โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) |
|
|
ข้อเสนอแนะต่อการรายงานข่าวโรคอุบัติใหม่ : กรณีการระบาดไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 |
|
ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) |
องค์การอนามัยโลกเสนอความคิดง่ายๆ เกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคภัย มี5 ข้อคือ 1) สร้างความน่าเชื่อถือ 2) ประกาศแจ้งเตือนแต่เนิ่นๆ 3) ทำทุกอย่างให้มีความโปร่งใส 4) คำนึงและเคารพความรู้สึกสาธารณชน และ 5) มีแผนเตรียมการล่วงหน้า
สำหรับผลศึกษาการรายงานข่าวสถานการณ์ระบาดของไข้หวัดใหญ่ ของสื่อหนังสือพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ โครงการฯ มีข้อเสนอแนะต่อการายงานข่าวของสื่อมวลชน ดังนี้
- กำหนดประเด็นข่าวสอดคล้องกับความต้องการและความเหมาะสมของผู้รับสารที่แตกต่างกัน
ในสถานการณ์วิกฤติ ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องย่อมต้องการข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว ฉับไว ดังนั้นสื่อจึงควรใช้คุณสมบัติของความรวดเร็วในข่าวสารโดยคำนึงถึงลักษณะความต้องการข้อมูลของผู้ที่เกี่ยวข้องที่แตกต่างกัน ดังนี้
- สาธารณชน เน้นประเด็นข่าวที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ความปลอดภัย ความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโรคและการป้องกันตนเอง
ในกรณีที่มีความเข้าในผิดในสาระสำคัญของสถานการณ์ระบาด ควรรีบตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่เด่นชัด สรุปสุดท้ายจากผู้ที่น่าเชื่อถือและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยตรงก่อน แล้วจึงค่อยนำเสนอออกไป หากเป็นข้อมูลประเภท ความคิดเห็น-การคาดการณ์ ความคิดเห็นส่วนตัว ก็อาจไม่จำเป็นต้องนำเสนอ เพราะอาจยิ่งสร้างภาวะข่าวลือให้กระจายได้เร็วมากขึ้น
- หน่วยงานรัฐ เน้นประเด็นข่าวที่แสดงถึงความโปร่งใสของการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล เพื่อการตรวจสอบและป้องกันการปกปิด ซ่อนเร้นข้อเท็จจริงให้สาธารณชนรับรู้ ประเด็นเรื่องความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา ปัญหาหรืออุปสรรคภายในหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันรัฐปกปิดข้อมูล
เช่น ประเด็นความขัดแย้งภายในรัฐบาล การสร้างภาพ สร้างความเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยไม่อยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริง การโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อกลบเกลื่อนปัญหา สถานการณ์การแพร่ระบาด มาตรการควบคุม การกำหนดพื้นที่เฝ้าระวัง การมีแผนการล่วงหน้า สื่อควรรายงาน วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างโปร่งใส ปราศจากอคติ และสร้างสรรค์
- กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เน้นข้อเท็จจริง ที่ส่งผลกระทบโดยตรงทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ระบบการเมือง ระบบสาธารณสุข การแพทย์ วิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สื่อควรมีข้อมูลที่แน่ชัดที่ตรวจสอบแล้วว่าการเกิดโรคระบาดส่งผลโดยตรงต่อผลกระทบนั้นๆ แล้วจึงค่อยรายงานออกไป
เนื่องจากพบว่าประเด็นข่าวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่รายงานในสื่อมีความคล้ายคลึงกัน แต่อาจแตกต่างในรายละเอียดของเนื้อหา (ความสั้น-ยาว การให้พื้นที่เสียงแก่ผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้สัมภาษณ์ และจากการสรุปข้อมูลด้วยตัวผู้ประกาศข่าว และบทสนทนาข่าวระหว่างพิธีกรข่าว) เหล่านี้ส่งผลให้ “ความถูกถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลที่รายงานมีคุณภาพแตกต่างกัน”
- ในการรายงานข่าวสถานการณ์ระบาด อาจจำเป็นที่ผู้ประกาศข่าว ทีมข่าว กองบรรณาธิการข่าว ควรรายงานข่าวเรื่องนี้ “อย่างค่อนข้างเป็นทางการ” และวางแผนการรายงานข่าวมากกว่า “กระแสข่าวรายวัน” ซึ่งมักจบเนื้อหาข่าวแบบ “ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับอาการความเจ็บป่วยของคนไข้”
- อาจมีประเด็นอื่นๆ ที่สื่อโทรทัศน์สามารถรายงานข่าวได้ เช่น กรณีการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้าง การเบิกจ่ายยาในแต่ละพื้นที่ การสำรวจความเข้าใจในโรคของประชาชน เน้นพื้นที่เมืองหลวงในภูมิภาคอื่นๆ และชนบทที่ห่างไกล หรือประเด็นการระบาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือเปรียบเทียบมาตรการการรับมือการระบาดของประเทศใกล้เคียง
- ขณะที่สกู๊ปข่าว/รายงานพิเศษ ที่ให้ความรู้ในการป้องกันโรค สปอตสั้นรณรงค์ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องการสวมหน้ากาก การปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการหรือเริ่มสงสัยว่ามีอาการ การคัดแยกลักษณะอาการ การบอกสิทธิขั้นพื้นฐานการรักษา การให้ข้อมูลการระวังป้องกันที่ถูกต้องนั้น
- กำหนดประเด็นข่าวรู้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
ในช่วงเวลาของการระบาด จะแบ่งช่วงเหตุการณ์ได้ 5 ช่วง ดังนี้ คือ 1. ช่วงก่อนการระบาด 2. ช่วงสืบหาสาเหตุการระบาด 3. ช่วงระยะการระบาดสู่คนอย่างหนัก 4. ช่วงการจัดการปฏิกิริยา/ความรู้สึกสังคม และ 5. ช่วงหลังการเกิดความสูญเสียจากการระบาด ซึ่งแต่ละช่วง สื่อจะต้องคำนึงว่าประเด็นเนื้อหาข่าวที่เหมาะสมคืออะไร โดยทั่วไปมีประเด็นหลักๆ ดังนี้
- ความโปร่งใส การปกปิดข้อมูล ข่าวลือ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคระบาดให้สาธารณชนทราบผ่านทางสื่อต่างๆ
- ความตื่นกลัว วิตกกังวล ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของประชาชนที่มีต่อโรคระบาด
- สาเหตุโรค ที่มาหรือต้นตอของโรคระบาด ปัญหา/สภาพที่ก่อให้เกิดโรค
- สถานการณ์การแพร่ระบาด การแพร่ระบาดของโรคไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ผลกระทบต่อบริบทต่างๆ ผลกระทบด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว การแพทย์และสาธารณะสุข วิทยาศาสตร์ การเมือง ความมั่นคงของประเทศ
- การติดต่อ และการป้องกันรักษา เนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลรักษาและควบคุมโรคในคนและสัตว์
- มาตรการแก้ไข การกักกันตัว การเฝ้าระวังด่านเข้าออกสนามบิน การรักษา การใช้ยาวัคซีน การประกาศพื้นที่เสี่ยง
- พื้นที่เฝ้าระวัง การประกาศพื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ระบาดหนัก พื้นที่ปลอดภัย
- ข้อมูลทางวิชาการ เนื้อหาเกี่ยวกับสภาพโรค เอกสารการวิจัย การประชุม สัมมนา คำอธิบายทางการแพทย์
- ข้อมูลสถิติ จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้เสียชีวิต อัตราการจ่ายยา
สื่อควรรู้ว่าประเด็นข่าวเรื่องใดเหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงใด และการรายงานข่าวควรมีเป้าหมายเพื่อควบคุม ระงับความรุนแรงไม่ให้ขยายวงกว้างออกไป มากกว่าที่จะรายงานข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจผู้ชมผู้อ่าน นอกจากนี้ การให้ข้อมูลข่าวสารควรระบุวัน เวลา สถานที่ ของเนื้อหาข่าวนั้นอย่างชัดเจน เพื่อที่ผู้รับสารจะสมารถแยกแยะได้ว่าข่าวสารนั้นเกิดขึ้นมานานแล้วหรือไม่
- กำหนดปริมาณข่าวให้มีปริมาณที่เหมาะสม
เราไม่สามารถรู้ได้เป็นตัวเลขที่แน่ชัดได้ว่าสัดส่วนปริมาณข่าวสารเท่าไรที่สื่อควรจะรายงาน แต่สื่อสามารถหาจุดสมดุลของปริมาณข่าวที่เหมาะสมได้ โดยคำนึงถึง
- ความจำเป็น/เปลี่ยนแปลง ของช่วงเวลาระยะต่างๆ ของเหตุการณ์
- ระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ ความคืบหน้า การได้ข้อมูลชุดใหม่
- เจตนาและความตั้งใจนำเสนอข่าวสารว่าจะทำเพื่อ เข้าช่วยระงับ/ควบคุมเหตุการณ์ ว่าจะนำเสนอเพื่อป้องกัน ลดระดับความสูญเสีย หรือคงความเสียหายนั้นไม่ให้ขยายมากขึ้น หรืออยู่ในช่วงความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูความเสียหายจากเหตุการณ์นั้นๆ
ข้อควรคำนึงข้างต้น จะช่วยให้สื่อสามารถวางแผนการกำหนดประเด็นข่าวหรือการสื่อสารกับสาธารณะโดยรู้ว่าประเด็นข่าวลักษณะใด เหมาะสมที่จะนำเสนอในปริมาณมาก ถี่ซ้ำได้ ข่าวสารใดที่ไม่จำเป็นต้องรายงานถี่บ่อย
- เน้นผลกระทบของข่าวหลากหลายมิติ รายงานข่าวเชิงลึก ให้มากกว่า 5Ws+1H (3Cs+1S)
การศึกษาชี้ให้เห็นว่าข่าวสื่อสิ่งพิมพ์มีความลึก ความกว้างรอบด้านของประเด็นมากสื่อโทรทัศน์ เพราะไม่ถูกจำกัดพื้นที่เท่าสื่อโทรทัศน์ อย่างไรก็ตามข้อมูลเชิงลึกนี้ก็สามารถทำได้ในรูปแบบรายงานพิเศษ โดยควรเพิ่มความลึก รอบด้านของเนื้อหาข่าวที่อธิบายถึง c-cause สาเหตุ-ที่มาของปัญหา, c-context สภาพบริบทแวดล้อมตัวเหตุการณ์, c-circumstance ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมา และ “ทางออกสำหรับปัญหา” s-solution ซึ่งจะทำให้เนื้อหาข่าวมีมากกว่าเพียงแค่การบอกเล่า รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในเนื้อหาของข่าว สื่อควรให้บริบทของข่าว สถานการณ์ปัจจุบัน ในภาพรวม (ไม่เน้นพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง คนไข้รายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ) ควรกระจายความสำคัญของข่าวไปยังประเด็นต่างๆ ให้มีความสมดุล รอบด้าน เหมาะสม
สื่อโทรทัศน์มักไม่ให้ข้อมูลเชิงลึกเหมือนสื่อหนังสือพิมพ์ เพียงแค่รายงาน/ให้ข้อมูลข่าวในระดับเหตุการณ์ทั่วไป
- สื่อควรตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะรายงานโดยตรง โดยเฉพาะข้อมูลที่อาจสร้างความคลุมเครือ เข้าใจผิด เช่น สาเหตุการติดเชื้อ (ติดจริงหรือไม่ได้ติด) สาเหตุการเสียชีวิต (ว่ามาจากโรคไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 หรือจากโรคประจำตัวร่วมด้วย) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายยา สามารถทำได้โดยสถานพยาบาลเอกชนหรือไม่ ขั้นตอน มาตรฐานควรเป็นเช่นไร
- งดเว้น ภาษาข่าวเร้าอารมณ์ ขยายความกลัว ความตื่นเต้น ตื่นตระหนก
การรายงานข่าวผู้เสียชีวิต หรือการใช้ภาษาข่าวที่เร้าอารมณ์อาจส่งผลต่อการเตือนภัยให้สังคมและรัฐตื่นตัว แต่ในอีกทางหนึ่งมันก็ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกได้เช่นกัน ในภาวะวิกฤติสื่อจึงต้องเน้นการรายงานข่าวที่เน้นตัวเลขข้อ เท็จจริงของเหตุการณ์ที่ได้รับการพิสูจน์ ตรวจสอบแล้วเท่านั้น การรายงานข่าวโดยเน้นคุณค่าข่าวเรื่องผลกระทบของโรคระบาดนั้นแตกต่างจากการายงานข่าวที่เน้นการสูญเสียชีวิต การบาดเจ็บของผู้ป่วย เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อการสร้างความกังวลใจให้เกิดขึ้นต่อมวลชน
- สื่อควรใช้ภาษาข่าวที่ตรงไปตรงมา สั้น กระชับ เข้าใจง่าย ปราศจากการขยายหรือสร้างความหวาดกลัว การพาดหัวข่าวในลักษณะชี้นำสถานการณ์ควรเป็นไปในทางป้องกัน (โดยเฉพาะการพาดเรื่องตัวเลขผู้ติดเชื้อ การเสียชีวิต ระดับความรุนแรง การแพร่เชื้อ การกลายพันธุ์ การดื้อยา สถานที่เสี่ยง) เหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความพยายามแก้ไขและควบคุมปัญหา หากได้รับข้อมูลไม่ชัดเจนและเป็นไปในทางเดียวกัน
- ชื่อโรคที่เรียกควรมีความชัดเจน การบรรยายรายละเอียดอาการ การปกปิดหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ติดเชื้อควรมีความระมัดระวัง ควรงดเว้นคำเรียกชื่อผู้ติดเชื้อที่มีลักษณะเหมือนฉายา ควรสืบสาเหตุที่แน่ชัดของการเสียชีวิตก่อนรายงานออกไป (ว่าเสียชีวิตเพราะโรคระบาดนั้น หรือเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวหรืออาการข้างเคียง) การรายงานกลุ่มเสี่ยง/พฤติกรรมเสี่ยงควรมีความชัดเจน สาเหตุและอัตราการเสียชีวิต การเข้ารับการรักษา ประสิทธิภาพของยา การดูแลตนเองและการอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้ออย่างปลอดภัย ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความกังวลใจของสาธารณะ
บทบาทของสื่อจึงอยู่ที่การสื่อสารเพื่อช่วยควบคุมการระบาดของโรคภัย มิใช่การแพร่ระบาดความกังวล ตื่นตระหนกในข้อมูลข่าวสาร
- การเกาะติดประเด็นข่าว
สื่อควรรายงานข่าวสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญมากกว่าข่าวอื่นๆ ในขณะนั้น การรายงานข่าวที่ขาดช่วงขาดตอนไป จะทำให้สังคมรู้สึกว่า สถานการณ์ได้คลี่คลายลงไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นช่วงระยะเวลาของการพักช่วงการระบาด หรือเป็นช่วงที่ยังไม่มีเหตุการณ์ใหม่ที่มีความสำคัญเกิดขึ้น สื่ออาจเปลี่ยนแบบแผนการรายงานข่าวจากการรายงานมาเน้นบทบาทในการให้ความรู้ อาจผ่านคอลัมน์ บทความ สกู๊ปหรือรายงานพิเศษ ที่อาจสอดแทรกแง่มุมทางผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แต่ไม่ควรสร้างบรรยากาศที่วางใจ หากในความเป็นจริงสถานการณ์การระบาดไม่ได้ลดลงหรือยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้
- แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องโดยตรง และรายงานเน้นที่ตัวเหตุการณ์มากกว่าบุคคล
ในสถานการณ์วิกฤติ การคัดเลือกและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงเป็นสิ่งจำเป็น
- ในสถานการณ์วิกฤติของโรคระบาด แหล่งข่าวที่ดีที่สุดก็คือแพทย์ หรือผู้ที่รัฐมอบหมายให้เป็นผู้ให้ข่าว ควรแจ้งชื่อ หน่วยงานสังกัด พื้นที่ที่สังกัด และตำแหน่ง/ความเชี่ยวชาญพิเศษอย่างครบถ้วน และนำเสนอเนื้อหาคำสัมภาษณ์ให้ได้สาระใจความครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอ
- สื่อโทรทัศน์ควรระมัดระวังการนำแหล่งข่าวที่มีความขัดแย้งมาออกรายการ หากจำเป็นต้องนำเสนอ เช่น กรณีนำเอาญาติผู้เสียชีวิตกับแพทย์โรงพยาบาล ออกอากาศรายการสด และแสดงความไม่พอใจต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องแล้วนำเจ้าหน้าที่ แพทย์ หรือผู้ที่มาเกี่ยวข้องมาออกในรายการ แม้จะดูว่าสื่อได้ทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสาร แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายภายใต้บรรยากาศของความขัดแย้ง เพราะอาจส่งผลต่อการสร้างความตระหนกต่อสาธารณชนได้ การคัดเลือกผู้ป่วย-ญาติผู้ป่วยมาให้ข้อมูลในรายการควรมีความระมัดระวังและกลั่นกรองก่อนนำออกอากาศ เพราะผู้ป่วยอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง แต่อาจมีความรู้สึกไม่ได้รับความชอบธรรมจากการรักษา สื่อควรให้พื้นที่แก่ทั้ง 2 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทันทีเพื่อมิให้เกิดความเข้าใจผิด
- ควรลดการนำเสนอข่าว “ความคืบหน้าของอาการผู้ติดเชื้อ” ในลักษณะรายวันลง แต่ควรเน้นการรายงานข่าวสถานการณ์การระบาดทั่วไปในพื้นที่เขตโรงเรียน แหล่งทำงาน แหล่งชุมชน สถานบันเทิง ตลาด หรือสถาบันการศึกษา เพื่อให้ผู้ชมตระหนักถึง “สภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่มีความเสี่ยง” แทนที่จะเป็น “กลุ่มความเสี่ยง” เช่น “หญิงตั้งครรภ์ / คนอ้วน หรือผู้มีโรคประจำตัว”
เพราะเนื้อหาข่าวโทรทัศน์ส่วนมากมักเน้นไปที่สถานการณ์การระบาด อาการเจ็บป่วย ระยะเวลาการเสียชีวิต จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต หรือ โอกาสที่จะติดเชื้อและเสียชีวิต ซึ่งอาจเพิ่ม/สร้างความตระหนักในความน่ากลัวของสถานการณ์การระบาดได้ แต่ควรปิดท้ายด้วยข้อมูลการป้องกันหรือให้ความรู้แก่ผู้ชมในตอนท้าย