ที่ โรงแรมสยามซิตี้ เครือข่ายสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(ซีป้า) ได้จัดเวทีสาธารณะ “มองย้อนสื่อไทยในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง” มีบุคคลในแวดวงสื่อสารมวลชนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมกว่า 100 คน
นาย ธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย โครงการเฝ้าระวังสื่อและพัฒนารู้เท่า ทันสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (มีเดีย มอนิเตอร์) กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังการรายงานข่าวสถานการณ์การชุมนุมการทางเมือง ของ 10 สถานีโทรทัศน์ คือ ช่อง3,5,7,9,11,ทีวีไทย,เนชั่นแชนแนล,เอเอสทีวี,ทีเอ็นเอ็น และดีสเตชั่น ระหว่างวันที่ 12-15 มี.ค. และ 21-23 มี.ค. ตลอด24ชั่วโมง พบว่า สถานีโทรทัศน์ทุกช่องเน้นแต่การายงานบรรยากาศเร้าอารมณ์ เป็นการรายงานข่าวสงครามมากกว่าการนำเสนอรายงานข่าวเชิงลึกเพื่อเฝ้า ระวังเหตุการณ์ความรุนแรง โดยมุ่งเน้นให้สำคัญกับแหล่งข่าวที่เป็นคู่ขัดแย้ง และนำเสนอภาพความรุนแรงซ้ำไปซ้ำมา ใช้ภาษาบรรยายข่าวตอกย้ำสร้างความ รุนแรง แบ่งฝักฝ่ายทำให้เกิดการดูหมิ่นเหยียดหยามกันและกัน มีส่วนทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งบานปลายจนเป็นเหตุไปสู่ความรุนแรง
“มีเดีย มอนิเตอร์จึงมีข้อเสนอแนะว่า สถานีโทรทัศน์แต่ละช่องควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอข่าว และตระหนักในผลกระทบของการนำเสนอว่าอาจสร้างความแตกแยก หรือทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น มุ่งเน้นการรายงานข่าวเชิงสันติภาพ เน้นแนวทางประนีประนอมทั้ง2ฝ่าย ให้ความสำคัญกับประชาชนทั่วไปที่อยู่ในเหตุการณ์มากกว่าแกนนำผู้ชุมนุ มและรัฐบาล ที่สำคัญสื่อควรคำนึงถึงบทบาทและหน้าที่ของตนในการรายงาน ข่าวอย่างมีอิสระและเสรี ไม่ควรให้อำนาจรัฐหรืออำนาจทุนเข้ามาแทรกแซง และไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มใด” นายธาม กล่าว
น.ส.สุ ภิญญา กลางณรงค์ กรรมการเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า สถานการณ์สื่ออินเตอร์เน็ตเมืองไทยเข้าขั้นเลวร้ายมาก กระทรวงไอซีทีมีสถิติการปิดเวปไซต์สูงมากอย่างรวดเร็วจากปี 2549 มีการปิดเว็ปไซต์ 2 พันเว็ป แต่ต่อมาปี 2553 ปิดไป 4 หมื่นเว็ปปีหน้าอาจจะเป็นหลักแสน เว็ป ทั้งพื้นที่ในเว็ปใซต์จำนวนไม่น้อยได้ทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล อย่างในเฟซบุ๊ค แต่ขณะเดียวกันรัฐก็ไล่ล่าเว็ปไซต์ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามทั้งที่ใน ความเป็นจริงแล้วไม่สามารถไล่ปิดได้หมด เพราะถึงปิดเว็ปหนึ่งก็ไปโพล่ได้อีกอยู่ดี
“รัฐเดินมาถึงทาง 2 แพร่งที่ต้องเลือกคือเดินหน้าปิดทั้ง ระบบแบบจีน หรือไม่ก็ทำใจปล่อยให้มันเติบโตไปแล้วรัฐพยายามชี้แจงในส่วนของตน ไป”น.ส.สุภิญญา กล่าว
จากนั้นได้มีการเสวนาหัวข้อ “เมื่อผู้ส่งสารตกอยู่ในอันตราย พวกเขาปฎิบัติหน้าที่กันอย่างไร”โดย ผู้สื่อข่าวภาคสนามหลายคนได้เรียกร้องให้องค์กรสื่อตระหนักถึง สวัสดิภาพความปลอดภัยของผู้สื่อข่าวภาคสนามที่ต้องทำหน้าที่รายงาน ข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรง โดยเร่งจัดหาอุปกรณ์ป้องกันชีวิตที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะ หมวกกันกระสุน เนื่องจากปัจจุบันยังมีหลายองค์กรข่าวใช้อุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงดูแล เยียวยาสภาพจิตใจผู้สื่อข่าวภาคสนามที่ผ่านเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อให้เป็นปกติ
นาย ชาติ พัฒนกุลการกิจ ผู้สื่อทีวีไทย กล่าวว่า ปัจจุบันทางสถานีแม้จะมีเสื้อเกราะ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันอาวุธหนักได้ เพราะในการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา มีการใช้อาวุธสงครามถล่มกัน แต่ที่แย่กว่านั้นคือบางสำนักยังเป็นเกราะอ่อนบอบบางมาก ทุก องค์กรอยากจะให้นักข่าว ช่างภาพไปเก็บภาพที่และใกล้ๆเหตุการณ์ ก็ควรจะตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของคนที่ทำงานด้วย
นาย มานพ ทิพย์โอสถ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ กล่าวว่า แม้ว่าทางองค์กรจะมีอุปกรณ์ป้องกันชีวิตให้แต่ยังไม่มีคุณภาพมาก พอเมื่อเทียบกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น อย่างหมวกกันน็อคในความเป็นจริงแล้วก็สามารถกันได้แค่หนังสติ๊ก หรือเสื้อเกราะที่สวมอยู่ปัจจุบันทหารเคยบอกว่าไม่สามารถป้องกัน ได้แม้กระทั่งปืนพกด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังควรจะมีการดูแลด้านสุขภาพจิตนักข่าวเพราะเชื่อว่าหลาย คนยังมีความทรงจำที่ไม่ดี อย่างตนทุกวันนี้ได้ยินเสียงปะทัดแล้วสะดุ้งทุกที
นาย นฤตย์ เสกธีระ บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์มติชน กล่าวว่า สถานการณ์หลังจากนี้ยังไม่ไว้ใจไม่ได้ แต่ก่อนที่เคยคิดว่าเป็นสื่อมวลชนแล้วจะไม่มีใครทำอะไร ต้องเลิกคิดแล้วเพราะปัจจุบันกลุ่มที่ก่อเหตุไม่เลือกเป้าหมาย สื่อมวลชนอาจจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายก็ได้
นาย เวน เฮย์ (Mr.Wanyne Hay) ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอัลจา ซีร่า กล่าวว่า สำหรับนโยบายข่าวอัลจาซีร่าจะเน้นความปลอดภัยของผู้สื่อข่าวที่ ต้องลงพื้นที่เป็นอันดับหนึ่งโดยทุกครั้งที่ลงพื้นที่เสี่ยงภัยจะ มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาความปลอดภัยจากบริษัท เอกชน ติดตามไปด้วยทุกแห่งเพื่อแนะนำว่าจะปฎิบัติตัวอย่างไรในสถานการณ์ นั้นๆแต่ไม่สามารถห้ามเราไม่ให้ไปไหนได้ โดยทีมนี้จะมีเครื่องมือปฐมพยาบาลติดไปด้วยสามารถช่วยชีวิตเราได้ ในยามฉุกเฉิน
นายก วี จงกิจถาวร บรรณาธิการอาวุโส เครือเดอะ เนชั่น ในฐานะอดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือ พิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “จริยธรรม กับเสรีสื่อมวชลชนในสถานการณ์ความขัดแย้ง” ว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะต้องมีอุปกรณ์ดูแลความปลอด ภัยนักข่าวในภาคสนามให้ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างคุณภาพในการรายข่าวของนักข่าวพร้อมกัน ไปด้วย โดยต้องฝึกทักษะให้นักข่าวรอบรู้สามารถเข้าใจโครงสร้างความขัดแย้ง ได้ ไม่ใช่เป็นแค่นักรายงานความขัดแย้งหรือความรุนแรงแบบวันต่อวันเท่า นั้น ที่ผ่านมาสื่อไทยถูกประนามว่าไม่สามารถอธิบายภาพความขัดแย้งได้ มีแต่รายงานปรากฎการณ์ไปวันๆเท่านั้น นักข่าวจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้เข้าใจในเหตุการณ์ที่ อยู่ตรงหน้าทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และถ้านักข่าวมีความรู้ในสถานการณ์แล้วจะสามารถลดข้อผิดพลาดของ ข้อมูลได้ถึง 60 เปอร์เซนต์