นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ให้สัมภาษณ์กับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

หมายเหตุ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้ให้สัมภาษณ์กับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่องการครอบงำสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 มีรายละเอียดดังนี้

หลักใหญ่ของสังคม ที่ต้องพิจารณาในเรื่องสื่อ ก็คือ ในเวลานี้จะเหก็นว่าสังคมซับซ้อนมาก เจอปัญหายากๆ ซึ่งทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ ดูได้จากประเทศฟิลิปปินส์ ที่ประธานาธิบดี อาคีโน ขึ้นสู่ตำแหน่ง โดยมีประชาชนให้การสนับสนุนจำนวนมาก แต่ก็ปรากฏว่าทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่การจะแก้ไขปัญหาอะไรที่ยากๆ ซึ่งเป็นปัญหาของโครงสร้างที่ซับซ้อน จะต้องทำโดยให้คนได้รู้ความจริง ถ้าคนไม่รู้ความจริง ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึงกัน แล้วจะแก้ปัญหาได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยพลังทาง สังคม เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะฝ่ายวิชาการ สื่อมวลชน ฯลฯ จะต้องร่วมกันผลักดันความจริง ทำอะไรต้องอาศัยฐานความจริง เพราะ ถ้ารู้ผิดเพี้ยน มันจะทำไม่สำเร็จ

ทำอะไรต้องอาศัยความจริงจึงจะสำเร็จ คนยิงจรวดก็ต้องอาศัยความจริง ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณแรงโน้มถ่วง แรงดึงดูด ฯลฯ เรื่องใหญ่ของสังคมคือ ต้องทำหสังคม รู้ถึงความจริงแล้วสภาวะต่างๆจะดีขึ้น การสร้างภาพหรือสื่อที่ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีคุณภาพ จะเป็นอันตรายมาก อมาตยา เซ็น ผู้เคยได้รับรางวัลโนเบล ก็เคยเปรียบเทียบให้เห็นว่า เศรษฐกิจของจีน ดีกว่าอินเดีย แต่ที่อินเดีย ไม่มีคนอดตาย เพราะว่า สื่อมวลชนมีเสรีภาพ เพราะฉะนั้นจึงสื่อได้ว่า ที่ไหนมีปัญหารัฐบาลก็ตามไปแก้ไข ถ้าปิดจะเป็นอันตราย ถึงเศรษฐกิจดี แต่ประชาชนก็อาจจะอดตายได้

เสรีภาพของสื่อมวลชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ครั้งนี้นายทุนจะยึดสื่อ ตรงนี้ ผมคิดว่าเป็นทุนทีไม่ศิวิไลซ์ ไม่เจริญ เพราะเข้าไปเด็ดยอด ในงานทีคนอื่นสร้างมา ตัวอย่างเข่นเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นกับเรื่องกล้วยไม้ไทย อาจารย์ระพี สาคริก แลชะชาวสวนไทยนับหมื่นคน ได้ช่วยกันพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ของเรามาหลายสิบปี จนสามารถส่งออกกล้วยไม้ได้ แต่วันหนึ่งทุนต่างประเทศก็บอกว่า จะเอาทุนมา 3 หมื่นล้าน เพื่อซื้อสิ่งนี้แล้ว ไม่ให้คนอื่นทำ เด็ดเอายอดที่อาจารย์ระพีและคนไทยทั้งหลายที่ได้สร้างกันมา เป็นสิ่งที่มีคุณค่าไป

การแพทย์แผนไทย ก็เช่นเดียวกัน สมเด็จพระบรมราชชนก และใครก็ต่อใครก็ได้ช่วยกันให้การแพทย์แผนไทยมีคุณภาพ แต่พอมีคุณภาพ ทุนก็จะมาซื้ออีก มาซื้อโรงพยาบลาเอกชน เพื่อดึงให้คนต่างประเทศมาใช้บริการมากๆ เพื่อที่ตัวเองจะได้เงิน เมื่อแทพทย์ ถูกดึงเข้าระบบะนี้ คนยากจนก็ไม่มีคนดูแล แม้คนต่างประเทศจะพอใจ เพราะราคาการักษาพยาบาลที่ไทยจะถูกกว่าลอนดอน แต่เป็นเอาทุนมาเด็ดเอายอดการลงแรงของคน ที่ทำมาสร้างมา

พวกนี้มีทุนแต่ไม่มีความดี คนไทยต้องรู้ว่า สื่อก็เหมืนกัน บางกอกโพสต์ และมติชน กว่าที่เขาจะสร้างเนื้องสร้างตัวขึ้นมา เขาต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ว่าจะบริการจัดการอย่างไร ถึงจะมีคุณภาพภ ถึงจะดี ซึ่งเป็นเรื่องดี ไม่ใช่ว่าใครจะมีเงน 5,000 พันล้านแล้วอยากออกหนังสือพิมำพ์ก็ทำได้ แต่กว่าจะสร้างคนให้มีคุณค่า ต้องลงแรงมาต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ หลอกให้ประชาชน สาธารณชนเข้าใจผิด ทำการตลาดโดยหลอกลวงคน ให้เข้าใจผิด ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำแบบนั้น มันเป็นบาป บาปมาก การทำให้คนเข้าใจผิดนี้เป็นบาป

แต่การส่งเสริมให้สังคมได้เข้ามใจความจริงโดยทั่วถึงต่างหาก จึงเป็นบุญ การทำการตลาดของรัฐบาล ทำให้คนเข้าใจผิด หรือการสร้างเหตุการณ์เพื่อดึงความสนใจของคนออกจากบางเรื่อง ทำให้เสียหาย ทำให้คนไม่เข้าถึงความจริงเหล่านี้เป็นบาป

ผมว่าทุนต้องพัฒนาไปสู่ ทุนที่มีศีลธรรม ไม่ใช่อยากจะสื่ออะไรก็ได้ ลงทุนอะไรก็ได้ ทุกวันนี้สังคมเราแย่ เพราะเราใช้เงินซื้อะไรก็ได้ ลงทุนอะไรก็ได้ ในขณะที่ทุกศาสนาสอนให้ตั้งคำถาม ความดีคืออะไร ความจริงคืออะไร แต่ขณะนี้คนทั่วไปถูกชักจูงให้คิดว่า ทำอะไรถึงจะรวย เพราะฉะนั้น การขายเด็ก ขายผู้หญิง ทำลายสิ่งแวดล้อม คอรณ์รัปชั่น ทำธุรกิจโดยไม่คำนึ่งส่วนรวม ฯลฯ จึงเกิดขึ้น บ้านเมือนเราเป็นเช่นนี้ เพราะเราตั้งคำถามว่าทำอะไรจะรวย ถ้าตั้งคำถามกันแบบนี้เราจะถึงกลียุค

เราต้องตั้งคำถามว่า ความดี ความจริง คืออะไร แล้วเราจะเห็นว่า ความเพียร เมตตา กรุณา ฯลฯ เป็นความดี จะมาทำธุรกิจ แบบทำอย่างไรถึงจะรวย มาเด็ดยอดเอาของเขาแบบนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องไม่ศิลวิไลซ์เป็นเรื่องป่าเถื่อน ถึงมีเงินก็จะไปครอบงำเขาไม่ได้ได้ จะเสื่อมเสียมาก ทำให้สังคมเกิดกลียุค มากขึ้นขึ้น คนทั้งประเทศต้องเข้าสู่ความจริง เพื่อจะได้เข้าถึงความดี

ประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ต้องช่วยกัน ดูว่าทำอย่างไรสื่อทั้งหมดจึงจะอิสระ และมีคุณภาพ ต้องดูว่าความเป็นเจ้าของควรจะเป็นอย่างไร ควรจะมีคนคนเดียวเป็นเจ้าของหรือไม่ ต้องดูว่าควรจะมีกฏกติกา ในการป้องกันการผูกขาดอย่างไร ซึ่งต้องดูลงในรายบละเอียดทั้งหมด รวมทั้งความเป็น อิสระ จะต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระของกองบรรณิการ เมื่อผุ้สื่อข่าวสื่อความจริง จะได้ไม่ถูกปลด

ถ้าเราทำอย่างนี้สื่อจะได้เป็นสถาบัน แล้วความชั่วช้าต่างๆ ก็จะลดลง ถ้าสื่อเป็นสถาบัน แสดงว่าต้องมีความรู้ความดี ให้การศึกษาคนอื่นได้ เป็นที่เคาพนับถือของคนทั้งหลาย ฝ่ายธุรกิจ ฝ่ายการเมือง และทั้งฝ่ายวิชาการ ต้องช่วยกันทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น เพราะถ้าสื่อบวกประชาชน จะเท่ากับสถาบันทางสังคม ถ้าทำให้เป็นสถาบันทางสังึคมขึ้นมาได้ ทุกอย่างก็จะลงร่อง แต่เวลานี้เกียรติมีอยู่เฉพาะข้าราชการ

ผมคิดว่า สังคม ต้องมีศีลธรรม หมายถึงว่าการอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้อง การอยู่ร่วมกันมีองค์ประกอบเยอะ ไม่ว่าฝ่ายการเมือง ราชการ ธุรกิจ เราต้องเอาการอยู่ร่วมกันเป็นที่ตั้ง ต้องอยุ่ร่วมกันอย่างสันติและยั่งยืน และต้องมีการเรียนรู้ และต้องมีการอิสระก่อน ไม่เช่นนั้นจะเรียนรู้ไม่ได้ แล้ววิกฤติจะเกิดขึ้น อย่างที่บอกคือ สื่อมวลชน+ ประชาชข = สถาบันสังคม ถ้าทำให้สถาบันสังคมแข็งแรง = ศีลธรรมก็จะแข็งแรง ผมอยากเห็นประชาชนสนใจเรื่องนี้ และสนใจในเรื่องอิสระภาพของสื่อ และทำระบบสื่อให้ดี คำว่าระบบสื่อไม่ได้หมายถึงนักข่าวและกองบรรณาธิการเท่านั้น แต่หมายถึงคนรับสื่อด้วย

สังคม เรียนรู้เรื่องมติชน อย่าลืมเรื่องบางกอกโพสต์ คนไทยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษน้อย แต่สิ่งที่บางกอกโพสต์ทำนั้น ได้สื่อออไปทั่วโลกซึ่งบางเรื่องรัฐบาลก็ไม่พอใจ เรื่องนี้ปฏิกิริยาเห็นได้ชัด เช่น “สื่อต่างประเทศฉบับหนึ่ง” เราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่บางกอกโพสต์สื่อไปทั่วโลก เขาจึงอยากเข้าไปครอบงำ เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันดูที่บางกอกโพสต์ด้วย