สรุปสถานการณ์สื่อ ประจำวันที่ 1-31 ส.ค.2563

สรุปสถานการณ์สื่อ ประจำวันที่ 1-31 ส.ค.2563

1.เว็ปไซต์ "ผู้จัดการออนไลน์" รายงาน “ประยุทธ์” เตรียมลุยเดินสายพบสื่อออนไลน์ครั้งแรก โดยเมื่อวันที่ 3 ส.ค.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เดินสายพบสื่อสายออนไลน์เป็น เริ่มที่

ผู้บริหารสำนักข่าว the standard และ THE MATTER ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรี เดินสายพบสื่อออนไลน์ ภายหลังจากก่อนหน้านี้ เคยหารือกับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับ เพื่อรับฟังมุมมองและข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนประเทศไทย ตามที่นายกฯ ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้

2.เว็ปไซต์ "The Standard" รายงานทรัมป์เซ็นคำสั่งแบน TikTok, WeChat มีผล 20 ก.ย. โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวานนี้ (6 สิงหาคม) โดยห้ามชาวอเมริกันทำธุรกิจกับ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันวิดีโอตอนสั้นยอดนิยมของจีน รวมถึงห้ามทำธุรกรรมกับ WeChat แอปพลิเคชันรับส่งข้อความชื่อดังของ TenCent ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. โดยให้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

Forbes รายงานว่า คำสั่งดังกล่าวจะมีผลใน 45 วันข้างหน้าแต่ระหว่างนี้คาดว่าจะมีการต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง โดยกำหนดการดังกล่าวเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ทรัมป์ขีดเส้นตายให้ Microsoft และ ByteDance เร่งเจรจากัน เพื่อขาย TikTok ให้กับบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันภายในวันที่ 15 กันยายน เพื่อแลกกับโอกาสที่แอปฯ ดังกล่าวจะไม่ถูกแบนในสหรัฐฯ ขณะที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้โหวตอนุมัติกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่โหลดแอปฯ TikTok ในอุปกรณ์ของรัฐบาล

นอกจาก TikTok แล้ว ทรัมป์ยังสั่งแบนแอปฯ WeChat รวมถึงบริษัทแม่อย่าง TenCent ด้วย อย่างไรก็ตามเวลานี้ยังไม่ชัดเจนว่าการแบนดังกล่าวมีผลกับผู้ใช้ WeChat ในสหรัฐฯ ด้วยหรือไม่ ในขณะที่ TenCent มีการลงทุนในบริษัทของสหรัฐฯ หลายแห่ง โดยนอกเหนือจากแอปฯ รับส่งข้อความแล้ว TenCent ยังมีธุรกิจเกมมือถือ เช่น PUBG Mobile และ League of Legends

ทั้งนี้ ในคำสั่งประธานาธิบดีระบุว่า เหตุผลที่แบนแอปฯ จากจีนเป็นเพราะเกิดเหตุฉุกเฉินแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทรัมป์กล่าวว่า แอปฯ เหล่านี้อาจถูกใช้ในการส่งต่อข้อมูลผิดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในขณะที่รัฐบาลกังวลว่า TikTok สามารถเก็บข้อมูลจากผู้ใช้ได้อัตโนมัติ ทั้งข้อมูลอินเทอร์เน็ต รวมถึงข้อมูลโลเคชันและประวัติการค้นหา

3.เว็ปไซต์ "กรุงเทพธุรกิจ" รายงาน TikTok เล็งฟ้องรบ.สหรัฐ เคือง ‘ทรัมป์’ สั่งแบน โดยเนชั่นแนล พับลิค เรดิโอ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ติ๊กต็อกเตรียมที่จะยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐอย่างเร็วที่สุดในวันอังคารที่ 11 ส.ค.เนื่องจากทรัมป์ไม่ได้เปิดโอกาสให้บริษัทได้ชี้แจง และการดำเนินการโดยอ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคงของสหรัฐถือเป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งข้อมูลสนับสนุน ภายหลังติ๊กต็อกได้โพสต์ลงบล็อกภายหลังจากที่ผู้นำสหรัฐออกคำสั่งแบนว่า การดำเนินการดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกและบริษัทจะดำเนินการทุกช่องทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการเยียวยา ทั้งนี้ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีห้ามไม่ให้บุคคลหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) ซึ่งเป็นบริษัทแม่และเจ้าของ ติ๊กต็อก แอพพลิเคชั่นแชร์คลิปวิดีโอ โดยให้มีผลบังคับใช้ในอีก 45 วัน

การลงนามคำสั่งดังกล่าวมีขึ้นในวันที่ 6 ส.ค.หลังจากที่นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้ทำการแบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ ของจีนจากแพลตฟอร์มแอปสโตร์ของบริษัทสหรัฐ โดยระบุว่าแอพของจีนไม่น่าไว้ใจ และเป็นภัยคุกคามข้อมูลส่วนบุคคลชาวอเมริกัน อีกทั้งยังได้เรียกร้องให้ทำการแบนบริษัทจีนบางรายด้วยเหตุผลด้านสิทธิมนุษยชนด้วย

4.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานฮ่องกงใช้กฎหมายมั่นคงใหม่ รวบตัวเจ้าพ่อสื่อ ‘จิมมี ไหล’ โดยนายจิมมี ไหล นักธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนผู้ร่ำรวย และทรงอิทธิพลของฮ่องกง ถูกจับกุมตัวภายใต้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ของฮ่องกง ในข้อหาต้องสงสัยว่าได้กระทำการอันเป็นการสมคบคิดกับกองกำลังต่างชาติ ทั้งนี้ ผู้ช่วยของนายไหลได้ทวีตข้อความดังกล่าว เพื่อให้สาธารณะรับทราบ โดยนายไหลนับเป็นหนึ่งในผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกงคนสำคัญ และยังเป็นผู้ที่มักจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่อยู่เสมอ สำหรับนายไหล เป็นเจ้าของบริษัทสื่อ เน็กซ์ ดิจิทัล ซึ่งเป็นผู้พิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันแอปเปิล เดลี นับเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ถูกควบคุมตัวภายใต้กฎหมายความมั่นคงใหม่ของฮ่องกง ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2562 ซึ่งทำให้ชาติตะวันตกออกมาวิพากษ์วิจารณ์และดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว ที่จีนยืนยันว่าเป็นกิจการภายในของจีน

5.เว็ปไซต์ "เนชั่นสุดสัปดาห์" รายงาน "รมว.ดีอี" ขีดเส้น 15 วันเฟซบุ๊ก-ยูทูป-ทวิตเตอร์ ลบเนื้อหาไม่เหมาะสม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ออกมาเปิดเผยว่า การดำเนินคดีกับแอคเคาท์ที่กระทำความผิด และไม่เหมาะสมในออนไลน์นั้น ได้ส่งศาลไปแล้วประมาณ 700 เรื่อง รวมถึงแอคเคาท์ก่อนหน้านี้อีก 3,100 เรื่อง โดยศาลมีคำสั่งออกมา จึงดำเนินการส่งต่อให้แพลตฟอร์มต่างประเทศได้ทราบคำสั่งศาลไทยให้ปิดหรือลบตามคำสั่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 27 หากภายใน 15 วัน ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูป ทวิตเตอร์ ไม่ดำเนินการ จะเริ่มดำเนินคดีกับแพลตฟอร์มต่างประเทศ หากไม่ดำเนินการมีโทษทางอาญาและโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท และปรับรายวันอีกไม่เกิน 5,000 โดยจะดำเนินการทั้ง ไอพีที่อยู่ในไทยและต่างประเทศ

6.เว็ปไซต์ "ไทยโพสต์" รายงานกองทุนพัฒนาสื่อฯ จัดสรรเงิน 300 ล้าน ผลิตสื่อน้ำดี ปีแรกเพิ่มประเภทความร่วมมือ โดยอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 4/2563 ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นประธานเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้รับทราบคำสั่งแต่งตั้ง นายธนกร ศรีสุขใส เป็นผู้จัดการกองทุนฯ คนใหม่ พร้อมรายงานวิสัยทัศน์และนโยบายการพัฒนาองค์กร และได้อนุมัติการจัดสรรเงินทุนเพื่อผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แก่โครงการประจำปี 2563 จำนวน 3 ประเภท จำนวน 300 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.โครงการประเภทเปิดรับทั่วไป (Open Grant) จำนวน  90 ล้านบาท 2.โครงการประเภทเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) จำนวน 180 ล้านบาท และ 3.โครงการประเภทความร่วมมือ (Collaborative Grant) จำนวน 30 ล้านบาท ซึ่งโครงการประเภทนี้ถือว่าเป็นการเปิดให้ทุนสนับสนุนเป็นปีแรก เนื่องจากที่ประชุมต้องการให้การสนับสนุนทุนมีความหลากหลายมีเครือข่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้เครือข่ายเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้มีเวทีผลิตสื่ออย่างสร้างสรรค์ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ในที่ประชุมได้มอบหมายให้ผู้จัดการกองทุนฯ ได้จัดตั้งคณะวิทยากรเพื่อให้ความรู้กับผู้สนใจที่จะยื่นโครงการขอรับการสนับสนุนเงินทุน ให้รับทราบถึงการเปิดให้ทุนยังสถาบันการศึกษาต่างๆ ปีนี้จะให้ความสำคัญกับกลุ่มเยาวชนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเป็นกลุ่มที่ใช้สื่อที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ดังนั้น จึงให้จัดเตรียมทีมงานสำหรับการลงพื้นที่เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขั้นตอนการเสนอขอรับทุน การเขียนแผนงานโครงการ กระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการทั้ง 3 ประเภทกลางเดือน ส.ค.นี้ ขณะเดียวกันยังได้จัดสรรงบประมาณที่เป็นงบเหลือจ่ายของปี 2563 กว่า 8 ล้านบาทสำหรับการเปิดเวทีให้ข้อมูลการเสนอขอรับทุนแก่ผู้สนใจอย่างทั่วถึง

"ธนกร ศรีสุขใส" ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระบุว่า คณะกรรมการกองทุนคาดหวังการให้ทุนในปีนี้จะมีผลงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในวงกว้าง โดยการสนับสนุนเนื้อหาขยายผลงานผู้รับทุนให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่กองทุนเตรียมความพร้อมและผนึกกำลังสร้างทีมเวิร์ค พร้อมให้บริการดูแลผู้รับทุนทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มเป้าหมายเด็ก เยาวชน และครอบครัว  การมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังสื่อ อีกทั้งใช้สื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ทั้งด้านท่องเที่ยว เศรษฐกิจชุมชน รวมถึงวัฒนธรรมพื้นถิ่น โดยสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จะประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการ ประจำปี 2563 โดยผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.thaimediafund.or.th และเพจเฟซบุ๊กกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

7.เว็ปไซต์ "TNN24" รายงานสหรัฐฯ เผยมีคนเชื่อข่าวปลอมโควิด-19 จนเสียชีวิตถึง 800 ราย โดยวารสาร American Journal of Tropical Medicine and Hygiene ตีพิมพ์ข้อมูลในสารสารทางการแพทย์ เรื่องผลการศึกษาใหม่ล่าสุดที่พบว่า ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จเกี่ยวกับโควิด19 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 800 รายทั่วโลก ในช่วงเวลาเพียง 3 เดือนแรกของปีนี้ และยังทำให้คนอีก 5,800 ราย ต้องบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตจำนวนมาก มีสาเหตุมากจากการดื่มแอลกอฮอล์ชนิดเมธานอล ซึ่งเป็นชนิดที่รับประทานไม่ได้ หรือผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีแอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสม โดยข่าวปลอมทำให้พวกเขาเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ สามารถรักษาโควิด19 ได้

นอกจากนี้ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ คือผู้ที่ทำตามคำแนะนำทางการแพทย์ ที่ดูเหมือนเชื่อถือได้ เช่น ให้รับประทานวิตามิน หรืออาหารที่เป็นสมุนไพร เช่น กระเทียม ในปริมาณมากๆ จะป้องกันโควิด19 ได้ มีการแนะนำกระทั่งว่า ให้ดื่มน้ำปัสสาวะของวัว โดยข้อมูลที่ผิดๆ เหล่านี้ ล้วนผลร้ายต่อสุขภาพของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ เคยเตือนว่า ข้อมูลข่าวสารแบบผิดๆ เกี่ยวกับโควิด19 ซึ่งดับเบิลยูเอชโอเรียกว่าเป็น “การระบาดของข่าวปลอม” เกี่ยวกับโควิด19 นั้น แพร่ระบาดไปรวดเร็วเสียยิ่งกว่าการระบาดของโควิด19 เอง ข่าวปลอมเหล่านี้ได้แก่ ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ เกี่ยวกับต้นตอการระบาดของโควิด19 ข่าวลือต่างๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมการตีตราทางสังคม ได้ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ไม่ต่างจากตัวเชื้อโควิด19 เองด้วย

8.เว็ปไซต์ "ฐานเศรษฐกิจ" รายงานเปิดจุดยืน 4 ข้อกลุ่มทีวีดิจิทัล ภายหลังจากที่สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล(ประเทศไทย) ได้มีการประชุมกลุ่มย่อย ร่วมกับโครงข่ายทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ซึ่ง กสทช.จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และ กสทช.เสนอยกช่อง 1-10 ให้ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีจัดเรียงช่องเองอิสระ ส่วนทีวีดิจิตอล อยู่หมายเลข 11-36 ตามเดิม อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อยุติเนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างความเสียหายของตน  นอกจากนั้นแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯกสทช.ก็ยังไม่มีข้อสรุปในแนวทางแก้ไขปัญหา เพราะองค์ประชุมไม่ครบ โดยสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล(ประเทศไทย) ได้เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้สมาคมฯต้องประกาศจุดยืนและแนวทางการต่อสู้ในฐานะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ จากปัญหานี้ ทั้งหมด 4 ข้อ

-จุดยืนข้อแรก คือการ เป็นสื่อหลักเพื่อประโยชน์สาธารณะ เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการปฏิรูปสื่อตามนโยบายของรัฐ เมื่อการเปลี่ยนผ่านของทีวีภาคพื้นดินไม่เป็นไปตามแผนงาน การคงไว้ซึ่ง ประกาศ “must carry” ปี 2555 และ ประกาศ ”เรียงช่อง” ปี 2558 ให้โครงข่ายการรับชมอื่นๆทั้งทีวีดาวเทียม และ เคเบิลทีวี นำช่องรายการของทีวีดิจิตอล ไปออกอากาศตรงตามหมายเลขการประมูล ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการ “ชดเชย” และ “ทดเแทน” โครงข่ายภาคพื้นดิน เพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหล ที่คนดูหาช่องไม่เจอซ้ำรอยในอดีตที่นับเป็นความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก

-จุดยืนข้อที่สอง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบดิจิตอล ทำให้ไม่มีผู้เสียหายจากการเรียงช่อง มีแต่ผู้แสวงประโยชน์ จากการยกเลิก “ประกาศเรียงช่อง” เนื่องจากปัจจุบันการใช้คลื่นความถี่ในโครงข่าย ของ ”ทีวีดาวเทียม” และ “เคเบิลทีวี” เป็นไปอย่างไม่จำกัด สามารถจัดรูปแบบการเรียงช่องเป็นหมวดหมู่เพื่อบริการผู้ชมที่เป็นสมาชิกตามความต้องการของผู้ประกอบการแต่ละราย ซึ่งผู้ประกอบการโครงข่ายก็ยืนยันเองว่า ปัจจุบันไม่มีปัญหาเรื่องการจัดลำดับและหมวดหมู่หมายเลขช่องกับสมาชิกตามความต้องการแต่ละพื้นที่แล้ว แต่สำหรับ ทีวีดิจิตอล “การเรียงช่อง” ตามลำดับหมายเลขการประมูลให้ตรงกันทั้งประเทศ ในทุกโครงข่ายทุกช่องทางการรับชม เป็นความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรม เพราะเป็นเงื่อนไขหลักที่ผู้ประกอบการทุ่มเงินประมูลเพื่อสิทธิ์ในการเลือกหมายเลขช่องเพื่อง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ชม และต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการทำการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้ชมจนเกิดการจดจำ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลง ย่อมเกิดความสับสนต่อผู้ชมจนหาช่องไม่เจอ เกิดความเสียหายต่อการอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างประเมินค่าไม่ได้

-จุดยืนข้อที่สาม หากมีการเปลี่ยนแปลงประกาศ “เรียงช่อง” ปี 2558 ไม่ว่ารูปแบบใดๆ ย่อมเกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมทีวีดิจิตอลอย่างมากมายมหาศาล เพราะช่องที่ออกอากาศในหมายเลข 1-10 ในโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีตามข้อเสนอของ กสทช. ย่อมเป็นคู่แข่งขันทางธุรกิจต่อทีวีดิจิตอล แต่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก ไม่ต้องแบกภาระต้นทุนค่าใบอนุญาต ส่งผลถึงคุณภาพการผลิตของทีวีดิจิตอลในอนาคต กระทบต่อความนิยมและเกิดการตัดราคาค่าโฆษณา หรือหากศาลยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น จะก่อให้เกิดสุญญากาศสำหรับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทันที เพราะลำดับช่องรายการไม่เป็นไปตามเดิม ผู้ชมสับสน หาช่องเดิมไม่เจอ เป็นโอกาสของเทคโนโลยีการรับชมใหม่ทางออนไลน์อย่าง OTT ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี 5G จะเกิดความเสียหายมหาศาลเกินกว่าจะเยียวยาได้ และอาจถึงจุดล่มสลายของทีวีดิจิตอล สื่อหลักของชาติในที่สุด

-จุดยืนข้อที่สี่ “ประกาศเรียงช่อง ปี 2558” คือหัวใจสำคัญในการประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิตอล และเป็นหัวใจในการเข้าถึงสื่อสาธารณะของผู้ชมทีวี หากต้องเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดความเสียหาย และจะเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลยื่นฟ้อง กสทช.ต่อศาลปกครองอีกครั้งอย่างแน่นอน

9.เว็ปไซต์ "ไทยรัฐออนไลน์" รายงานชาวฮ่องกงท้าทาย แห่ซื้อหุ้นและนสพ. Apple Daily หลัง 'จิมมี่ ไหล' ถูกจับ โดยประชาชนชาวฮ่องกงไม่นิ่งเฉย แห่ซื้อหนังสือพิมพ์ ซื้อหุ้นพุ่ง 1,000% อุดหนุนร้านอาหารของ จิมมี่ ไหล หลังเจ้าพ่อวงการสื่อถูกจับเซ่นกฎหมาย หลังจากที่ Jimmy Lai (จิมมี่ ไหล) เจ้าพ่อสื่อฮ่องกงที่ต่อต้านการยึดครองของจีนถูกจับ เหตุการณ์ดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวฮ่องกงจำนวนไม่น้อยเลย ความเคลื่อนไหวเรื่องร้องสิทธิต่างๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ต้องหยุดชะงักลง แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยเสียทั้งหมด หลังล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา สื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานว่า ชาวฮ่องกงจำนวนมากแห่กันออกไปซื้อหนังสือพิมพ์ Apple Daily จนเกลี้ยงแผงที่วางขายทั่วฮ่องกง ซึ่งเป็นของนายจิมมี่ ไหล เจ้าพ่อแห่งวงการสื่อของฮ่องกงที่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ฐานต้องสงสัยสมคบคิดกับต่างชาติ ซึ่งผิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่

เหตุนี้ทำให้แอปเปิล เดลี ต้องตีพิมพ์เพิ่มมาอยู่ที่ 550,000 ฉบับ จากเดิมที่มียอดขายปกติราวๆ เพียง 70,000 ในแต่ละวัน โดยผู้ซื้อบางรายถึงขั้นทุ่มทุนซื้อหนังสือพิมพ์ของ Apple Daily ไปทีละหลายสิบฉบับ เพื่อนำไปแจกต่อให้กับประชาชนคนอื่นๆ ไม่เพียงเท่านั้น นักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็มีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ พากันแห่ซื้อหุ้นของ เน็กซ์ ดิจิทัล บริษัทสื่อมวลชนของนายไหล ที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย ทำเอามูลค่าหุ้นทะยานขึ้นไปเกือบ 1,000% ความท้าทายยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ชาวฮ่องกงจำนวนมากต่างพร้อมใจกันออกไปเข้าแถวอย่างยาวเหยียด เพื่ออุดหนุนร้านอาหารของ นายจิมมี่ ความเคลื่อนไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนชาวฮ่องกงต่อการสนับสนุนนายจิมมี่ และยังแสดงถึงการต่อต้านรัฐบาลจีนในอีกรูปแบบหนึ่ง

10.เว็ปไซต์ "เนชั่นทีวี" รายงานแจงปมผู้สื่อข่าวหญิงปกปิดต้นสังกัดรายงานข่าวม็อบ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่มีคอมเมนท์ในโซเชียลมีเดียและเพจดังที่ติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการรายงานข่าวการชุมนุมของ "กลุ่มประชาชนปลดแอก" ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2563 โดยผู้สื่อข่าวหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานของเนชั่นทีวี กรณีที่ผู้สื่อข่าวขอสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมโดยไม่ยอมได้แจ้งสังกัดที่แท้จริง แต่กลับแจ้งว่าเป็นผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์อีกช่องหนึ่งนั้น

กองบรรณาธิการเนชั่นทีวี ได้ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น และได้สอบถามผู้สื่อข่าวหญิงรายดังกล่าวแล้ว พบว่าข้อมูลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันนั้นเป็นความจริง ทางเนชั่นทีวีจึงต้องขออภัยมายังบุคคลที่ถูกสัมภาษณ์, ผู้ชมทุกท่าน ตลอดจนประชาชนทั่วไปมา ณ ที่นี้

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า สาเหตุที่ผู้สื่อข่าวหญิงรายนี้ต้องปกปิดสังกัดตัวเอง เป็นเพราะผู้สื่อข่าวมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย เกรงว่าหากบอกสังกัดที่แท้จริงไป อาจจะถูกกดดันการทำหน้าที่ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวของเนชั่นทีวีที่ลงพื้นที่ติดตามข่าวการชุมนุมในหลายๆ สถานที่ ได้ถูกคุกคาม กดดัน ตะโกนต่อว่า รวมไปถึงด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายมาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังมีสร้างแคมเปญรณรงค์ให้เลิกดูเนชั่นด้วย

ประกอบกับผู้สื่อข่าวหญิงรายนี้เป็นนักข่าวที่ประจำอยู่สายงานอื่น ไม่ใช่สายงานการเมือง แต่ต้องไปช่วยปฏิบัติหน้าที่กับผู้สื่อข่าวสายการเมืองในวันหยุด ทำให้ไม่มีประสบการณ์มากนักในการรายงานข่าวกลางกลุ่มผู้ชุมนุม จึงรู้สึกกดดันตัวเอง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด

สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ทางกองบรรณาธิการไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เรียกผู้สื่อข่าวหญิงรายนี้มาทำความเข้าใจ และได้กำชับไม่ให้กระทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก โดยการไปรายงานข่าวภาคสนามทุกครั้ง จะต้องแจ้งชื่อและสังกัดอย่างตรงไปตรงมา และพร้อมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น โอกาสนี้ทางกองบรรณาธิการขอแสดงความเสียใจและขอโทษไปยังสถานีโทรทัศน์ที่ถูกอ้างถึงด้วย

11.เว็ปไซต์ "blognone.com" รายงานพนักงาน TikTok เตรียมฟ้องศาลสหรัฐ ให้ทรัมป์แก้ไขคำสั่ง เพื่อให้พนักงานยังรับเงินเดือนได้หลังแอปโดนแบน โดย Patrick Ryan หนึ่งในพนักงานแอป TikTok ในแคลิฟอร์เนีย ได้เริ่มแคมเปญระดมเงินทุน เพื่อฟ้องทรัมป์ให้แก้ไขคำสั่งประธานาธิบดี ที่ส่วนหนึ่งระบุว่า ห้ามไม่ให้ใช้ทรัพย์สินไม่ว่าอยู่ที่ใด สนับสนุนการดำเนินการของ TikTok ของบริษัท ByteDance หลังเส้นตายในคำสั่ง ซึ่งแปลว่าพนักงานกว่า 1,500 คน อาจไม่สามารถรับเงินเดือนหรือเงินชดเชยจากบริษัทได้ หาก Microsoft ไม่สามารถปิดดีลซื้อ TikTok ได้ทันเวลา

ปัจจุบันแคมเปญนี้ระดมเงินทุนได้เกือบ 12,000 เหรียญสหรัฐ จากการบริจาคกว่า 40 ครั้ง และมีเป้าหมายเงินทุนเพื่อใช้ในกระบวนการศาลอยู่ที่ 30,000 เหรียญ โดย Mike Godwin นักกฎหมายสายนโยบายเทคโนโลยี กล่าวว่าคำสั่งแบน TikTok นี้ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการปกป้องทรัพย์สินของประชาชนสหรัฐ และเป็นคำสั่งที่ไร้ซึ่งเหตุผล

ส่วนทำเนียบขาวยังไม่อธิบายถึงเนื้อหาในคำสั่ง ว่าการห้ามทำธุรกรรมนี้ หมายรวมถึงการจ่ายเงินเดือนหรือเงินชดเชยให้กับพนักงานหรือไม่ ส่วน Reuters รายงานว่าอาจมีการสั่งห้ามซื้อโฆษณาบนแอป และห้ามไม่ให้มีแอปบน App Store ต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินเดือน ส่วน TikTok ยืนยันว่าจะดำเนินการทุกทาง เพื่อให้พนักงานและผู้ใช้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และคาดว่าจะยื่นฟ้องศาลเพื่อขอความเป็นธรรมต่อไป

12.กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม ประจำปี 2563 วงเงินงบประมาณไม่เกิน 300 ล้านบาท จำนวน 3 ประเภท ประกอบด้วย 1.โครงการประเภทเปิดรับทั่วไป (Open Grant) กรอบวงเงินไม่เกิน 90 ล้านบาท 2.โครงการประเภทเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) กรอบงบวงเงินไม่เกิน 180 ล้านบาท 3.โครงการประเภทความร่วมมือ (Collaborative Grant) กรอบงบวงเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถยื่นข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมได้ที่ เว็บไซต์ www.thaimediafund.or.th ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. – 3 ก.ย. 2563

13.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายกฯจะเริ่มแถลงและตอบคำถาม นายกฯได้ถอดหน้ากากอนามัยพร้อมยิ้มให้กับบรรดาช่างภาพรัวชัตเตอร์ พร้อมกล่าวว่า “ยิ้มด้วยความจริงใจ และยินดีได้พบกับสื่ออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราพบกันวันละหลายครั้งเหมือนกัน และหลายวันนี้ก็พบกันบ่อย” โดยการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ของพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งผลการประชุม ครม.และการตอบคำถามของสื่อมวลชนที่ส่งมาล่วงหน้า ได้ใช้เวลาสั้นๆเพียง 10 นาที ขณะที่การตอบคำถามผู้สื่อข่าวในช่วงท้ายแตกต่างจากทุกครั้ง โดยนายกฯได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า วันนี้มีเวลาให้ 3 คำถามเท่านั้น ก่อนจะชี้ไปผู้สื่อข่าวแต่ละคนให้ถาม พร้อมกล่าวว่า ส่วนคนใดที่ไม่ได้ชี้ก็จะยังไม่อนุญาตให้ถาม โดยแต่ละคำถามพล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบทุกประเด็น

14.เว็ปไซต์ "NewTV" รายงานรักษาการ บก.บห.NEW 18 เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับ ปอท. ปมถูกแอบอ้างชื่อเพื่อขอสัมภาษณ์ผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยนายพงษ์พิพัฒน์ จินดาศรี รักษาการบรรณาธิการบริหารนิว 18 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทดีเอ็นบรอดคาสท์ จำกัด หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง NEW 18 เดินทางเข้าแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ที่กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. สืบเนื่องจากมีบุคคลแอบอ้างเป็นผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง NEW 18 ก่อนไปสอบถามผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยนายพงษ์พิพัฒน์ กล่าวว่า ได้นำหลักฐานเป็นเอกสารการแชร์ภาพของผู้ถูกให้สัมภาษณ์ ซึ่งกล่าวตำหนิบุคคลผู้แอบอ้างชื่อสถานีโทรทัศน์ NEW 18 แต่กลับนำเทปสัมภาษณ์ไปออกในช่วงข่าวของสถานีโทรทัศน์อีกช่องหนึ่ง รวมทั้งหลักฐานการโพสต์เฟซบุ๊กของผู้แอบอ้างที่ยอมรับว่าก่อนสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมระบุว่าเป็นสื่อมวลชนของช่องอื่น เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการลงบันทึกประจำวัน

15.เว็ปไซต์ "คมชัดลึก" รายงานจากใจเนชั่นหลังเจอทัวร์ลงหนักถึงขั้นติด #แบนสปอนเซอร์เนชั่น โดยเนชั่น22 ออกแถลงชี้แจงกระแสข่าวโจมตีในหลายเรื่องราว จากประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์ ที่มีการติดแฮชแท็ก #แบนสปอนเซอร์เนชั่น ในโลกทวิตเตอร์ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการและผู้ผลิตสินค้าได้รับความเสียหาย ทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรายงานข่าวของสื่อ

นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการเนชั่นทีวีได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เรียน สปอนเซอร์ผู้สนับสนุนและผู้ชมเนชั่นทีวีทุกท่าน

ตามที่มีกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะทวิตเตอร์ที่มีการติดแฮชแท็ก #แบนสปอนเซอร์เนชั่น จากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการนำเสนอข่าวการเมืองเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มประชาชนปลดแอกนั้น ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีไม่ได้นิ่งนอนใจ และขอแถลงทำความเข้าใจตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.เนื่องจากสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีมีสถานะเป็น "สถานีข่าว" จึงมีหน้าที่รายงานเหตุการณ์ต่างๆ และความเป็นในบ้านเมืองทุกด้าน ซึ่งเนชั่นทีวีก็ถือเป็นหลักปฏิบัติตลอดมาบนพื้นฐานของจริยธรรมและกรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยนำเสนอข่าวทุกมิติทุกด้าน โดยไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งข่าวการเมือง สังคม อาชญากรรม เศรษฐกิจ และต่างประเทศ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ชมด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เท่าทันสถานการณ์

2.กรณีที่มีการสร้างกระแสว่าผู้สื่อข่าวภาคสนามของเนชั่นทีวีไม่ได้แจ้งสังกัดที่แท้จริง ระหว่างการลงพื้นที่รายงานข่าวการชุมนุมและขอสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมนั้น ทางกองบรรณาธิการได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว พบว่าเป็นความจริง โดยผู้สื่อข่าวชี้แจงว่าสาเหตุที่ต้องปกปิดต้นสังกัด เนื่องจากในการรายงานข่าวการชุมนุมหลายๆ พื้นที่ที่ผ่านมา ทีมข่าวเนชั่นถูกคุกคาม ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และกดดันการปฏิบัติหน้าที่มาตลอด ทำให้ผู้สื่อข่าวภาคสนามรายนี้ รู้สึกวิตกกังวล จึงตัดสินใจผิดพลาด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งทางกองบรรณาธิการ ก็ได้เรียกมาตักเตือนและลงโทษตามระเบียบบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว โดยได้จัดทำข่าวและแถลงการณ์ชี้แจงเผยแพร่ในทุกช่องทาง

ส่วนเนื้อหาของข่าวที่ผู้สื่อข่าวหญิงรายนี้นำเสนอผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ไม่มีข้อความใดที่บิดเบือนข้อเท็จจริง แต่เป็นการสร้างกระแสจากฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมือง จนเกิดความเข้าใจผิด และมีการแชร์ข้อความรวมทั้งแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา

"เนชั่นทีวี" ขอยืนยันว่า ได้ทำหน้าที่รายงานข่าวทุกข่าวตามข้อเท็จจริงทุกด้าน และเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่ถูกพาดพิงได้ชี้แจงทุกครั้ง เรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้จากหน้าจอเนชั่นทีวีทุกช่วง ทุกรายการ และทางสถานีแทบไม่เคยมีประเด็นถูกฟ้องร้องจากฝ่ายการเมืองทุกกลุ่มทุกฝ่าย

3.การสร้างกระแสในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทวิตเตอร์ ให้แบนสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ของเนชั่นทีวีนั้น ทางสถานีขอชี้แจงว่า สปอนเซอร์ที่เป็นผู้สนับสนุนทั้งหมด ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวของสถานีไม่ว่าในทางใดๆ ก็ตาม จึงใคร่ขอความกรุณาทุกฝ่าย หยุดนำแบรนด์สินค้าหรือตราสัญลักษณ์ของบริษัทเอกชน ที่เป็นสปอนเซอร์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการรายงานข่าว หรือเป็นเครื่องมือในการแสดงความเห็นทางใดทางหนึ่งต่อเนชั่นทีวี เพราะถือเป็นการกระทำที่สร้างความเสียหายต่อแบรนด์สินค้าอย่างไม่เป็นธรรม

4.ข้อมูลหลายอย่างที่เกี่ยวกับเนชั่นทีวี และปรากฏอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้ เกือบทั้งหมดเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือน บางเรื่องก็เป็นภาพข่าวเก่าที่นำมาตัดต่อใหม่เพื่อกล่าวหา โจมตี โดยใช้ Hate Speech เพื่อสร้างความเกลียดชัง และสร้างความแตกแยกแบ่งฝ่ายในบ้านเมือง ซึ่งทางเนชั่นทีวีได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายโดยไม่ละเว้น และจะเอาผิดจนถึงที่สุด

จึงเรียนมาเพื่อความเข้าใจ และขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีด้วยดีเสมอมา เรายืนยันว่าจะยืนหยัดการรายงานข่าวที่ถูกต้องบนพื้นฐานของจริยธรรมและกรอบจรรยาบรรณ ตลอดจนพิทักษ์รักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เนชั่นทีวีเป็นหลักในการนำเสนอข่าวสารเพื่อบ้านเมืองต่อไป

 

16.เว็ปไซต์ "nationtv" รายงาน "ฉาย บุนนาค" ประธานเครือเนชั่นกรุ๊ป ส่งสารถึงพี่น้องประชาชน ลูกค้า และพนักงาน โดยมีเนื้อหาระบุว่า กราบเรียนพี่น้องประชาชน ลูกค้าผู้มีอุปการคุณ และพนักงานกลุ่มบริษัทในเครือเนชั่นทั้งหลาย เป็นที่แน่ชัดว่าวันนี้ องค์กรสื่อที่มีอายุยาวกว่า 49 ปีอย่าง "เครือเนชั่นกรุ๊ป" กำลังถูกคุกคามอีกครั้ง จากกลุ่มคนที่เห็นต่างและไม่หวังดี การคุกคาม กลั่นแกล้ง และให้ร้ายนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Bully) รวมถึงผ่านการโทรศัพท์ข่มขู่ และเป็นที่น่าสลดใจยิ่ง ที่การคุกคามครั้งนี้ ได้ลามไปถึงการระรานลูกค้าและพนักงานในเครือของเรา จนส่งผลต่อธุรกิจและขวัญกำลังใจของพนักงานใน "เครือเนชั่นกรุ๊ป" อย่างปฏิเสธไม่ได้

ในฐานะของประธาน "บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)" หรือ "เนชั่นทีวี ช่อง 22" ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจ จากผู้ชม ผู้ติดตาม ลูกค้า และพนักงาน ที่ส่งมาถึงองค์กรอย่างล้นหลาม ปรากฏการณ์คุกคามองค์กรสื่อสารมวลชนและ "สถาบันสื่อเครือเนชั่นกรุ๊ป" ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดหากท่านยังจำได้ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2549 "สื่อเครือเนชั่น" เคยถูกคุกคามจากการใช้ม็อบคาราวานคนจนปิดล้อมตึก รวมถึงการใช้พฤติกรรมกักขังหน่วงเหนี่ยวกลุ่มผู้สื่อข่าวมาแล้ว โดยต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2552 ศาลอาญากรุงเทพได้มีคำพิพากษาจำคุก 6 แนวร่วม นปช. เป็นที่เรียบร้อย

แน่นอนว่าทุกครั้งที่พายุฝนโหมกระหน่ำประดังเข้าใส่... เมื่อฟ้าร้องฟ้าผ่าดังอื้ออึง... คงมีหลายต่อหลายคนที่อาจมีความไหวหวั่นบ้าง อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำองค์กร ผมยืนยันต่อพี่น้องประชาชนอีกครั้ง ว่าเรา... พนักงานเครือเนชั่นกรุ๊ปจะยืนหยัดยึดมั่นในอุดมการณ์เพื่อดูแลปกป้อง ประเทศชาติ ศาสนา รวมถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง จนชีวิตจะหาไม่ และนี่คือปณิธานอันแน่วแน่ของเรา...

เราจะฟันฝ่าพายุลูกนี้ด้วย "ขันติธรรม"... เรายอม "อด" ในสิ่งที่อยากได้ และเราพร้อม "ทน" ในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เราจะไม่กลัวที่จะก้าวผ่านทุกอุปสรรคปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ แต่เราจะไม่ยอมละทิ้งซึ่งอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง

คุณค่าของ "สื่อเครือเนชั่น" นี้ ไม่ได้อยู่ที่ โต๊ะเก้าอี้... เงินทอง... ผู้บริหาร... ผู้ถือหุ้น... หรือพนักงานคนใดคนหนึ่ง... แต่คือคุณค่าของเนื้อหาข่าวสาร จุดยืนและอุดมการณ์ในการทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในด้านธุรกิจ ขอพนักงานทุกท่านอย่าได้กังวล แม้เราอาจถูกกระทบไปบ้างจากภัยคุกคามครั้งนี้ แต่ผมในฐานะผู้นำองค์กร และฝ่ายบริหารก็ยังคมมั่นใจที่จะนำพาทุกท่านให้อยู่ได้อย่างมั่นคง มีเกียรติและศักดิ์ศรี ในการทำหน้าที่สื่อที่ดีสืบต่อไป สุดท้ายนี้ ผมขอฝากบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ความฝันอันสูงสุด" ไว้เป็นกำลังใจกับพี่น้องประชาชนและพนักงานในเครือเนชั่นกรุ๊ปทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้

17.เว็ปไซต์ "isranews" รายงานเช็คธุรกิจสื่อใหม่ ‘กาแฟดำ’ ของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ แจ้งงบการเงินปี 62 รายได้รวม 60.8 ล้าน กำไรสุทธิ 31 ล้าน มากกว่าปี 61 เกือบเท่าตัว หลังลาออกสื่อใหญ่ 'ค่ายบางนา' ครบปี? โดยมีรายได้รวม 36,915,808 บาท รายจ่ายรวม 17,735,451 บาท กำไรสุทธิ 15,323,028 บาทคืองบการเงินที่บริษัท กาแฟดำ จำกัด ของนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘สิทธิชัย หยุ่น’ นักข่าวอาวุโสชื่อดัง แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในช่วงปีแรกที่จัดตั้ง (รอบปี 2561) ภายหลังออกจากอาณาจักรสื่อ ‘เครือเนชั่น’ มาตั้งบริษัทใหม่รับจ้างทำรายการผลิตสื่อ

สำนักข่าวอิศรา เคยรายงานว่า บริษัท กาแฟดำ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2561 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 35 ซอย 37 (เพิ่มเติม) ถ.สุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ แจ้งประกอบธุรกิจรับโฆษณาทางสื่อออนไลน์ ข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค. 2563 ปรากฏชื่อ นายสุทธิชัย หยุ่น นายปราบดา แซ่หยุ่น นางนันทวัน แซ่หยุ่น และนายธวัช ยวงตระกูล เป็นกรรมการ ล่าสุด บริษัทแห่งนี้แจ้งงบการเงินรอบปี 2562 แล้ว ระบุว่า มีรายได้รวม 60,815,894 บาท ต้นทุนการขาย 11,021,905 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ 10,818,910 บาท รายจ่ายรวม 21,840,816 บาท เสียภาษีเงินได้ 7,819,945 บาท กำไรสุทธิ 31,155,133 บาท มีสินทรัพย์รวม 29,770,333 บาท เป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 28,314,178 บาท สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 1,456,155 บาท ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 907,359 บาท มีหนี้สินรวม 7,292,172 บาท

ขณะที่ปี 2561 ระบุว่า มีรายได้รวม 36,915,808 บาท มีต้นทุนการขาย 10,459,233 บาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ 7,276,217 บาท รายจ่ายรวม 17,735,451 บาท เสียภาษีเงินได้ 3,857,329 บาท กำไรสุทธิ 15,323,028 บาท

ในส่วนของสินทรัพย์ปี 2561 ระบุว่า มีสินทรัพย์รวม 26,169,557 บาท เป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 24,152,306 บาท สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 2,017,250 บาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 900,615 บาท มีหนี้สินรวม 9,846,528 บาท

ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า บริษัทสื่อแห่งใหม่ของ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ในรอบปี 2562 ที่ผ่านมา ‘เติบโต’ อย่างมาก มีรายได้ และกำไรมากกว่าปี 2561 เกือบเท่าตัว?

18.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงาน ประธานาธิบดีบราซิลขู่ต่อยปากนักข่าว โดยสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร ของบราซิล เกิดอารมณ์ขึ้น หลุดปากขู่อยากต่อยปากผู้สื่อข่าวรายหนึ่ง หลังจากถูกผู้สื่อข่าวจี้ถามถึงนางมิเชล โบลโซนาโร ภรรยาของผู้นำบราซิล ว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการที่นายฟลาวิโอ ลูกชายของประธานาธิบดีโบลโซนาโรกำลังถูกสอบสวนอยู่ในขณะนี้ด้วยหรือไม่

โดยหลังจากที่ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ “โอ โกลโบ” ดักสัมภาษณ์ประธานาธิบดีบราซิลขณะที่เขาเดินทางมายังโบสถ์ Metropolitan Cathedral ในกรุงบราซีเลีย ในวันอาทิตย์ (23 ส.ค.) ที่ผ่านมา โดยถามถึงประเด็นที่นิตยสาร Crusoe รายงานอ้างถึงนางมิเชลเกี่ยวข้องกับนายฟาบริซิโอ เครอซ อดีตนายตำรวจซึ่งเป็นทั้งเพื่อนของนายโบลโซนาโร และยังเป็นอดีตที่ปรึกษาของนายฟลาวิโอ ลูกชายของนายโบลโซนาโรที่ปัจจุบันเป็นวุฒิสมาชิก โดยทั้งนายเครอซและนายฟลาวิโอกำลังถูกเจ้าหน้าที่ทางการบราซิลสอบสวนอยู่ในคดีทุจริตเรียกรับเงินในโครงการหนึ่งขณะที่นายฟลาวิโอยังเป็นเพียง ส.ส.ท้องถิ่นในนครริโอเดจาเนโร และมีขึ้นก่อนที่นายโบลโซนาโรจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีบราซิลในปี 2019

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ประธานาธิบดีโบลโซนาโรสวนกลับนักข่าวจากโอ โกลโบ ทันควันว่า “ผมอยากจะซัดปากคุณสักหลายหมัด” หลังจากนั้นผู้นำบราซิลได้เดินชิ่งไป โดยไม่สนเสียงทักท้วงจากนักข่าวคนอื่นๆ ต่อคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้นำบราซิล ต่อมาหนังสือพิมพ์โอ โกลโบ ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับการกระทำอันก้าวร้าวของประธานาธิบดีโบลโซนาโรที่ปฏิบัติกับผู้สื่อข่าวของตน โดยยืนยันว่าผู้สื่อข่าวของโอ โกลโบ กำลังทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ และว่า การขู่คุกคามเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่านายฌาอีร์ โบลโซนาโร ไม่ยอมรับหน้าที่ในการเป็นผู้รับใช้ประชาชน ที่จะต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชน

19.เว็ปไซต์ "ไทยโพสต์" รายงาน “สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์” จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “ผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์” รุ่น 5 โดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) จัดอบรม โครงการ “อบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ รุ่นที่ 5” ฟรี สำหรับนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศระหว่างวันที่ 10-13 กันยายน 2563 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี สำหรับโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)

โครงการเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ รุ่นที่ 5  หรือ “Young Digital News Providers” นั้นเป็นโครงการอบรมสำหรับนิสิตนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วประเทศ สาขานิเทศศาสตร์ หรือวารสารศาสตร์ สาขาประชาสัมพันธ์หรือสื่อสารการตลาด, สาขาการออกแบบสื่อดิจิทัล, สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ สาขาที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 ขึ้นไป เพื่อเรียนรู้ทุกมิติของการผลิตข่าวบนโลกดิจิทัล

นอกจากนี้ยังให้มีการประกวด “เว็บไซต์ข่าวฝึกปฏิบัติยอดเยี่ยม” ระดับอุดมศึกษา โดยให้นิสิต นักศึกษาส่งผลงานจริงเข้าประกวดหลังจากได้ฝึกอบรมไปแล้ว ก่อนที่จะก้าวไปสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาที่สนใจสมัครเข้าร่วมอบรมโครงการ สามารถส่งใบสมัคร หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณธัญฉัต วจีเกษม โทรศัพท์ 081 700 2601 อีเมล์ SonpAssociation@gmail.com เปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2563 ประกาศผลผู้มีสิทธิเข้าร่วมอบรม ในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 หน้าเว็บไซต์ www.sonp.or.th และ

20.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงาน ‘ฉาย’ ส่งทีมกฎหมายแจ้งเอาผิด ‘นิธินันท์’ โพสต์หมิ่น จากกรณี น.ส.นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ อดีตบรรณาธิการอาวุโสเครือเนชั่น และอดีตคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์มติชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา กล่าวหา นายฉาย บุนนาค ประธานเครือเนชั่น ด้วยถ้อยคำรุนแรง หลังออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนขององค์กร กรณีถูกคุกคามด้วยรูปแบบต่างๆ จากกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองที่ปลุกกระแสต้านเนชั่น ล่าสุดนายฉายได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีอาญาต่อผู้ที่โพสต์ข้อความทั้งหมดในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งคาดว่าทีมกฎหมายจะเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน

21.เว็ปไซต์ "isranews" รายงาน 3 บก.รายการเนชั่นสุดสัปดาห์ แถลงยุติออกอากาศ -เตรียมหาแพลตฟอร์มใหม่ โดยผู้ดำเนินรายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก.คือนายวีระศักดิ์ พงษ์อักษร บรรณาธิการบริหาร นสพ.กรุงเทพธุรกิจ นายสมชาย มีเสน ซีอีโอเครือเนชั่นและนายบากบั่น บุญเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนสพ.ฐานเศรษฐกิจ ได้แถลงผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก เนชั่นสุดสัปดาห์ NationWeekend กรณีรายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก.ถูกสั่งให้ยุติออกอากาศทันที ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป โดยผู้บริหารเนชั่นทีวีช่อง 22 มีหนังสืออย่างเป็นทางการให้ยกเลิกรายการ เนื่องจากไม่เป็นไปตามนโยบายช่อง

"วีระศักดิ์" กล่าวว่า วันนี้มีข่าวสารที่จะบอกผู้ชมว่าตั้งแต่วันเสาร์ ที่ 29 ส.ค.เป็นต้นไป รายการเนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก.จะยุติการออกอากาศ รวมทั้งรายการเนชั่นสุดสัปดาห์ที่ออกอากาศวันอาทิตย์ ก็จะยุติการออกอากาศเช่นเดียวกัน เป็นคำสั่งของผู้บริหาร เนื่องจากเนื้อหาของรายการไม่ตรงกับจุดยืนของช่อง ขณะที่ "บากบั่น" กล่าวว่า ที่ผ่านมาทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นปรากฏการณ์อย่างชัดเจน โดยยังยืนยันจุดยืนเดิม คือเสนอข้อเท็จจริง อธิบายผลกระทบของสถานการณ์ รายการจึงอยู่มาอย่างยาวนานแต่จากนี้ต้องเปลี่ยนแปลง ด้านนายสมชาย กล่าวว่า 3 บก.ยังคงอยู่ แต่จะไปหาแพลตฟอร์มใหม่ รูปแบบใหม่มานำเสนอความจริง นายวีระศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า อดใจรอสักนิดว่าจะพบกับพวกเราอีกเมื่อไหร่ แล้วจะแจ้งให้ทราบ ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่าผู้บริหารที่สั่งให้ยุติการออกอากาศคือนายฉัตรชัย ผู้โคกหวาย กรรมการผู้จัดการบริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)