเครื่องสูบน้ำและทีมเจ้าหน้าที่ไปสแตนด์บายไว้ จุดหลักที่เขาห่วงจริงๆ คือ สน.สามเสน อาจจะสไลด์หรือพังยุบลงมาได้ แต่ล่าสุดได้นำดินไปเสริมที่ใต้คานของสน.สามเสน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะสไลด์ลงมา” ภัทราพร กล่าวว่า
.
“ชัชชาติเห็นต่างรฟม. ปม เปิดใช้ถ.สามเสน 8 ต.ค.ขอให้ชัวร์ก่อนใช้”
ภัทราพร บอกว่า ระบบไฟฟ้า ประปา และระบบการสื่อสารใช้ได้ตามปกติ หลังเกิดเหตุ 2 วัน ทั้งนี้การประปานครหลวง ได้เข้ามาบล็อกท่อประปาในจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นท่อขนาดใหญ่สำหรับการจ่ายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน เส้นผ่านศูนย์กลาง 1,200 มิลลิเมตร จึงต้องมาบล็อกฝาท่อไว้ เพื่อไม่ให้ทรายและดินเข้าไปในท่อน้ำ โดยกปน.ได้จ่ายน้ำผ่านท่อสำรอง ทำให้ระบบน้ำกลับมาใช้ได้เกือบ 100% แต่ยังมีบางจุดที่น้ำไหลอ่อน จะให้เจ้าหน้าที่สำนักงานประปาสาขาแม้นศรี นำรถบรรทุกน้ำเพื่อสำรองจ่ายให้แก่ประชาชน “หลายคนพยายามบล็อกพื้นที่ เพื่อทำให้ถนนสามเสนกลับมาใช้งานได้เร็วที่สุด คือ 8 ตุลาคมนี้ ซึ่งนายชัชชาติบอกว่า ไม่เน้นเร็วแต่ไม่ปลอดภัยอย่างนั้นไม่เอา ซึ่งรฟม.ได้กำหนดตั้งธงไว้ แต่นายชัชชาติแย้งว่าหากเปิดใช้วันที่ 8 ตุลาคม ต้องมีความปลอดภัยด้วย ไม่ใช่ว่าเปิดใช้แล้วมาเกิดเหตุหรือมีความเสี่ยงขึ้นอีก ฉะนั้นไม่ต้องกำหนดวันที่ 8 ต.ค.ก็ได้ขอให้ปลอดภัยเรียบร้อยก่อน”
.
“รถโมบายเคลื่อนที่ ติดตั้งเราเตอร์สัญญาณ Wi-Fi”
ภัทราพร บอกว่า ระบบไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ปกติ แต่ 2-3 วันก่อนการตัดสายไฟ ที่ไปรั้งอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุหน้าสน.สามเสน อาจจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าอ่อนได้ในบางพื้นที่ แต่หลักๆภาพรวมเสาไฟฟ้า 3-4 ต้นบริเวณหน้าสน.สามเสน ต้นเสาล้มลงมาแต่สายไฟก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกตัด ส่งผลให้สายไฟและสายเคเบิลไปเหนี่ยวรั้งฐานของสน.สามเสน จึงต้องตัดสายเคเบิลต่างๆเพื่อลดความเสี่ยง ไม่ให้สน.สามเสนถูกรั้งจนถล่มลงมา ส่วนระบบสื่อสารที่เป็นสายเคเบิลต่างๆ ที่ถูกตัดทั้งสายอินเตอร์เน็ตและสาย Wi-Fi ที่ไปพาดตามเสาไฟฟ้า ซึ่งกสทช.ได้กำชับผู้ประกอบการค่ายมือถือ นำรถโมบายเคลื่อนที่มาติดตั้งและบางส่วนได้ติดตั้ง เราเตอร์สัญญาณ Wi-Fi ให้กับโรงพยาบาลวชิระเพิ่มเติมด้วย
.
“เฝ้าระวังโครงสร้างสน.สามเสน เขตดุสิตแจ้งเยียวยาผู้อาศัย”
ภัทราพร บอกว่า นายเทียนชัย วงศ์สุวรรณ ผอ.เขตดุสิต ฝากแจ้งประชาสัมพันธ์เพราะมีบางส่วนที่สำนักงานเขตดุสิตติดต่อไม่ได้ จึงอยากให้ประชาชนผู้พักอาศัยบริเวณดังกล่าว รีบติดต่อผ่านเพจ Facebook ของสำนักงานเขตดุสิต เพื่อแสดงตนว่าได้รับผลกระทบเข้าอยู่อาศัยไม่ได้ ควรไปลงทะเบียนไว้เพื่อที่จะขอรับมาตรการช่วยเหลือ ส่วนความรับผิดรับผิดชอบนั้นยืนยันว่า ทางรฟม.จะเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนี้กทม.ได้ตรวจสอบข้อมูล เพราะหลายคนกังวลและเป็นห่วง
โดยล่าสุด ทีมของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาสภาวิศวกร และที่ปรึกษาของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ลงพื้นที่พร้อมระดมทีมวิศวกรและทีมปภ.กรุงเทพมหานคร โฟกัสสำคัญอยู่ที่ตัวโครงสร้างสน.สามเสนยังต้องเฝ้าระวังอยู่ หลังจากที่กทม.ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาจากสน. ส่วนแฟลตตำรวจและอาคารพาณิชย์บ้านเรือน ให้ประชาชนออกมาจากที่เกิดเหตุตั้งแต่วันแรกแล้ว และยังไม่แนะนำให้เดินทางกลับไป
.
“เหตุเกิดจากดินสไลด์ โครงสร้างอุโมงค์ถล่มชนท่อ กปน.”
“ข้อสังเกตเรื่องโครงสร้างอุโมงค์พังถล่มลงมาก่อน แล้วไปกระแทกกับท่อของการประปานครหลวงในที่เกิดเหตุ จนทำให้กระแสน้ำทะลักส่งผลให้ดินที่อยู่ใต้ดินเกิดการสไลด์ทรุดตัวลงมา โดยช่วงแรกมีการเสนอข่าวว่า เกิดจากดินของถนนสามเสนพังถล่มก่อน ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากโครงสร้างของอุโมงค์ที่มีปัญหาก่อน ทำให้ระบบประปาแตกจากนั้นจึงไปรั้งทุกอย่าง ส่วนดินสไลด์ที่อยู่ใต้ของถนนสามเสน เมื่อเกิดการสไลด์ลงไปจึงทำให้ถนนสามเสนทรุดพังถล่มตามไปด้วย” ภัทราพร กล่าว
.
“ดร.เอ้ แนะหน่วยงานกลางตรวจสอบเหมือนตึกสตง.ถล่ม-วิศวะตั้งสมมุติฐาน ก่อสร้างถูกหลักหรือไม่”
ภัทราพร บอกว่า มุมมองของศาสตราจารย์สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นักวิชาการ ตั้งข้อสังเกตว่า หากมีการตั้งหน่วยงานของตัวเองขึ้นมาตรวจสอบตัวเองอาจมีข้อสงสัยอื่นๆ ตามมา การแก้ปัญหาที่ดีควรให้หน่วยงานกลางที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ ยกตัวอย่างที่ต่างประเทศหากเป็นหน่วยงานกลาง ตรวจสอบพบว่ามีความประมาทจริง และกระทำความผิดจริงต้องมีความผิดโทษถึงขั้นติดคุก โดนต้องไม่ทิ้งมาตรการเยียวยาที่ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีหน่วยงานที่ออกมารับผิดชอบ ขณะนี้หน่วยงานสายวิศวะมองว่า หลักจริงๆ ไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย อย่าโทษฟ้าดิน เพราะสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างมีหลักการก่อสร้างอยู่แล้ว ดังนั้นต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามหลักการก่อสร้างหรือเป็นข้อสมมุติฐานที่เขาตั้งขึ้นหรือไม่ “เรื่องของกระบวนการตรวจสอบ เหมือนกรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ถล่ม ถ้าให้สตง.ตรวจสอบเองก็จะถูกตั้งคำถามเยอะ หากมีหน่วยงานอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสตง. แล้วมาตรวจสอบสามารถเปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และควรจะมีสมุดปกขาวเหมือนกับต่างประเทศ ว่าที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมุดปกขาวตัวนี้จะต้องเผยแพร่ให้กับสาธารณะชนได้รับทราบ”
.
“กทม.ใช้ GPR สแกนหาโพรงใต้พื้นผิว ตรวจสอบความปลอดภัย ตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า”
กรณีประชาชนเกรงว่าเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างรอบๆ พื้นที่กรุงเทพมหานคร อาจจะมีจุดเสี่ยงนั้น ภัทราพร ยอมรับว่า แรงสั่นสะเทือนเวลาขุดเจาะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ล่าสุดกทม. ใช้เทคโนโลยีเรดาร์หยั่งลึกใต้ดิน หรือGPR (Ground Penetrating Radar) สแกนหาโพรงหรือช่องว่างใต้พื้นผิว เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย ป้องกันปัญหาการทรุดตัวของถนน โดยเฉพาะตามแนวการก่อสร้างรถไฟฟ้า และบริเวณบ่อพักท่อไฟฟ้าใต้ดิน โดยสแกนบริเวณงานก่อสร้างรถไฟฟ้าใกล้ถนนสามเสน ตั้งแต่แยกเกียกกายไปจนถึงกองพันทหารม้าที่ 4 (ม.พัน.4) รักษาพระองค์ และบริเวณแยกบางกระบือ คลองสามเสน ซึ่งกทม.สแกน พร้อมระบุว่า การตรวจสอบเป็นเทคโนโลยี ที่ไม่จำเป็นต้องขุดเจาะ หากสแกนผลออกมาไม่พบความเสี่ยงถือว่าเป็นเรื่องดี ข้อดีของเทคโนโลยี GPR คือ ไม่ต้องขุดดินขึ้นมาและทั่วโลกสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ ส่งคลื่นเรดาร์ลงไปใต้ดิน คลื่นจะสะท้อนกลับมาบอกให้รู้ว่า บริเวณใต้พื้นดินมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เช่น หลุมโพรงหรือช่องว่างระหว่างชั้นดินที่ไม่แน่นหนาสามารถสแกนให้เรารู้ได้ทันที
.
“รพ.วชิระ ขอความร่วมมือผู้ป่วยใช้รถสาธารณะ ลดความหนาแน่น ใช้ประตูสวรรคโลกเข้า-ออก”
โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กลับมาเปิดบริการรับผู้ป่วยนอกได้เต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ป่วยมารับบริการแล้วประมาณ 2,000 ราย คาดว่าวันจันทร์ที่ 29 กันยายนนี้จะมีผู้ป่วยตามนัดมาพบแพทย์ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 2,500 ราย ซึ่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จักรวุฒิ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ฝากประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือผู้ป่วยนอก เดินทางมาตรวจรักษาโดยรถขนส่งสาธารณะ เพื่อลดความหนาแน่นการจราจรรอบโรงพยาบาล และใช้ประตูฝั่งถนนสวรรคโลก เนื่องจากจุดเกิดเหตุบริเวณพื้นที่หน้าโรงพยาบาล จะปิดชั่วคราวเพื่อให้รถปูนและรถเจ้าหน้าที่ผ่านเข้า-ออก หากผู้ป่วยไม่สะดวกเดินทางไปที่โรงพยาบาลวชิระ ให้โทรศัพท์ไปประสานข้อมูลนัดกับแพทย์ เพื่อขอรับยาใกล้บ้านหรือที่โรงพยาบาลสังกัดกทม.ทั้ง 11 แห่ง โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังโรงพยาบาล ภัทราพร กล่าวปิดท้าย

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5
