ข่าวแฉ “เณรคำ”พระฉาวมีเมีย8 ซุกรถหรู ทองคำ ที่ดินเพียบ-เอเอสทีวีผู้จัดการ-2556

ผลงานส่งเข้าประกวด รางวัลอิศรา อมันตกุล ประจำปี 2556

แฉ "เณรคำ"พระฉาวมีเมีย8 ซุกรถหรู ทองคำ ที่ดินเพียบ

หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ

ปี 2556 วงการสงฆ์ต้องแปดเปื้อนอีกครั้ง หลังจากพระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม หรือที่พักสงฆ์ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ตกเป็นข่าวอื้อฉาว ด้วยการอาศัยความศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อวงการพระพุทธศาสนา หลอกลวงให้เชื่อ และเลื่อมใสศรัทธา บริจาคเงิน บริจาคทรัพย์สิน เพื่อหวังสร้างบุญกุศล ไปสู่นิพพาน ตามคำสอนในหลักพระพุทธศาสนา

เมื่อญาติธรรมทั้งหลายทุ่มสรรพกำลัง บริจาคทรัพย์ บริจาคเงิน ทอง ให้แก่พระเณรคำเป็นจำนวนมาก ทำให้พระเณรคำ และเหล่าลูกศิษย์ลูกหาแสวงหากิน กอบโกยทรัพย์เข้ากระเป๋าตัวเอง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง และคนใกล้ตัว

ความอื้อฉาวของหลวงปู่เณรคำ มีทั้งเรื่องการสะสมรถยนต์หรูจำนวนมากมูลค่าหลายร้อยล้านบาท, เครื่องบินเจ็ต, ทรัพย์สินที่เป็นที่ดินหลายแห่ง รวมทั้งอาคารบ้านหลังใหญ่โตหลายหลังทั้งในประเทศและต่างประเทศ, มีบัญชีเงินฝากจำนวนมาก มีเงินหมุนเวียนวันละกว่า 200 ล้านบาท, ครอบครองทองคำกว่า 8,000 กิโลกรัม, มีเมียถึง 8 คนและลูกอีก 2 คน

"หลวงปู่เณรคำ" ตกเป็นข่าวฉาวครั้งแรกช่วง 15 มิ.ย.56 หลังจากนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า มีประชาชนร้องเรียนพบพระสงฆ์บางรูปสะสมพาหนะในการเดินทาง มีรถหรู มีเครื่องใช้ไม้สอยราคาแพง ผิดอาจาระของความเป็นสงฆ์ พร้อมกับคลิปพระสงฆ์ประพฤติผิดให้ทางโลกติเตียนเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ยูทิวบ์ โดยสมาชิกรายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า...”เครื่องบินเจ็ตประจำ 2” ภายในคลิปเป็นพระสงฆ์ 3 รูปนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว หูเสียบหูฟังโทรศัพท์มือถือไอโฟน สวมแว่นตาดำ และกระเป๋าแบรนด์ดังหลุยส์วิตตอง เครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดที่สนามบินอุบลราชธานี

หลังจากนั้นสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ "ASTVผู้จัดการ" จึงได้มีการขุดคุ้ยข้อมูลเพื่อหาคำตอบให้แก่สังคมจนพบว่าพระสงฆ์ 3 รูปที่นั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว 1 ในนั้นคือ หลวงปู่เณรคำ จนกระทั่งนำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรมฉาวโฉ่มากมายจนพบความจริงว่า หลวงปู่เณรคำ เป็นนักลวงโลกที่ปั้นน้ำเป็นตัว อุปโลกน์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาหลอกลวงญาติโยมให้เกิดความศรัทธายอมที่จะบริจาคเงิน ทอง รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ให้เป็นจำนวนมากจนคนใน จ.ศรีสะเกษ เรียกขานหลวงปู่เณรคำ ว่า "บักเซียงเมี่ยง"

หลังจากนั้นก็จะนำเอาทรัพย์สินเงิน ทอง ไปแอบสะสมไว้ เช่น มีการสร้างอาคารหรูหลังใหญ่ไว้ถึง 3 แห่งด้วยกัน แห่งแรกสร้างบ้านให้พ่อแม่ บ้านเลขที่ 999/10 บ้านทรายมูล หมู่ 2 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เป็นบ้านอาคารขนาด 2 ชั้น

แห่งที่ 2 สร้างศูนย์แสดงสินค้าและที่พักหรูมูลค่า 500 ล้านบาท ตั้งอยู่ติดด้านหลังบ้านพ่อแม่ โดยอ้างว่า สร้างเป็นตึกมูลนิธิเพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม

แห่งที่ 3 แอบสร้างวังใหญ่โตไว้อีกแห่งอยู่ในที่ลึกลับที่ทีมข่าวพิเศษ "ASTVผู้จัดการ" เพียงฉบับเดียวเท่านั้นเข้าไปพบในครั้งแรกที่บริเวณกลางป่าทุ่งนาบนพื้นที่ 27 ไร่ โดยอ้างว่าสร้างเป็นสำนักสงฆ์วัดป่าขันติบารมี สาขาที่ 1 บ้านทรายมูล หมู่ 10 ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร โดยที่แห่งนี้ถูกปิดตาย มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างเข้มงวด ห้ามใครเข้า-ออก มีการตั้งกล้องวงจรปิดอยู่บริเวณปากทางเข้าเพื่อตรวจสอบว่ามีใครเข้าไปในสถานที่บริเวณดังกล่าวนี้หรือไม่

จุดนี้ ทีมข่าวพิเศษ "ASTVผู้จัดการ" ต้องใช้ความพยายามในการสืบค้น เมื่อพบแล้วก็ต้องเร่งรีบทำงาน ถ่ายภาพ และรีบออกจากพื้นที่ทันที เนื่องจากต้องเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากกลุ่มลูกสมุนและคนที่มีอิทธิพล ที่เป็นคนของฝ่ายหลวงปู่เณรคำ

นอกจากนี้ หลวงปู่เณรคำ ยังนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงมาไปซื้อบ้านไว้อีกหลังตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 32140 ออร์เทอกา ไฮเวย์ เมืองเลคเอลซินอร์ (Lake Elsinore) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา รหัสไปรษณีย์ 92530 โดยอ้างว่าสร้างเป็นสาขาวัดที่ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขันติบารมี สาขาใหม่ เพื่อให้เป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน

ประเด็นสำคัญและถือว่าขุดคุ้ยได้ยากที่สุดที่ทีมข่าวพิเศษ "ASTVผู้จัดการ" เท่านั้นที่สามารถขุดคุ้ยมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ก่อนใคร คือ "เรื่องที่หลวงปู่เณรคำมีเมียมากถึง 8 คนไม่เว้นนักเรียน นักศึกษา พยาบาล และเมียนักธุรกิจใหญ่ ในจำนวน 8 คนนี้ถึงขั้นมีลูกชายด้วยกันรวม 2 คน โดยเฉพาะเมียคนที่ 1 นางสาว "ญ" ได้มีลูกชาย 1 คนชื่อ "น้อง น." หลวงปู่เณรคำ ได้ส่งเสียเงินค่าเลี้ยงดูให้เดือนละ 20,000 บาท โดยมี "หมวด ก" นายตำรวจสถานีตำรวจทางหลวงอุบลราชธานี เป็นผู้รับผิดชอบส่งเงินให้

จากความอื้อฉาวดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน เช่น ดีเอสไอ, ป.ป.ส., ปปง. และกองปราบปราม ได้ระดมกำลังเข้าไปตรวจสอบและสอบสวนหาหลักฐานต่างๆ จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีต่อหลวงปู่เณรคำ ทั้งหมด 8 ข้อหา คือ 1.การใช้สื่อสารสนเทศลงโฆษณาอันเป็นเท็จ 2.กรณีการกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ 3.กรณีที่หลวงปู่เณรคำกับพวกมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรู 4.กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ 5.การแสดงและใช้วุฒิการศึกษาเท็จ6.คดีฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคนตาย 7.ความผิดฐานฟอกเงิน และ 8.การอวดอุตริ อภินิหาร

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายหลวงปู่เณรคำ ได้พยายามหลายครั้งที่จะให้ทนายความของตนติดต่อทางเจ้าหน้าที่เพื่อขอประกันตัวภายหลังหากเข้ามอบตัว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าหลวงปู่เณรคำจะเข้ามอบตัวแต่อย่างใด กระทั่งมีข่าวว่าหลวงปู่เณรคำ ได้สึกแล้วและหลบหนีอยู่ในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งวันที่ 5 ส.ค.56 ได้ข่าวว่าหลวงปู่เณรคำ ออกจากสหรัฐฯ และมีคนพบหลวงปู่เณรคำ แต่งเป็นพระสงฆ์ออกบิณฑบาตอยู่ที่ประเทศลาว จนกระทั่งวันนี้ข่าวหลวงปู่เณรคำ ผู้ทำให้วงการสงฆ์ต้องแปดเปื้อนอีกครั้งก็ยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะเข้ามามอบตัวแต่อย่างใด

สำหรับการลงพื้นที่ขุดคุ้ยข้อมูลหาความจริงของทีมข่าวพิเศษ "ASTVผู้จัดการ" ทั้งใน จ.ศรีสะเกษ และใกล้เคียงเพื่อนำมาตอบปัญหาสังคมในประเด็นต่างๆ ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะประเด็นที่ “หลวงปู่เณรคำ มีเมียถึง 8 คน ลูกอีก 2 คน” และ ”พบการสร้างอาคารหรูหลังใหญ่โตที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ทั้ง 3 แห่ง" ที่ทีมข่าวต้องเข้าไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่และต้องทำงานแข่งกับเวลา รวมทั้งต้องเสี่ยงกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ เนื่องจากหลวงปู่เณรคำ ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีอิทธิพลคนหนึ่งในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และในพื้นที่บ้านทรายมูล นอกจากนี้ ยังมีผู้ใหญ่ทั้งในวงการสงฆ์และฆราวาสในบ้านเมืองคอยสนับสนุนให้การดูแลหนุนหลังอยู่

รวมทั้งมีทีมทำงานให้หลวงปู่เณรคำ อยู่อีก 3 ทีมทั้งใน จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี และในกรุงเทพฯ คือ “ทีมประชาสัมพันธ์ ทีมเจรจา และทีมอุ้ม" โดยเฉพาะ "ทีมอุ้ม" นี้จะทำหน้าที่อุ้มอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมามีคนถูกทีมนี้อุ้มหายตัวไปแล้วหลายรายจนชาวบ้านในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ต่างทราบเรื่องนี้ดีและต่างหวาดกลัวในเรื่องนี้มากจนไม่มีใครอยากจะมีเรื่องกับหลวงปู่เณรคำ เนื่องจากมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทีมข่าวพิเศษของ "ASTVผู้จัดการ" ทำงานด้วยความยากลำบากและต้องเสี่ยงต่ออันตรายตลอดในขณะลงพื้นที่ทำข่าว แต่ในที่สุดเราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วทั้งทางหนังสือพิมพ์ "ASTVผู้จัดการรายวัน" และใน "ASTVผู้จัดการออนไลน์"