รายงานพิเศษ
------------------
เพื่อนพี่น้อง และคนในวงการสื่อมวลชนร่วมกันแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ นส.สุมณฑา บุญคุ้ม หรือ "มณ" บรรณาธิการโต๊ะข่าวการเมือง เครือมติชน และผู้สื่อข่าวอาวุโสข่าวสด ซึ่งถึงแก่อนิจกรรมในวัย 58 ปี หลังล้มป่วยและเข้ารับการรักษามาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ก่อนจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568

ในพิธีฌาปนกิจซึ่งจัดขึ้นที่ วัดพรพระร่วงประสิทธิ์ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเดินทางมาเป็นประธานในพิธี ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความอาลัย มีบุคคลสำคัญในแวดวงการเมือง เพื่อนสื่อมวลชนจากหลายสำนัก ตลอดจนผู้ใกล้ชิดที่มาร่วมส่งเธอเป็นครั้งสุดท้ายอย่างเนืองแน่น

การจากไปของผู้สื่อข่าวอาวุโสท่านนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับนักข่าวภาคสนามสายการเมือง เนื่องจาก นส.สุมณฑา ติดตามภารกิจข่าวความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีในแต่ละยุคมานานกว่า 33 ปี ตลอดจนการทำข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางแห่งการขับเคลื่อนนโยบายประเทศ ที่เธอได้ร่วมบันทึกและรายงานเหตุการณ์ข่าวสารสำคัญภายใต้นายกรัฐมนตรีถึง 14 คน บนเส้นทางการทำงานที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและจรรยาบรรณ
ในค่ำวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ งานฌาปนกิจ ได้มีการเผยแพร่ เรื่องราวและบทความรำลึก ที่เพื่อน พี่น้อง และสื่อมวลชนร่วมกันเรียบเรียง เพื่อบอกเล่าชีวประวัติย่อ ตัวตน ความทรงจำร่วม และคุณค่าของนักข่าวผู้ชื่อว่า “สุมณฑา” ผู้ซึ่งทิ้งร่องรอยแห่งความดีงามและจิตวิญญาณของสื่อมวลชนที่แท้จริงไว้ในใจของทุกคน
“ช่างหัวมันเถอะ”
“ช่างแม่งว่ะ”
“ไม่เป็นไรเว้ยมึง”
เพื่อนพ้องน้องพี่ในสนามข่าวมักได้ยินคำพูด'ปลุกปลอบ' เหล่านี้ จากสุมณฑา หรือพี่มณของน้องๆอยู่เสมอ ในยามที่เรามีเรื่องหรือมีปัญหา สุมณฑา มักให้เวลารับฟังอย่างเข้าใจและเห็นใจ

ในอาชีพนักข่าว เรามักเจอแรงกระแทกอยู่บ่อยๆ ทั้งจากแหล่งข่าว ที่มีทั้ง “ชอบ”และ “ไม่ชอบ” ในข่าวชิ้นเดียวกัน แถมบางครั้งต้นสังกัดเราเองยังไล่บี้ซ้ำอีก เพราะฉะนั้นคนที่ปลอบใจและเข้าใจเราดีที่สุดคือเพื่อนในสนามข่าว ยิ่งในยามที่สถานการณ์ต่างๆหมุนเร็ว เปลี่ยนจากยุค “เจอกันบนแผง” มาเป็นยุค “เจอกันบนออนไลน์” ทำให้การทำงานของนักข่าวในสนามซับซ้อนและกดดันทุกขณะ

จาก มท.1สู่ สร.1
33 ปี ในอาชีพนักข่าวสายการเมือง สุมณฑา เป็นนักข่าวเพียงไม่กี่คนในกลุ่มเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ที่ยังอยู่ในภาคสนามและยังสนุกอยู่กับการวิ่งทำข่าว
สุมณฑา บุญคุ้ม เริ่มต้นเส้นทางการทำงานที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2535 ถูกส่งไปประจำที่ศาลาว่าการ กทม. และติดตามข่าวพรรคพลังธรรม ในยุคก่อตั้งที่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำ ด้วยบุคลิคที่เข้ากับคนได้ง่าย ทำให้สุมณฑาสามารถเจาะข่าวพรรคพลังธรรมได้อย่างทะลุทะลวง ซึ่งนักการเมืองยุคนั้น ต่างรู้จักสุมณฑา ในนาม “ตาโต”

ยุคดีเด่นดัง พรรคพลังธรรม ดึงเอาทักษิณ ชินวิตร และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เข้ามาร่วมงานการเมือง สุมณฑา เดินทางไปถึงโรงเรียนผู้นำของ พล.ต.จำลองที่เมืองกาญจน์ และเป็นนักข่าวคนแรกที่ได้เจาะข่าวสัมภาษณ์ คุณทักษิณ เป็นครั้งแรกในการเปิดตัวเข้าสู่สนามการเมือง
สุมณฑา ได้ย้ายมาเป็นนักข่าวประจำกระทรวงมหาดไทย ในยุคที่มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นยุคทองของมหาดไทย มีรัฐมนตรีถึง 6 คน และเป็นช่วงเวลาที่มีสื่อมวลชนมาทำข่าวประจำมหาดไทยมากที่สุด ผนึกกำลังทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน ข่าวมหาดไทยขึ้นหน้า 1 ไม่เว้นแต่ละวัน โดยมีน้าเต็ม “เต็มศักดิ์ ไตรโสภณ” นักข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ คอยเป็นหางเสือให้น้องๆ ส่วนสุมณฑา ทำหน้าที่หลักในการจดจำข่าว ออฟเรคคอร์ด มาแจกจ่ายให้เพื่อนๆ
ต่อมา สุมณฑา ย้ายมาทำข่าวประจำรัฐสภารัฐสภา ในยุคที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชาเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นยุคที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540

สุมณฑา มีภารกิจหลักคือ ติดตามการร่าง รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ของสสร.ยุคคุณอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาร่างฯและคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเมืองภาคประชาชนมีความตื่นตัวมากที่สุดของการเมืองไทย
เมื่อ คุณทักษิณ ชินวัตร เริ่มก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในปี 2541 สุมณฑา ได้ติดตามข่าวพรรคไทยรักไทย ผ่านประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ยุบพรรคมาเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จนถึงปัจจุบัน
ตั้งแต่ ปี 2544 สุมณฑา ย้ายสนามข่าวไปประจำทำเนียบรัฐบาล และนับจากนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นนักข่าวตามนายกรัฐมนตรี ที่เรียกกันว่า นักข่าว สร.1 หากนับรวมแล้ว 33 ปีของ สุมณฑา ผ่านการทำงานร่วมกับ นายกรัฐมนตรีมาแล้ว 14 คน นับจาก นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 นายทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 นายอนุทิน ชาญวีรกูล
สุมณฑา เริ่มล้มป่วย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 และพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ในช่วงนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งทั้งสองท่าน ต่างเป็นนักการเมืองที่ สุมณฑา คุ้นเคยมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ อย่าง อดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร มักจะพูดเสมอในทุกวงสนทนา ว่ารู้จักพี่มณ ตั้งแต่ตามคุณพ่อหาเสียงเมื่อยังเด็ก

รวมทั้งคุณชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรี คุณพ่อของท่านนายกรัฐมนตรีอนุทิน และในระหว่างการเจ็บป่วย สุมณฑา ก็ได้รับความเมตตากรุณาจากอดีตนายกรัฐมนตรีทุกท่าน ที่ทราบข่าวการล้มป่วย ของนักข่าวสายแข็ง และมีการถามไถ่อย่างต่อเนื่อง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
คำถามแทนประชาชน
พาดหัวข่าวหน้า 1 จนกระทั่ง พาดหัวออนไลน์ในปัจจุบัน ก็ล้วนมาจากการตั้งคำถามของนักข่าว อย่าง สุมณฑา ซึ่งหลายครั้งบรรยากาศในวงสัมภาษณ์จะดูรุนแรง สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้วงแตก แต่ถ้ามาจากปากสุมณฑา จะมีคำตอบที่แหล่งข่าวไม่สามารถปฏิเสธได้ หรือแม้แต่การยกหูเชคข่าวได้ทันที เพราะสุมณฑา กล้าถาม กล้าชน และกล้ารับแทนทุกคน

คุณค่าของนักข่าวที่ชื่อ สุมณฑา บุญคุ้ม ยังเป็นที่จดจำของภาคประชาชน เรื่องราวของคนชายขอบ ที่ข่าวส่วนกลางมักจะไม่ให้ความสำคัญ แต่ สุมณฑา จะทำหน้าที่นั้น ถามนายกรัฐมนตรี เป็นปากเสียงให้ทุกภาคส่วน แทนประชาชน คนเล็กคนน้อยในสังคม
สุมณฑา เป็นที่รักและนับถือของเพื่อนร่วมงาน พี่ๆ น้องๆ ด้วยความมีน้ำใจ คอยให้ความช่วยเหลือ ทั้งวิธีการทำข่าว ให้เกร็ดความรู้ทางการเมืองกับน้องๆ สุมณฑา บุญคุ้ม จึงเปรียบเสมือน‘ครูข่าว’ ของน้องๆ สื่อมวลชนจากรุ่นสู่รุ่น
ในช่วงท้ายของชีวิตการทำงาน สุมณฑา เป็น บรรณาธิการโต๊ะข่าวการเมืองเครือมติชน แม้จะมีตำแหน่ง บก.แต่การทำงานข่าวภาคสนาม ยังอยู่ในสายเลือด อยู่ในจิตวิญญาณของนักข่าวที่ชื่อ สุมณฑา บุญคุ้ม ดังที่ให้นิยามตัวเองว่า นักข่าว ตลอดกาล
"มณ"ในความทรงจำของ "ธงทอง"

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เขียนคำอาลัยไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า มณ เป็นผู้สื่อข่าวจากหนังสือข่าวสด ที่มีโอกาสได้รู้จักคุ้นเคยกับผมมานานเกือบ 30 ปี ตั้งแต่สมัยที่มณ เป็นผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาและต้องรายงานข่าวการทำงานของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส.ส.ร. ปี 2540 ขณะที่ผมทำงานอยู่ในทีมของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ในฐานะประธานกรรมาธิการยกร่างฯ มีอาจารย์บวรศักดิ์ เป็นเลขานุการ และผมเป็นหนึ่งในคณะผู้หน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการ แถมผมยังมีตำแหน่งเป็นโฆษกของคณะกรรมาธิการด้วย
ด้วยฐานะและความสัมพันธ์เช่นนี้ มณ กับผมจึงมีเรื่องให้พูดคุยกันทุกวัน มานึกย้อนหลังกลับไปสู่อดีตสมัยนั้น ผมอาจบอกได้ว่าเราต่างเรียนรู้เรื่องราวสารพัดจากกันและกันอย่างกัลยาณมิตร ต่อมาเมื่อโชคชะตาทำให้ผมมาทำหน้าที่เป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในช่วงปลายปี 2554 จนถึงกลางปี 2557 มณ ซึ่งย้ายจากหน้าที่ผู้สื่อข่าวสายรัฐสภามาเป็นผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาลก็ได้พบกันกับผมอีกรอบหนึ่ง ในยุคที่การเมืองกำลังเข้มข้น มณ ทำให้ผมอุ่นใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผู้สื่อข่าวทั้งหลายเป็นไปด้วยความราบรื่นโดยมี มณ เป็นสะพานเชื่อม และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เมื่อมณต้องจากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ระหว่างตั้งศพสวดพระอภิธรรมผมไม่สามารถเดินทางไปร่วมงานได้ แต่ในวันนี้ซึ่งเป็นวันฌาปนกิจศพกัลยาณมิตรของผมคนนี้ ผมตั้งใจว่าจะไม่พลาด แม้วัดที่เป็นสถานที่จัดงานผมจะไม่เคยไปก็ตาม แต่ผมก็เดินทางฝ่าสายฝนไปได้ตามความตั้งใจ
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง บรรยายในเฟสบุ๊คว่า บริเวณเมรุซึ่งมณนอนสงบนิ่งอยู่บนนั้น รายรอบด้วยพวงมาลาที่ผู้คนส่งมาแสดงความอาลัยรักจำนวนมากมาย เฉพาะบันไดทางขึ้นด้านหน้าเมรุ ผมมองเห็นพวงหรีดจากอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีปัจจุบันจำนวนรวมเจ็ดท่าน ประดับอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก หรือจะบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อนเลยก็ว่าได้

ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนฌาปนกิจ อรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล กับแยม ฐาปนีย์ เอียดศรีไชย อ่านประวัติการทำงานของ มณ ที่เริ่มต้นชีวิตนักข่าวตั้งแต่ปี 2535 และยาวนานมาตลอดชีวิต จากนักข่าวรุ่นเล็กมาเป็นพี่ใหญ่ของนักข่าวสายการเมืองจำนวนมาก มณ ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และตั้งคำถามถูกเรื่องถูกเวลาทุกครั้ง
ประธานในพิธีฌาปนกิจศพวันนี้ คือท่านนายกรัฐมนตรี อนุทินฯ ซึ่งเพิ่งลงจากเครื่องบิน กลับจากการปฏิบัติภารกิจต่างจังหวัดมาสดๆร้อนๆ ส่วนแขกเหรื่ออื่นๆในงาน นอกจากเครือญาติและครอบครัวของ มณ แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนนักข่าวและแหล่งข่าวที่ มณ สนิทสนมคุ้นเคย
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง ระบุว่า ของที่ระลึกที่เจ้าภาพมอบให้แก่ผู้ร่วมงาน เป็นสมุดเล่มเล็ก ที่ผมเห็นคุุ้นตาในมือผู้สื่อข่าวบ่อยครั้ง ทรวดทรงของสมุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อเราถือสมุดเล่มนี้ไว้บนมือซ้ายแล้วจะถนัดกระชับมือ และเราจะสามารถใช้มือขวาจดอะไรลงไปบนสมุดเล่มนี้ก็ได้ ทันทีที่ผมเห็นสมุดหน้าตาแบบนี้ ผมหันไปทักทายผู้สื่อข่าวทั้งหลายที่อยู่ในงานแล้วขานว่า “ สมุดจดข่าว” ทุกคนยิ้มรับขึ้น เป็นที่ว่าใช่แล้วและเป็นเรื่องที่เรา “รู้กัน” เป็นของที่ระลึกที่เหมาะที่สุดสำหรับงานศพของนักข่าวชื่อ สุมณฑา บุญคุ้ม นักข่าวตลอดกาลคนนี้ครับ
