แกะรอย “ประสงค์” คนข่าว “ซุกความรู้”

ในวงการสื่อยุคปัจจุบัน “ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์” คนข่าววัย 47 ถูกกล่าวขานมากที่สุดถึงการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ปี 2001 เขาได้รับคัดเลือกจากนิตยสารบิสสิเนสวีก ให้เป็น “สตาร์ ออฟเอเชีย” และนิตยสารฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิกรีวิว ระบุว่า เป็นผู้ “เป่านกหวีด” เนื่องจากทำข่าวทุจริตคอร์รัปชั่นจนส่งผลสะเทือนใหญ่หลวง

เขาไม่ใช่จอมขุดคุ้ยที่ปราศจากหลักฐาน หากแต่เรื่องที่ประสงค์ ตีแผ่ขบวนการคอรัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองร้อยเล่ห์เพทุบายนับว่ามีพลังยิ่ง หลายครั้ง “ผู้มีอำนาจ”ที่คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องสะเทือนตกเก้าอี้

ผลงานโดดเด่นมากมายกับรางวัลข่าวและข่าวยอดเยี่ยมมูลนิธิอิศรา อมันตกุล มากหลาย อาทิ

- ข่าวทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- การเปิดโปงขบวนการทุจริต ส.ป.ก.4-01
- ข่าวทุจริตธนาคารกรุงเทพพาณิชยการหรือบีบีซี
- ข่าวเงินกู้เท็จของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ 45 ล้าน
- ข่าวชำแหละอาณาจักร “ปิกนิค” ขุมทรัพย์ลาภวิสุทธิสิน

ที่ครึกโครมสุด คือการตีแผ่ขบวนการซุกหุ้นภาคแรกของ “ทักษิณ ชินวัตร” ผ่านคนใช้ คนขับรถ เมื่อปี 2544 และภาค2 ผ่าเครือข่ายเอื้อประโยชน์ชินวัตร ขายหุ้น 73,000 ล้าน

เส้นทางการเป็นนักข่าวของเขา เข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์บัณฑิต สาขาหนังสือพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากจบเข้าเป็นผู้สื่อข่าวมติชนรายวันเมื่อปี 2526 จน 15 ปีต่อมาก้าวขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร น.ส.พ.ประชาชาติธุรกิจในปี 2541 และปี 2544 เป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน ปี 2545 เป็นรองบรรณาธิการอำนวยการ หนังสือพิมพ์ “มติชน” รายวันจนถึงปัจจุบัน

“ประสงค์” เปิดใจ เล่าชีวิตนักข่าว และทัศนะที่อยากเห็นต่อวงการนักข่าวปัจจุบัน

ทำไมถึงอยากเป็นนักข่าว

ตอนไปเรียนมหาวิทยาลัยก็มีความตั้งใจสองอย่างคือ อยากเรียนรัฐศาสตร์เหมือนพี่ และอยากเป็นนักหนังสือพิมพ์ หรือ เป็นนักข่าวคนหนึ่งในไทยรัฐ จึงเลือกนิเทศศาสตร์อันดับหนึ่ง พอปีหนึ่งนิเทศศาสตร์ จุฬามีหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติ ซึ่งต้องทำปีสาม แต่ผมทำปีหนึ่งเลย ไม่ต้องสนใจคะแนน ทำมันลุยเลย ไปช่วยเขาทำ ถามว่า สนุกไหมตอนทำ ก็รู้สึกสนุกมาก และถึงเวลาก็เลือกเรียนหนังสือพิมพ์ ซึ่งคนเรียนน้อยมากในนิเทศศาสตร์ จุฬา

ระหว่างปี 3-4 ก็ฝึกมติชน พอฝึกเสร็จปุ๊บตอนขึ้นปี4 ใหม่ๆ คนที่อยู่ในวงการก็ชักชวนไปทำหนังสือนิวสตรีท ซึ่งกลุ่มสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์เขาทำ เป็นแบบจ็อบ ก็ช่วยเขาเขียนสัปดาห์ละเรื่อง ได้เรื่องละ 400 บาท ก็ไม่ต้องขอตังค์พ่อแม่แล้ว เฉลี่ยตกเดือนละ 1,600 บาท พอเทอมที่สองก็เห็นมติชนเปิดรับ ก็เลยไปสมัคร ปีสุดท้ายก็ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ติดอยู่วิชาเดียวกว่าจะจบต้องมาลงซัมเมอร์ เกรดไม่ถึง 3 ทั้งที่เทอมแรกได้ 3 แต่พอมาทำกิจกรรม ทำค่าย มันก็ไม่ถึง 3 เย่

สรุปคือ เข้าวงการหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ปี 4ก็อยู่มติชนมาตลอด

เส้นทางในการทำข่าว

เริ่มปี 2526 ที่เข้ามติชนช่วงนั้นมี เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ สมหมาย ปาริฉัตต์ วิภา สุขกิจ เป็นบรรณาธิการ ตอนนั้นก็เริ่มเป็นนักข่าวทั่วไป ไม่เคยประจำสายไหน ยกเว้นครั้งเดียว อยู่สายกระทรวงศึกษาฯ ก็มาทำข่าวหน้า 1 มาช่วยหัวหน้าข่าวหน้า1 ช่วยหัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ กระทั่งปี 2541 ได้รับแต่งตั้งเป็น บรรณาธิการบริหารประชาชาติธุรกิจ ก่อนหน้านั้นเป็นผู้ช่วยบก.ข่าวมติชน ในช่วงที่อยู่มติชน ก็มีข่าวที่เข้าไปเกี่ยวข้องดังๆ คือ กรณีข่าวเครื่องราชย์เป็นชิ้นที่ใหญ่ที่สุดชิ้นแรก ข่าวสปก.4-01 ทลายแก๊งค์ กลุ่ม 16 โกงบีบีซี พออยู่ประชาชาติก็ได้ทำข่าวที่เกี่ยวข้องกับ กรณีพล.ต.สนั่น 45 ล้านเงินกู้เท็จ กรณีซุกหุ้นทักษิณปี 2543 ปีเดียวกัน แล้วก็พอปี 2544 ก็กลับมาลงเป็น บก.บห.มติชน ปี 2545 ลาออกมาเป็นรองบก.อำนวยการ เขาตั้งเองจริงๆไม่อยากจะตั้ง (หัวเราะ)ช่วงอยู่มติชนก็มาเล่นเรื่องขายหุ้นปี 2549 7.3 หมื่นล้าน เพราะเป็นความรู้สะสมดั้งเดิมตั้งแต่ปี 2543

ผมเก็บข้อมูลทักษิณ ข้อมูลบีบีซีตั้งแต่ปี 2539 และทุกวันนี้ก็ยังเก็บอยู่นะ ไม่ทิ้งนะ เพราะราเกซ สักเสนา ยังไม่กลับ ข่าวบีบีซีนี้ยังไม่จบนะครับ ข่าวทักษิณก็ยังไม่จบนะครับตอนนี้ อย่าลืมว่า ข่าวที่มาเปิดทุกวันนี้ คือข่าวซุกหุ้นปี 43 เพียงแต่มีการพัฒนาขึ้นมา ฉะนั้นข้อมูลเกี่ยวกับทักษิณ และบีบีซี ผมไม่ทิ้ง หลายข้อมูลผมเก็บเป็น 10 ปี มันอาจจะได้ใช้ ณ โอกาสใดโอกาสหนึ่ง

เติบโตมาจากสายทั่วไป ทำไมถึงมีความชำนาญในเรื่องการแกะรอยหุ้น ซึ่งใช้หลายศาสตร์มาก

มันมาจากที่ผมทำข่าวทั่วไป คือ ทำทุกสายไง และก็ได้รับมอบหมายให้ทำข่าวกึ่งสอบสวนมาตั้งแต่ข่าวทุจริต ข่าวเครื่องราชย์ พอย้ายมาสายเศรษฐกิจ ก็เรียนรู้เรื่องตลาดหุ้นบ้าง และมาผสมเรื่อง สปก.ปี 2538 ประเด็นคือ ถ้าคุณจะทำข่าวชิ้นไหน คุณต้องมีความรู้เรื่องนั้น อย่างสมัยเครื่องราชย์ เราก็ต้องรู้เรื่องนั้นจริง ก็ต้องหาหนังสือเกี่ยวกับเครื่องราชย์มาอ่าน ว่ามีกี่ชั้น ชั้นหนึ่งบริจาคอย่างไร หรือ กรณีสปก. ก็ต้องไปค้นกฎหมายสปก.มาก่อน

กองบรรณาธิการ บังคับเราแค่ไหน

ไม่...ทำเองซิ คุณจะทำเรื่องไหนให้ดี คุณต้องรู้ข้อมูลเรื่องนั้น นี่เป็นหลักพื้นฐานอยู่แล้ว มันไม่ยากหรอก หลักง่ายๆ ถ้ามันพันเรื่องไหน คุณต้องไปหาเรื่องนั้น ยกตัวอย่างกรณีเงินบริจาค 258 ล้าน กับ 23 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์มีสองส่วน ผมไม่เห็นฉบับไหน พอพูดถึงกองทุนพัฒนาการเมือง แล้วบอกอยู่ในงบปี 48 ที่อภิสิทธิ์เซ็น ผมเห็นฉบับไหนไหมไปตามงบการเงินพรรประชาธิปัตย์ นักข่าวพรรคการเมืองไปอยู่ไหน ถ้าพูดกันหยาบๆ เช่น เราต้องไปขอดูงบการเงินพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเขาไม่ให้ดู เราก็โวยซิ งบพรรคการเมืองเป็นสาธารณะหรือ หรือ จะปกปิด หรือ นักข่าวกกต. มีใครไปของบการเงินพรรคประชาธิปัตย์บ้าง ของพวกนี้ต้องสั่งไหม หรือ คิดไม่ออก นี่ไง คิดง่ายๆ ไม่ต้องซับซ้อน พันถึงเรื่องไหนก็ต้องไปขอ แต่นี่ไม่เคยขอเลย

เวลาทำข่าวมีอุดมการณ์อะไรยึดหรือไม่

ก็ต้องตั้งสมมติฐานไง เฮ้ยเรื่องนี้ ถ้ามันมีหลักฐานอย่างนี้ มันควรจะไปถึงไหน และพยายามเดินไป ถ้าเดินไม่ได้ก็ถอย อย่าไปดันทุรัง

เคยฝันหรือไม่จะเป็นนักข่าวที่ยิ่งใหญ่

ตอนแรกเราก็อยากทำสนุกๆ ทำให้เต็มที่ แค่นั้นนะ ทำอะไรที่คิดว่าเป็นประโยชน์บ้าง ไม่ได้มีอุดมการณ์จ๊ะจ๋า แบบโอ้โหยอมตาย ...เราไม่ได้คิดขนาดนั้น คิดแต่ว่า ทำให้มันดีที่สุด บนหน้าตักของคุณนั่นแหละ

ข่าวที่ภูมิใจมากที่สุดที่คิดว่าส่งผลเปลี่ยนแปลง คือข่าวซุกหุ้น หรือ ทุกชิ้นที่ได้ทำ

เอางี้..หนึ่ง คุณคิดว่าในระยะอันใกล้ภายใน 10-20 ปี มีข่าวอะไรใหญ่กว่าซุกหุ้นไหมที่มันสามารถสมบูรณ์แบบในเชิงเอกสาร เปิดโปงเรื่องราวทั้งหมด ผมว่าไม่มีนะ สอง เปิดโปงนายกรัฐมนตรีที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทยได้อย่างล่อนจ้อน คุณว่ามีหรือเปล่าข่าวไหน ผมอยากถามคุณ ในฐานะนักข่าวการเมือง หรือ ข่าวขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านที่มันเกี่ยวเนื่องกัน ดูซิประกาศกฎหมายวันเดียว และก็ขายหุ้นเลย แล้วเรื่องนี้เป็นการเจอโดยบังเอิญ โป๊ะเชะเลย คุณคิดว่า มีอะไรที่มันลงตัวขนาดนี้ไหม ข่าวบางข่าวต้องอาศัยความฟลุคเหมือนกัน

เทียบกับชิ้นอื่น

ผมว่าชิ้นนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ในแง่เอกสาร สมบูรณ์มากเลย

อันนี้ทำให้เราเป็นนักข่าวที่สมบูรณ์และประสบความสำเร็จ

ไม่ใช่หรอก.. ถ้าคุณคิดว่าสำเร็จแล้ว ด้วยแค่นี้ คุณก็จะเละๆ เทะๆ ตรงนี้เป็นจุดที่จะทำให้คุณเห็นว่า มันเป็นทางผ่านทางหนึ่งของคุณ ต่อไปคุณก็ต้องรักษามาตรฐานของคุณไว้ให้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องทำข่าวอย่างนี้ได้อีกนะ..ซึ่งผมว่า มันไม่ง่ายที่คุณจะทำได้ ไม่ใช่คุณแต่งเรื่องสั้นได้ดี ซีไรท์ โนเบล ไม่ถึงขนาดนั้น แต่มันไม่ใช่ว่า สิ่งเดียวและทำให้ติดตราคุณไปตลอดชีวิตเป็นยี่ห้อขาย... ไม่ใช่

ผมไม่ได้บอกว่า ผมเป็นคนดีนะ ผมจะดีไม่ดีหรือไม่ มันอยู่ที่พฤติกรรมของผม ณ ปัจจุบันและอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป ผมจะถูกคนประฌามหรือไม่ถูกประฌามก็เพราะเรื่องนี้ แต่ไม่ได้เกี่ยวว่า ผมทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมทำข่าวซุกหุ้นสำเร็จ แล้วผมจะไปติดลมบนไม่ตก ไม่ใช่...

เคยโดนคุกคามมากที่สุดอย่างไรบ้าง

มันไม่ใช่คุกคามทางกายภาพขนาดนั้น ไม่เคยโดนขู่ฆ่า ไม่เคยโดนด้วยตัวเองตรงๆ แต่ถามว่า มีความพยายามที่จะเบรกเรื่องนั้น เรื่องนี้ด้วยวิธีการต่างๆ หรือไม่ ผมเชื่อว่า น่าจะมี แต่เขาไม่ได้ส่งสัญญาณตรงๆ เท่านั้นเอง

เคยมีนักการเมืองติดต่อขอคุยกับประสงค์หน่อยไหม

อ๋อ..ไม่ถึงขนาดนั้น ก็ขอคุยหล่ะ มีคนมาคุย แต่ไม่รู้ ส่งตรงมาจากใคร แต่ไม่ได้คุยเพื่อให้เบรก แต่มาคุยแบบ มาขอข้อมูล ขอความรู้ ซึ่งก็ไม่ได้ใช้วาจาหยาบคายอะไร

สมัยซุกหุ้นหรือ

เออ..ก็มี ก็อาจเป็นคนในสังกัดเขา ซึ่งผมไม่รู้เขาส่งมาเอง หรือ เขาอยากจะมาเพื่อเอาใจเจ้านายหรือเปล่าไม่รู้ แบบมาคุยเป็นอย่างไรบ้างเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร ยังไง จะเสนอถึงไหน .... ผมก็บอก ไม่มีอะไร ผมก็เสนอไปตามข้อเท็จจริง คือ ไม่ได้มานั่งเบรกอะไรขนาดนั้น แต่ความพยายามในการตัดโฆษณา ช่วงนั้นมี ก็ยอมรับ ก็ทุกฉบับแหละ ใครแหลมหมด ชินคอร์ปตัดโฆษณาไม่ใช่หรือ

มันเป็นผลให้เราถูกเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานด้วยไหม

ผมว่ามันอาจ... ไม่รู้ซิ อันนั้น ผมไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนตัวเอง ตอบลำบาก

แต่ว่า ด้วยยี่ห้อของประสงค์ ไม่มีใครมากล้าตอแยด้วย

(ตอบทันที) เอ้ย...ไม่จิ๊ง ไม่เกี่ยวหรอก ขนาดนั้น ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น

เขากลัวจะถูกเปิดโปงซ้ำ

ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้นหรอก มันยิงเมื่อไรก็ได้ ถ้าจะยิงผม (หัวเราะ)

ถามจริงกลัวไหมถ้าเราทำข่าวตีแผ่คนอื่น โดยเฉพาะนายกฯที่มีอิทธิพลมากที่สุด

ใครไม่กลัวมั้ง กลัวอยู่แล้ว ใครไม่กลัวว่ะ ผมไม่ได้เป็นคนอุดมการณ์หรูๆ แบบยอมตายได้ทุกเมื่อ ไม่มีขนาดนั้นหรอก

แล้วทำไมถึงต้องเดินหน้าเปิดโปงอย่างไม่กริ่งเกรง

เราก็คิดว่า เราทำหน้าที่ของเราดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่ได้ก็ถอยเพราะถ้าวันนึง เขาเอาปืนมาจ่อ ผมก็อาจจะหยุดก็ได้ แต่ทีนี้ไม่มีใครทำอย่างนั้นไง ไม่ว่าใครหรอก โดนปืนจ่อ โอ้โห..ขวัญหนีดีฝ่อหมด

โดนฟ้องมากี่คดี

ผมไม่เคยโดนฟ้องโดยตรง แต่ข่าวที่ผมมีส่วนในการทำ ถูกฟ้อง แต่ไม่ได้ฟ้องผม สุดท้ายเขาก็ถอนหมด มีข่าวที่ผมทำจริงๆตั้งแต่มาทำข่าวใหม่ๆ เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาฯ แล้วแพ้คดีศาลชั้นต้น เป็นการยอมความกันซึ่งผมจำตลอด คือ แพ้ จ่ายค่าปรับกันไป.. นั่นเป็นข่าวเดียวเลย ข่าวต่อมาไม่เคยแพ้คดีเลย คนฟ้องถอนเองหมด เพราะเราก็ระมัดระวังเรื่องข้อเท็จจริงในการเดินข่าว

ในการทำข่าวต้องรักษาระยะห่างกับนักการเมืองอย่างไร

บอกตรงๆ เมื่อเทียบกับนักข่าวคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันนะ ผมรู้จักนักการเมืองส่วนตัวน้อยมากนะ แทบจะนับคนได้เลย บางคนเจอผมก็ยังไม่รู้จัก ผมติดต่อนักการเมืองน้อยมาก

เพราะอะไร

เพราะผมไม่ได้เป็นนักข่าวประจำสายการเมืองนี่ผมจึงไม่ได้ไปเดินสายคลุกคลีตีโมง กินเหล้า กินยากับเขาไม่มี

หรือ เพราะต้องตรวจสอบจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยว

ไม่เกี่ยว แต่อาจเป็นนิสัยส่วนตัวของผมด้วยที่ไม่ใช่คนกินเหล้า นักการเมืองที่รู้จักกัน ก็คุยกันเรื่องงาน ส่วนเรื่องส่วนตัวคุยกันน้อย

แต่เครือข่ายทางวิชาการ องค์กรอิสระ

ก็รู้จัก นักวิชการ อาจจะมากหน่อยเพราะพอไปเรียนหนังสือก็ได้เจอกัน หรือ บางทีเราคบเอ็นจีโอก็ไม่ได้คบส่วนตัว ก็ถือเป็นแหล่งข่าวประเภทหนึ่ง เป็นครูบาอาจารย์ แต่เราก็ไม่เคยถึงขั้นไปคลุกคลีตีโมงอะไรมากมายขนาดนั้น

ทุกวันนี้ขนขวายหาข้อมูลอย่างไร

ก็ดูตามเวบ มีคนส่งข้อมูลมาบ้าง ดูกฎหมาย เช่น เรื่อง 7.3 หมื่นล้านที่เตรียมขาย เราก็เจอกฎหมายฉบับใหม่ประกาศ อ้าว ทำไมเพิ่งมาประกาศนี่ เราก็เดาวันรุ่งขึ้นขายแน่ แล้วก็สัมภาษณ์คนประกอบ แล้วก็ขายเลยจริงๆ ก็มีความฟลุคด้วย ผมไม่ใช่หาทฤษฎีใหม่อะไรมากมายหรอก (หัวเราะ) อย่าไปคิดลึกซึ้ง

หนังสือใหม่ๆ

ไม่ๆๆๆๆๆ ผมไม่ใช่นักอ่านขนาดนั้น

นักการเมืองในใจ

เราไม่มีโมเดลสนใจเรื่องนักการเมือง

นักข่าวในอุดมคติ

คนข่าวก็เยอะแยะ...ผมว่า ศรีบรูพานี่ก็คนหนึ่งหละที่ครบเครื่อง อิศรา อมันตกุล ก็ครบเครื่อง แต่เราเป็นแค่นักข่าว ไม่ใช่นักเขียน นี่คือ สิ่งที่เราบอด

แล้วรุ่นปัจจุบัน

(นิ่งคิด) ปัจจุบันๆๆ... ไม่ชัดเจน ผมว่า ผมเก็บคนนั้นนิด คนนี้หน่อย เอาดีกว่า สไตล์แบบนี้ในเชิงบริหารอาจจะดี คนนนี้ในเชิงข่าวอาจจะดี

ฝันของประสงค์อยากเห็นวงการสื่อเป็นอย่างไร

อย่างน้อยที่สุด ให้คนยอมรับว่า เราเป็นวิชาชีพ เป็นอาชีวปฏิญาณที่ได้รับการยอมรับคือให้เกียรติเราอย่างแท้จริง ไม่ได้ให้เกียรติเพราะพวกมึงเป็นนักข่าว แล้วกูหวังที่จะช่วยให้นักข่าวเผยแพร่ พีอาร์ให้ เราต้องการให้ยอมรับนับถือในความสามารถของคุณ เหมือนที่คนในสมัยก่อนนับถือแพทย์ หรือ ผู้พิพากษาที่ถูกสอนให้น่านับถือ ซึ่งนั่นหมายความว่า เราต้องทำตัวเราให้น่านับถือก่อน ด้วยการไม่ไปละเมิด อย่าถามคำถาม เฟอะฟะ วิธีตั้งคำถามที่หลายคนบอกว่า ถามไม่สุภาพเลย โอเคเราเข้าใจสถานการณ์ บางทีการตะโกนถามอาจไม่สุภาพ แต่บางทีรูปลักษณ์บางอย่างก็ไม่สุภาพจริง ๆ

เหล่านี้ทำอย่างไรให้ภาพรวมมันน่านับถือ คือ ไม่รังเกียจเรา แต่ที่เขานับถือเราวันนี้ ไม่ใช่นับถือที่ตัววิชาชีพเรานะ เราต้องยอมรับความจริง

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์นักข่าวมีคุณภาพด้อยลง อยากเห็นนักข่าวภาคสนามเป็นอย่างไร

ในสถานการณ์ที่เราทำอะไรไม่ได้มากนักในแง่อุดมการณ์ อุดมคติที่คนเขาอยากให้เราไปถึง ซึ่งเราคงทำไม่ถึงขนาดนั้น ดังนั้น เรื่องเฉพาะหน้า ผมอยากให้นักข่าวเฉพาะตัวมีศักยภาพ มีความรู้ให้มาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้เท่าทันแหล่งข่าว ...โทษทีนะถ้าผมพูดตรงๆ คือ ไม่ถามอะไรเซ่อๆ ถามผิด ถามถูก หรือ ถามนายกฯวันละ 3 เวลา และก็ถามคำถามปลีกๆ ย่อยๆ ซึ่งผมไม่เคยเห็นที่ไหน มันควรเป็นเรื่องเป็นราว มีเหตุผล

นักข่าวที่มีคุณภาพ จะต้องรู้เรื่องต่างๆ เข้าใจ เอาแค่นี้ก่อน ผมว่ามันจะดูน่ารักขึ้นเยอะรู้ว่า วิธีตามข่าวอย่างไร ถ้าคุณรู้เรื่ององค์กรนั้นๆ คุณจะทำข่าวได้หลายมิติขึ้น เช่น ที่ กกต.ทุกวันนี้คุณทำข่าวเฉพาะใบเหลืองใบแดง แต่ทำมากกว่านั้นได้ไหม ไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้กฎหมาย ข้อเท็จจริง ถ้าเรารู้มันจะผลักดันไปสู่อย่างอื่นได้

หงุดหงิดที่เห็นนักข่าวตั้งคำถามผิดๆ ถูกๆ

คือ อย่างน้อยเวลาคุณเถียงเขา คุณไม่อายเขา ไปยืนสนามถามแล้วไม่อายเขา ด้วยคำถามที่ไม่รู้สึกถูกดูถูกจากแหล่งข่าว

สุดท้ายนักข่าวก็เหมือนแค่ “ผู้ส่งข่าว” ไม่ใช่ “ผู้สื่อข่าว”

เป็นไปรษณีย์ แต่ไปรษณีย์ยังส่งผิดที่ (หัวเราะ) เหมือนนักข่าว วันๆ ก็ส่งข่าวมาผิดๆถูกทั้งนั้น แม้แต่พิธีกรทุกช่อง อ่านผิดอ่านถูก คอมเม้นท์ผิด แน่นอนก็อาจมีผิดได้บ้าง แต่ขอให้น้อยที่สุดก็พอ

และนักข่าวส่วนใหญ่เขาทำอะไร ถึงไม่ได้สนใจเป็นนักข่าวอย่างเข้มข้น

ผมก็ไม่ได้บอกว่า รุ่นผมดีนะ แต่ถามว่า เวลาที่เกิดขึ้นหลังเลิกงาน หรือระหว่างการทำงาน คุณทำอะไร เวลาที่ไม่มีแหล่งข่าวเดินมาเนี่ย คุณเป็นนักข่าวประจำสายหนึ่ง ระหว่างรอ คุณทำอะไร คุณคิดที่จะเดินไปหาแหล่งข่าวบางคนไหม เพราะวันหนึ่งเราไม่ได้ข่าว แต่วันหน้าเราอาจได้ข่าวที่เขากระซิบมาบอกก็ได้ โดยเฉพาะที่ผมบอกว่า ถ้าคุณมีความรู้กฎหมายหรือความรู้บางเรื่องลึก แค่แหล่งข่าวบอกคุณประโยคเดียว คุณสามารถเขียนข่าวได้หนึ่งชิ้น


ดึงโค้ท
{xtypo_quote}“นักข่าวที่มีคุณภาพ จะต้องรู้เรื่องต่างๆ เข้าใจ เอาแค่นี้ก่อน ผมว่ามันจะดูน่ารักขึ้นเยอะรู้ว่า วิธีตามข่าวอย่างไร ถ้าคุณรู้เรื่ององค์กรนั้นๆ คุณจะทำข่าวได้หลายมิติขึ้น เช่น ที่ กกต.ทุกวันนี้คุณทำข่าวเฉพาะใบเหลืองใบแดง แต่ทำมากกว่านั้นได้ไหม ไม่ได้ เพราะคุณไม่รู้กฎหมาย ข้อเท็จจริง ถ้าเรารู้มันจะผลักดันไปสู่อย่างอื่นได้”{/xtypo_quote}