นายกสมัคร (หอก) หักสื่อ

นายกสมัคร (หอก) หักสื่อ

การปิดฉากนายกฯ “สมัคร สุนทรเวช” แม้จะยังอาลัยเก้าอี้ผู้นำประเทศแต่ด้วยกลเกมทางการเมืองของลูกพรรคเคี่ยวลากดินทั้งหลาย  ก็ทำให้เขาต้องอำลาเก้าอี้ในแบบชอกซ้ำใจพอสมควร  การเป็นนายกฯ นอมินี ได้เพียง 7 เดือนเศษ ๆ “สมัคร” ไม่มีผลงานใดที่เข้าตากรรมการ นอกจากความเป็น “คนดุดัน” และเป็นคนแก่ขี้บ่น เจ้าอารมณ์โดยเฉพาะกับสื่อ  หลายครั้งที่แสดงออกมาทำให้เห็นตัวตนของเขาอย่างชัดเจน

นี่ทำให้การทำหน้าที่ระหว่างสื่อมวลชน กับ “สมัคร” เป็นไปอย่างกระอักกระอ่วน มาตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานร่วมกัน  สำหรับ สมัคร  แล้วเขายังติดความเป็นส่วนตัว  ยังนึกว่าเป็นคนธรรมดาที่ไปไหนมาไหน  แล้วไม่ต้องมีใครติดตาม จึงลืมตัวไปว่า ตนเองเป็นบุคคลสาธารณะ  ซึ่งความเป็นส่วนตัวต้องถูกลดทอนลงไปเป็นธรรมดา

หากจะเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว มีชั้นเชิงการเล่นกับสื่อต่างกันสุดขั้ว “ทักษิณ” ใช้ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว กลมกลืนไปกับสื่อ จนทำให้ภาพของเขาออกมาเป็น “แฟมิลี่แมน” เพราะเขารู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากสื่อนั่นเอง   กระทั่งในช่วงวิกฤติ  ทักษิณ เขาจะพยายามยึดพื้นที่สื่อให้ได้มากที่สุด  แต่อย่างไรก็ตามเขามักจะพูดเสมอว่า สื่อมักจะโจมตีและไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย

แต่สำหรับ “สมัคร” หลายครั้งที่เขาแสดงออกกับสื่อ  เสมือนว่าตัวเขาเป็น “นาย” แล้วสื่อเป็น “บ่าว” และต้องการเป็นผู้ควบคุมข่าวสารทุกอย่าง  รวมทั้งสื่อก็ต้องการซักถามเขาในเชิงบวก มากกว่าโจมตี  เมื่อใดที่มีคำถามไม่สบอารมณ์  เขาจะตอบกลับด้วยสายตาที่ดุดัน ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งปรากฏขึ้นหลายต่อหลายครั้ง   ทำให้สมัครคนนี้เสื่อมศรัทธาเร็วกว่าที่คิด

บ่อยครั้งในการให้สัมภาษณ์  เขาจะเฉไฉไปแบบ  ถามวัวตอบควายเสมอ จนไม่ได้เนื้อหาสาระที่ควรจะเป็น  สื่อได้แต่สายหน้าไปตาม ๆ กัน เรื่องจริงจัง  ถูกขยี้ให้เป็นเรื่องขบขัน  อย่างกรณีที่ผู้สื่อข่าวถามว่า  ผู้ชุมนุมที่เข้าร่วมกันพันธมิตรฯจะมีเพิ่มขึ้น สมัครกลับแบบตอบขำไม่ออกว่า “ม๊อบจะทำอะไรกันหรอ คนถึงจะเพิ่มขึ้น” ฯลฯ

กลายเป็นคำตอบที่หาสาเหตุอะไรมิได้ และไม่ใช่อารมณ์ที่ควรจะเกิดในช่วงเวลาที่ประเทศวิกฤติ  สังคมจะแตกร้างทุกระดับ  โดยเฉพาะอีกแง่มุมหนึ่งเขาตอบแบบก้าวร้าว และกระเหี้ยนกระหือรือแบบไม่ลดราวาศอก  วลีเป็นที่จดจำ “เสพเมถุนมาหรือเปล่า” กลายเป็นคำล้อเลียน ฮิตติดปากกันในหมู่นักข่าวในเวลาต่อมา คำนี้เกิดขึ้นเพราะสื่อตั้งคำถามในแบบที่เขาไม่ต้องการจะตอบ  แต่เขาจะไม่รั้งรอให้เรื่องราวผ่านไป  ก่อนจะสวนทันควัน เพื่อทำให้อีกฝ่ายต้องหน้าชา กับคำถามที่นอกเรื่องของสมัคร

ฉะนั้นสายตาของสมัครต่อสื่อจึงเป็นไปแบบไม่เป็นมิตร เขาไม่ค่อยยอมรับกับการทำหน้าที่ของสื่อ ที่ต้องติดตามข่าวสาร ติดตามภารกิจของนายกรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในช่วงที่บ้านเมืองกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน  ต้องการคำตอบจากผู้นำ ในการจัดการกับปัญหาที่รัฐบาลเผชิญอยู่

ดูเหมือน “สมัคร” ไม่พยายามทำความเข้าใจหน้าที่ของพวกเรา (สื่อมวลชน) หลายต่อหลายกรณีที่ปรากฏขึ้นเป็นที่อิดหนาระอาใจกับการแสดงออกของสมัคร  อาทิเช่น การนัดกินข้าวกับพรรคร่วมรัฐบาล  สื่อแห่ไปดักรอสัมภาษณ์ แต่คำตอบของสมัคร กลับผรุสวาท  พร้อมกราดสายตาไม่พอใจ เป็นที่มาของการทำตัวเป็นนินจา  สับขาหลอกให้หาไม่เจอ  แต่หากเมื่อใดที่ตามไปพบ  ปฏิกิริยาที่สมัคร แสดงออกก็จะขมึงทึงอย่างที่กล่าวไปแล้ว

กระทั่งกรณีที่สมัครเข้าไปนั่นให้ห้องส้วมในตลาด อ.ต.ก. ร่วมชั่วโมง ซึ่งตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งเกรี้ยวกราด  เพราะหลังออกจากห้องส้วม  สมัคร แสดงท่าที “ประหลาด” ด่ากราดสื่อไม่ไว้หน้า  ฟ้องกระทั่งแม่ค้าทำเหมือนสื่อเป็นคนต้นคิดให้เขาไปนั่งเหงื่อตกในที่อับอย่างนั้น

“ต้องไปให้หมอดูจะบ้าหรือเปล่า มันผิดปกติมนุษย์  ผมนั่งอยู่ข้างในมันก็สิทธิของผม  ผมนั่งเล่นอยู่ข้างในนั้นเหละจะทำไม จะบ้าหรือเปล่า” นี่เป็นคำพูดดัง ๆ ที่ต้องการประจานให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด  หลังจากถ้อยคำบริภาษ ก็มักจะตามมาด้วยสายตาพิฆาตในแบบฉบับ “สมัคร สุนทรเวช”

ว่ากันว่าเหตุที่ทำให้สมัครหลุดออกจากอาการนั้นก็มาจากประเด็นเล็ก น้อย แค่เขาต้องการจะหลบหน้าสื่อเพื่อไปขึ้นเครื่อง “แบล็คฮอค” ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณชายแดนไทย-เขมร ซึ่งไม่จำเป็นต้องหลบกันจนตัวเองต้องทรมานขนาดนั้น  เพราะสื่อย่อมเข้าใจ แค่เพียงบอกว่า “วอ5” เราก็สลายตัวไปทางใครทางมัน

ก่อนปิดฉากการเมืองที่ไม่สวยเท่าใดนักเพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติจนตกเก้าอี่นายกรัฐมนตรี  สมัครวาดลีลา “ฮาโตริ” ในวันสุดท้ายที่สภาล่มเพราะวีโต้เขาไม่ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ  วันนั้น สมัครเดินทางมาสภาแบบผิดแผกที่ผ่านมาด้วยการกระโดยจากรถเข้ามาที่ตึกวุฒิสภา  ก่อนจะเดินต่อไปยังตึกสภาผู้แทนราษฎรหลบหน้าสื่อ  พร้อมปล่อยรถเปล่าวิ่งมาหลอกสื่อให้วิ่งตามเล่น  ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเข้าสภา แต่เสียดายในวันที่ 12 กันยายน 2551 อย่างที่ว่า สภาล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  นักข่าวก็แทบไม่พบหน้านายก ฯ สมัคร อีกเลย

เพราะในวันโหวต นายสมชาย วงสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26  เมื่อวันที่ 17 กันยายน อดีตนายกฯสมัคร เลือกที่จะปรากฏตัวหลังการโหวตโดยอ้างว่า  รถติด มาไม่ทัน

ช่วงระยะ 8 เดือนที่ผ่านมานี้ สิ่งที่พอจะเตือนความจำให้หวนคิดถึง ก็เพียงด้านมืดของนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 เท่านั้น ทั้งที่เหรียญยังมี 2 ด้าน  การพิจารณาคนต้องมองทั้งจุดดีและจุดด้อย  แต่ดูเหมือนท่านอดีตนายกฯสมัคร เลือกที่จะเปิดแต่จุดด้อยของตัวเอง

 

#

 

ข้อมูลจากจุลสารราชดำเนิน  เล่มที่ 16