ปลัดท่องเที่ยวเขมรชี้ “ไทย”-“กัมพูชา” พี่น้องกัน มองอนาคตจับมือเพื่อประโยชน์ร่วมสองประเทศ
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา นายปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (Thai Journalists Association) และประธานสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (Confederation of Thai Journalists) นำคณะจำนวน 9 คน เข้าเยี่ยมคารวะนายทิธ จันธา ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists)
โดยในโอกาสนี้ ปลัดท่องเที่ยวกัมพูชาได้กล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทย และกัมพูชาในการร่วมมือกันพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ด้วยพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงไป หันมาเที่ยวมากกว่าประเทศเดียวมากขึ้น ขณะที่ ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน การคมนาคมขนส่งสะดวกสบาย อุดมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม หากสามารถร่วมมือให้เกิดความเชื่อมโยงกัน ก็จะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย ซึ่งในขณะนี้ สองรัฐบาลได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดดังจะเห็นได้จาก การที่มีวีซ่าร่วมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศสามารถมาได้ทั้งไทย และกัมพูชา โดยในบรรดาสมาชิกอาเซียนมีเพียงสองประเทศเท่านั้นที่มีการร่วมกันในลักษณะนี้
ทั้งนี้ นายทิด ได้อธิบายถึงภาคการท่องเที่ยวกัมพูชาว่า ในปี 2560 มีกัมพูชามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือน 5.6 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวไทย กว่าสามแสนคน ขณะที่ ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแล้วร้อยละ 11 คาดว่าอาจจะถึง 6.2 ล้านคนเมื่อสิ้นปี โดยรัฐบาลตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.3 ล้านคน ในปี 2020 และ 13-15 ล้านคนในปี 2030
เมื่อถามถึงปัญหาที่ตามมาของการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวจำนวนมาก แม้จะส่งผลดีทางเศรษฐกิจ แต่อาจจะ ส่งผลกระทบทางสังคมได้ ปลัดท่องเที่ยวกัมพูชากล่าวว่า รัฐบาลก็พยายามกำกับดูแล มีการออกกฎหมายต่างๆ ให้ครอบคลุม และได้รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวที่มาเคารพกฎหมาย ซึ่งก็มีจุดยืนชัดเจนว่า หากแม้จะนำเงินเข้าประเทศ แต่หากไม่เคารพกฎหมาย ก่อความเดือดร้อนก็ไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่ต้องการ
ปิดท้ายนายทิดยังได้เน้นย้ำอีกว่า ไทยกับกัมพูชาก็เหมือนพี่น้องกัน ในเรื่องของความร่วมมือ ความแบ่งปัน ถึงอย่างไรแล้วพี่น้องก็มาก่อน ซึ่งได้ชื่นชมการทำงานของสื่อมวลชนสองประเทศ ที่มีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศที่เอต่อการเดินหน้าเรื่องความร่วมมือ และหวังว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป