สรุปสถานการณ์สื่อ ประจำวันที่ 1-31 ก.ค.2563

 

สรุปสถานการณ์สื่อ ประจำวันที่ 1-31 ก.ค.2563

1.เว็ปไซต์ "คมชัดลึก" รายงาน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จำนวน 13 คณะ โดยหนึ่งในนั้นมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ รวม 15 คน โดยมี นายเสรี วงษ์มณฑา เป็นประธานกรรมการ


2.เว็ปไซต์ "เนชั่นทีวี" รายงานว่านายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์คืนถิ่นนั่งตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจทีวี ช่อง 3 เริ่มวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ โดยบริษัท บีอีซีเวิล์ด จำกัด(มหาชน)ประกาศผ่านช่องทางเฟสบุ๊ค และอินสตาแกรมch3thailand ระบุข้อความว่า บมจ.บีอีซีเวิลด์เปิดตัวผู้บริหารใหม่ผู้คร่ำหวอดในวงการทีวี นายสุรินทร์กฤตยาพงศ์พันธุ์ ในตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจทีวี โดยเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งที่ผ่านมานั้นนายสุรินทร์มีประสบการณ์การทำงานหลายด้าน ทั้ง Consumer Products และวงการทีวีโดยเฉพาะมีประสบการณ์ด้านทีวีกว่า 15 ปีและก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 มาถึง 12 ปี การกลับมาครั้งนี้เหมือนการกลับถิ่นเดิมหลังจากห่างหายไป 3 ปีบมจ.บีอีซีเวิลด์เชื่อมั่นว่าด้วยวิสัยทัศน์ และประสบการณ์ของนายสุรินทร์จะนำพาบีอีซีเวิลด์และช่อง 3 ให้ประสบความสำเร็จและมีความแข็งแกร่งยิ่งๆ ขึ้นไป


3.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานสื่อยักษ์อังกฤษเลิกจ้างพนง. 550 คน เซ่นพิษโควิดอีกเจ้า โดยสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า บริษัท รีช หนึ่งในผู้ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์รายใหญ่ในอังกฤษ ซึ่งมีหัวหนังสือพิมพ์ “เดลี มิร์เรอร์ และ “เดลีเอ็กซ์เพรส” รวมอยู่ด้วย ได้ประกาศแผนเลิกจ้างพนักงานราว550 คน คิดเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานในเครือทั้งหมดผลจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อจำนวนผู้อ่านหนังสือพิมพ์และยอดการลงโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ที่ลดลง จนส่งผลกระทบหนักต่อรายได้ของทางบริษัท
"จิม มัลเลน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของรีช ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในอุตสาหกรรมสื่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างเกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด ซึ่งบริษัทได้เห็นการใช้ผลิตภัณฑ์สื่อดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น แต่กลับมีความต้องการลงโฆษณาลดลง ซึ่งทางบริษัทไม่เห็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นสอดรับกันแต่อย่างใด ทั้งนี้ รีชระบุว่าแผนการปรับลดพนักงานลงราว 550 คนในครั้งนี้จะช่วยประหยัดต้นทุนรายจ่ายของทางบริษัทไปได้ปีละ 35 ล้านปอนด์ ขณะที่การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ของรีชนั้นจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20 ล้านปอนด์


4.เว็ปไซต์ "ฐานเศรษฐกิจ" รายงานสหรัฐ “กำลังพิจารณา” ห้ามการใช้งานแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ของจีน ซึ่งรวมถึง TikTok อ้างเนื่องจากแอปฯ เหล่านี้ สามารถล้วงข้อมูลส่งให้กับรัฐบาลจีน โดยนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐกำลังพิจารณา ห้ามการใช้งานแอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ของจีน ซึ่งรวมถึง TikTok เนื่องจากแอปฯ เหล่านี้ สามารถล้วงข้อมูลส่งให้กับรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาลักษณะนี้ บริษัท ไบท์แดนซ์ (ByteDance) ผู้พัฒนาแอปฯ TikTok เคยออกมาปฏิเสธหลายครั้งแล้ว  
ด้านนายปอมเปโอ ให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ ฟ็อกซ์นิวส์ ของสหรัฐเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) ว่า ชาวอเมริกันควรระมัดระวังการใช้ TikTok ซึ่งเป็นแอปฯโซเชียลมีเดียที่เป็นคลิปวิดีโอสั้นๆ และเมื่อพิธีกรถามว่าเขาจะแนะนำให้ชาวอเมริกันดาวน์โหลดแอปฯดังกล่าวมาใช้หรือไม่ นายปอมเปโอตอบว่า “ก็เมื่อคุณต้องการให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณตกอยู่ในมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้น”   ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การแสดงความเห็นของนายปอมเปโอ ทำให้โฆษกของ TikTok ออกมาชี้แจงในทันทีว่า บริษัทไม่เคยส่งต่อข้อมูลผู้ใช้ให้กับรัฐบาลจีนแต่อย่างใด “ไม่มีสิ่งใดที่เราให้ความสำคัญมากกว่าไปกว่าการมอบประสบการณ์การใช้แอปพลิเคชันที่ปลอดภัย และมีความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้แอปฯของเรา เราไม่เคยป้อนข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้แอปฯให้รัฐบาลจีน และถึงแม้จะมีการขอมา เราก็จะไม่ให้เช่นกัน” โฆษก TikTok ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์


5.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในช่วงบ่ายวันที่ 8 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีกำหนดนัดพบบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ เพื่อรับฟังมุมมองในการขับเคลื่อนประเทศ 2 ประเด็น 1.ประเด็นที่คนไทยและประเทศไทยของเราควรให้ความสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน และ 2.ปัจจัยที่จะช่วยผลักดันและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้ทีมงานทำจดหมายประสานไปยังถึงกองบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์ 10 ฉบับ เพื่อประสานเข้าพบ โดยเริ่มต้นเดินสายพบกับบรรณาธิการสื่อในเครือโพสต์พับลิชชิ่งเป็นสื่อแรกในช่วงบ่ายวันที่ 8 ก.ค.ก่อนมีคิวพบกับ เดลินิวส์ ไทยรัฐ และเนชั่นในวันที่9 ก.ค.นี้ ส่วนในวันที่ 10 ก.ค.จะเป็นคิวของสื่อในเครือมติชนกรุ๊ปต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้า เปิดวันที่ 12 ก.ค.มีคิวพบกับสื่อในเครือผู้จัดการตามลำดับ


6.เว็ปไซต์ "คมชัดลึกออนไลน์" รายงานสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ขอแจ้งระงับการออกอากาศรายการ "ช่องส่องผี" ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 ก.ค.2563 เป็นต้นไป มีเนื้อหาระบุว่าเรียน ท่านสื่อมวลชนและผู้ชมทุกท่าน จากกรณีรายการ "ช่องส่องผี" ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 มีเนื้อหาบางส่วนที่สร้างความไม่สบายใจให้แก่ประชาชนทั่วไปและหน่วยงานต่างๆทั้งนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 มิได้นิ่งเฉยกับประเด็นที่เกิดขึ้นได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกับผู้ผลิตรายการ "ช่องส่องผี" โดยยึดหลักการตามแนวทางของ กสทช. ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 จึงเห็นควรระงับการออกอากาศรายการดังกล่าวตั้งแต่วันศุกร์ที่ 10 ก.ค.2563 เป็นต้นไป


7.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานยูเอ็น จวก ทรัมป์ กรณีโจมตีสื่อ กระทบเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยระบุว่า เดวิด คาเย ผู้เสนอรายงานพิเศษว่าด้วยเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา กล่าวหาทำเนียบขาว รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาว่ามักใช้วิธีการโจมตีสื่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งนับเป็นการทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยเน้นว่าการคุกคามดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมาที่ประธานาธิบดีให้สัมภาษณ์หรือแถลงกับสื่อ และหวังว่าการคุกคามสื่อดังกล่าวจะหมดไปหากทรัมป์ออกจากตำแหน่งประะธานาธิบดีนอกจากนี้ คาเย ยังระบุถึงสิ่งที่เรียกว่า “ทรัมป์เอฟเฟกต์” ที่ส่งผลผลกระทบกับเสรีภาพสื่อทั่วโลกจากการโจมตีสื่อของทรัมป์ในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่มีแนวโน้มการจัดการกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แย่ลง และยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนด้วยว่ามีการคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในจีนอย่างรุนแรง


8.เว็ปไซต์ "คมชัดลึก" รายงาน กมธ.กฎหมายฯ เชิญ 2 สื่อทีวี "ไทยรัฐ-อมรินทร์" แจงดราม่าคดี "น้องชมพู่" เข้าข่ายละเมิดสิทธิหรือไม่ โดยนายสิระ เจนจาคะ ประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า จากการเชิญรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและแพทย์ในคดีน้องชมพู่ เข้าชี้แจงต่อการทำคดีในที่ประชุมกรรมาธิการฯ โดยกรรมาธิการฯพบว่ามีประเด็นที่เป็นการละเมิดสิทธิที่ประชาชนร้องเรียนและขอให้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ทั้งการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบวันที่ 21 ก.ค.จากนั้นจะเชิญตัวแทนสถานีโทรทัศน์ 2 ช่อง ได้แก่ ไทยรัฐทีวี และ อมรินทร์ทีวี เข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ ในวันพุธที่ 22 ก.ค. ถึงการลงพื้นที่ทำข่าวที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนในพื้นที่หรือไม่ เพราะมีการสัมภาษณ์ประชาชนและเปิดภาพประชาชนที่ถูกตรวจสอบ รวมถึงมีการนำเสนอในประเด็นไสยศาสตร์ที่อาจเป็นการสร้างความเสียหาย และก่อให้เกิดความแตกแยก รวมถึงจะมีการเชิญตัวแทนจากสมาคมสื่อเพื่อมาให้ข้อมูลว่าสื่อจะรับผิดชอบต่อกรณีนี้อย่างไร


9.เว็ปไซต์ "มติชน" รายงาน ‘กสทช.’ แทงบอร์ดเคาะความผิด ‘ช่องส่องผี’ จอดำ 1 วัน โดยพล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ เปิดเผยภายหลังเรียกรายการช่องส่องผี เข้าชี้แจงและรับทราบข้อกล่าวหา หลังจากหลายฝ่ายระบุว่า รายการมีการนำเสนอเนื้อหาที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ นำมาซึ่งความเสียหายทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยมีตัวแทนจากกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมรับฟังด้วย ว่า คณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการได้มีการวินิจฉัยแล้วว่า รายการช่องส่องผีนั้นมีความผิดโดยการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนต่อความเป็นจริง จึงให้มีการงดการออกอากาศเป็นเวลา 1 วัน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางรายการได้ยุติการออกอากาศไปแล้ว แต่ได้มีการนำรายการอื่นมาออกอากาศแทน แต่กรณีดังกล่าวถือว่ามีความผิด ทั้งนี้ จะนำผลการวินิจฉัยดังกล่าวเข้าที่ประชุม กสทช. ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 เพื่อขอการอนุมัติ โดยคาดว่าช่วงเวลาที่รายการช่องส่องผีจะงดออกอากาศจะเป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2563


10.เว็ปไซต์ "สยามรัฐ" รายงานราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ (ฉบับที่ 2) โดยในส่วนของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสื่อมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศมีนายเสรี วงษ์มณฑา เป็นประธานกรรมการ โดยมีคณะกรรมการ ประกอบด้วย นางกนกทิพย์ รชตะนันทน์ พลอากาศเอก คณิต สุวรรณเนตรืนายธงชัย ณ นคร นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นางสาวปาริชาต สถาปิตานนท์นายภัทระ คาพิทักษ์ นายวรัชญ์ ครุจิต นางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน นายไชยา ยิ้มวิไล นางสาวลัดดา ตั้งสุภาชัย นางธิดาพัทธธรรมทั้งนี้ คณะกรรมการฯ มีขอบเขตงานด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยีสารสนเทศทุกรูปแบบ การน าเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการพัฒนาประเทศ สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การประชาสัมพันธ์ เสรีภาพของสื่อสารมวลชน การรู้เท่าทันสื่อ ความผิดเกี่ยวกับสื่อ คุณธรรมและจริยธรรมของสื่อ


11.เว็ปไซต์ "brandinside.asia" รายงานว่า อวสานสิ่งพิมพ์ปิดตำนาน Q Magazine นิตยสารดนตรีชื่อดังจากเกาะอังกฤษ ประกาศยุติกิจการ โดย Q Magazine นิตยสารสายดนตรีชื่อดังจากสหราชอาณาจักร ประกาศยุติการพิมพ์นิตยสารหลังจากดำเนินธุรกิจมากกว่า 34 ปีTed Kessler บรรณาธิการของนิตยสารระบุว่า สาเหตุสำคัญของการยุติกิจการมาจากวิกฤตโควิดที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้ว่าองค์กรของเราจะทำตัวลีนเพื่อลดต้นทุนและต่อสู้ในตลาดสิ่งพิมพ์ที่ยากลำบากมาสักพักแล้ว แต่เมื่อเจอเข้ากับวิกฤตโควิด สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดีQ Magazine ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1989 โดย Mark Ellen และ David Hepworth ชื่อแรกของนิตยสารก่อนจะมาเป็น Q ใช้คำว่า “Cue” ซึ่งหมายถึง “The cueing up of the next record” (หรือการเตรียมการสำหรับเพลงถัดไป) โดย Q Magazine ฉบับสุดท้ายที่จะตีพิมพ์คือฉบับวันที่ 28 กรกฎาคมนี้


12.เว็ปไซต์ "มติชน" รายงาน ‘มติชน’ เล็งฟ้องปกป้องชื่อเสียงปม ป.ป.ช.ชี้มูลร่วม ‘ปู’ จัดโรดโชว์ ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติและดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทยThailand 2020” โดยมีการชี้มูลความผิดทางอาญากับบริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) นายฐากูร บุนปาน บริษัทสยามสปอร์ตซินดิเคจ จำกัด(มหาชน) และนายระวิ โหลทอง
นายฐากูร บุนปาน รองประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ออกมายืนยันการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นไปโดยบริสุทธิ์ ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบราชการ เช่นเดียวกับการดำนินการอื่นๆ ตามหลักการที่ยึดถือของบริษัทมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของรัฐบาลใดนอกจากนั้นแล้ว โครงการดังกล่าว ยังได้รับการตรวจสอบจาก คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ซึ่งมีตัวแทนของ ป.ป.ช. และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมอยู่ด้วย ตั้งแต่หลังมีการรัฐประหาร 2557 และใช้เวลาไต่สวนกว่า 18 เดือน และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้อนุมัติให้จ่ายค่าเงินค่าจ้างที่ค้างอยู่ในปี 2559 โดยในชั้นไต่สวน บริษัทได้ขอชี้แจงในประเด็นดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่ได้รับโอกาสจาก ป.ป.ช. แต่ บริษัทน้อมรับการตรวจสอบ และแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการ รวมทั้งขอสงวนสิทธิ์ในทางกฎหมาย ที่จะปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิของตนเอง


13.เว็ปไซต์ "ไทยพีบีเอส" รายงานภายหลังองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส เปิดรับสมัครกรรมการนโยบายเพื่อทดแทนผู้ที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี จำนวน 5 ตำแหน่ง ไปเมื่อวันที่ 1-30 เมษายน 2563 ขณะนี้มีผู้ผ่านการคัดเลือกให้ดำรงกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะครบวาระ 4 ปี จำนวน 5 ตำแหน่ง ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการองค์กร 2 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1.นายอนุสรณ์ ธรรมใจ 2. นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา 
ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นการเรียนรู้และการศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1. นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง 2.นายบุญเลิศ คชายุทธเดช 3. นางสาวอุษาสินี ริ้วทอง
จากนั้น ส.ส.ท.จะเชิญผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 5 ท่าน มาประชุมร่วมกับกรรมการนโยบายอีก 4 คนที่ยังไม่หมดวาระรวมเป็น 9 คน เพื่อเลือกประธานกรรมการนโยบาย จากนั้นจะส่งรายชื่อกรรมการนโยบายใหม่ทั้ง 5 คน ให้กับนายกรัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ให้นายกรัฐมนตรีประกาศชื่อในราชกิจจานุเบกษาต่อไป


14.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้ออกคำชี้แจงกรณีปรากฏข้อความที่ไม่เหมาะสมบนเฟซบุ๊กเพจ Thai PBS ในช่วงเวลาของการถ่ายทอดสด พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 ตามที่มีผู้นำภาพจากหน้าเพจของเฟซบุ๊กไทยพีบีเอส และมีการเผยแพร่ ส่งต่อในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อความภาษาไทยที่ถูกแปลด้วยบริการแปลอัตโนมัติของเฟซบุ๊ก จากข้อความต้นฉบับภาษาอังกฤษว่า “[Live] Candle-lighting ceremony to celebrate the birthday of HM the King on July 28, 2020 at 6.45 PM” เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดสดที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ จึงต้องมีการสื่อสารด้วยข้อความภาษาอังกฤษในโพสต์ดังกล่าว


ต่อมามีผู้แชร์ภาพหน้าเฟซบุ๊กเพจไทยพีบีเอส ที่มีข้อความภาษาไทยที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นข้อความที่เกิดจากบริการแปลอัตโนมัติ (Auto Translation) ของเฟซบุ๊กที่แปลจากข้อความภาษาอังกฤษข้างต้น โดยผู้ใช้บริการที่มีการตั้งค่าเปิดการแปลอัตโนมัติเท่านั้น จึงจะเห็นข้อความการแปลดังกล่าว และบุคคลดังกล่าวได้มีการบันทึกภาพหน้าจอ (Capture) จากเฟซบุ๊กไทยพีบีเอส นำมาเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นข้อความที่ทีมงานไทยพีบีเอสเป็นผู้เขียน


เมื่อ ส.ส.ท.ได้รับทราบข้อมูลการแปลที่ไม่เหมาะสม ซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ จนทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ทีมงานจึงได้ดำเนินการปรับข้อความภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทยที่ถูกต้องในทันที เพื่อป้องกันการแปลที่ผิดพลาดจากระบบการแปลอัตโนมัติของเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 18.55 น.

ขณะเดียวกัน ทีมงานได้แจ้งปัญหาและติดต่อขอคำชี้แจงถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับทางเฟซบุ๊กในทันที โดยนาย Alex Fenby, News Partnerships Lead, South East Asia สำนักงานเฟซบุ๊ก ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้ตอบกลับมาว่า “Sincere apologies for the mis-translation. It was caused by a technical error on auto-translation. We have filed an urgent task with your policy and IT teams to investigate and will keep you informed once we hear back.”


พร้อมกันนั้น ส.ส.ท. ได้เร่งรัดให้เฟซบุ๊กรายงานผลการตรวจสอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยเร็ว รวมทั้งควรแถลงขออภัยอย่างเป็นทางการ เนื่องจากทีมงานได้ตรวจสอบเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. พบว่า การแปลข้อความที่ผิดพลาดนี้ได้ปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊กเพจทางการของสื่ออื่น ๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะเพจของไทยพีบีเอสเท่านั้นซึ่งตอกย้ำชัดเจนว่าบริการแปลอัตโนมัติของเฟซบุ๊กมีปัญหา

ส.ส.ท.ได้ออกคำชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อเวลาประมาณ 00.23 น. ตามลิงก์ www.facebook.com/ThaiPBSFan/photos/a.348532055084/10164385062660085 และได้ดำเนินการสอบหาข้อเท็จจริงทันที พร้อมแจ้งไปยังสำนักพระราชวัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว 

ส.ส.ท.ขออภัยที่มีผู้นำข้อความจากบริการแปลอัตโนมัติที่ผิดพลาดของเฟซบุ๊กไปเผยแพร่ โดย ส.ส.ท.ขอยืนยันว่าจะติดตามหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างถึงที่สุด และรายงานให้สาธารณะได้รับทราบ ทั้งนี้ ส.ส.ท. จะไม่ยอมให้มีการใช้ประโยชน์ในการสร้างสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและประเทศชาติ


15.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงานเฟซบุ๊กแถลงขออภัยอย่างสูง กรณีเกิดความคลาดเคลื่อนในการแปลข้อความภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยตัวแทนจาก Facebook เปิดเผยว่าFacebook ได้ออกแถลงการณ์ว่า ได้พบว่ามีข้อผิดพลาดเชิงเทคนิคของฟีเจอร์แปลภาษาอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการแปลข้อความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ระหว่างนี้ Facebook ได้แนะนำให้พันธมิตรสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ปิดฟีเจอร์แปลภาษาอัตโนมัติ ขณะที่ทีมงานกำลังดำเนินการตรวจสอบ ทางFacebook ขออภัยเป็นอย่างสูงสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้


16.เว็ปไซต์ "เนชั่นสุดสัปดาห์" รายงานดีอีเอสหมายหัว“เฟซบุ๊ก” ชี้รับไม่ได้เพิกเฉยคำหมิ่น โดยพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกมาระบุถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพจากหน้าเพจเฟซบุ๊กของสื่อหลายแห่ง ในการถ่ายทอดสดพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และมีข้อความที่ไม่เหมาะสมแสดงขึ้นมา โดยเป็นคำแปลจากข้อความต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่มีความหมายไม่ถูกต้องนั้น โดยกระทรวงดีอีเอส ได้ประสานไปยังเฟซบุ๊กแล้ว ขณะที่ไทยพีบีเอสเองก็ได้แจ้งความไปยัง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท) เพื่อดำเนินคดีกับเฟซบุ๊กแล้ว

ทั้งนี้ รมว.ดีอีเอส เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กระทรวงดีอีเอส ได้ดำเนินการเว็บไซต์ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งยูทูปให้ความร่วมมือ90% ขณะที่เฟซบุ๊กให้ความร่วมมือเพียง 30% เท่านั้น เห็นได้ว่าเฟซบุ๊กไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งที่มาทำงานในประเทศไทยมาให้บริการกับคนไทย จึงควรที่จะเข้าใจบริบทของสังคมไทยยอมรับในสิ่งที่คนไทย ยึดมั่น นับถือ และรับผิดชอบสังคมไทยไม่ใช่ส่งไปให้ปิดแล้วก็นิ่งเฉย คนทั่วไปก็ไม่เข้าใจคิดว่ากระทรวงฯนิ่งเฉย เมื่อต้นเรื่องที่ต่างประเทศไม่ให้ความร่วมมือกระทรวงฯก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกระบวนการทำงานของกระทรวงฯได้ประสานไปหมดทุกขั้นตอนแล้ว

ขณะเดียวกันในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2563 กระทรวงดีอีเอสได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และประสานงานร่วมกับไอเอสพี จนนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งปิดหรือลบข้อมูลในเว็บไซต์ผิดกฎหมายไปแล้ว จำนวน 7,164 ยูอาร์แอล (ขัอมูลณ วันที่ 23 ก.ค.2563) จากจำนวนที่กระทรวงฯ ได้รับแจ้งทั้งสิ้น 8,715 ยูอาร์แอล และมีการส่งศาล 7,164 ยูอาร์แอล
พร้อมกันนี้ กระทรวงดึอีเอส ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก “อาสา จับตา ออนไลน์” เพื่อเป็นช่องทางรับแจ้งข้อมูลจากประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและตรวจสอบตลอด 24 ชม. และพิจารณาตามข้อกฎหมายและตอบกลับ


17.เว็ปไซต์ "มติชนออนไลน์" รายงาน ออสซี่เตรียมบังคับ ‘เฟซบุ๊ก-กูเกิล’ จ่ายเงินค่าข่าวให้สื่อออสเตรเลีย โดยสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมว่า ทางการออสเตรเลียเตรียมบังคับให้ บริษัท เฟซบุ๊ก อิงค์ และ กูเกิล ของ อัลฟาเบต อิงค์ จ่ายเงินให้กับสื่อทั้งหมดของออสเตรเลีย ที่มีการนำเนื้อหาข่าวเหล่านั้นไปแสดงผลบนแพลตฟอร์มของทั้งสองบริษัท

นายจอช ฟรายเดนเบิร์ก รัฐมนตรีคลังของออสเตรเลียกล่าวว่า ออสเตรเลียจะเป็นประเทศแรกที่มีการเรียกเก็บเงินจากเฟซบุ๊กและกูเกิล ค่าเนื้อหาข่าวที่ได้จากสื่อ ซึ่งกำลังจะออกเป็นกฎหมายภายในปีนี้ ซึ่งนายฟรายเดนเบิร์กกล่าวว่า เป็นเรื่องยุติธรรมสำหรับธุรกิจสื่อของออสเตรเลีย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการเพิ่มภาวะการแข่งขัน เพิ่มการคุ้มครองผู้บริโภค และทำให้สื่อมีความยั่งยืน

ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียได้แจ้งกับเฟซบุ๊กและกูเกิล ให้ทำการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันกับบริษัทสื่อทั้งหลายในการนำเนื้อหาข่าวจากสื่อไปใช้บนแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊กและกูเกิล แต่ไม่บรรลุผลใดๆ ทำให้รัฐบาลออสเตรเลียออกมาระบุว่า หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ภายใน 45 วัน สำนักงานสื่อสารและสื่อออสเตรเลียจะจัดทำข้อกำหนดที่มีผลผูกพันทางกฎหมายภายใต้รัฐบาลออสเตรเลียเอง

ด้านกูเกิลออกมาแย้งว่า ข้อบังคับดังกล่าว มีขึ้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่า ในแต่ละปี มีผู้ที่คลิกข่าวของสื่อออสเตรเลียจากกูเกิลนับหลายพันล้านครั้ง โดยเมล ซิลวา ผู้อำนวยการบริหารของกูเกิล ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างความห่วงกังวลให้แก่ธุรกิจและนักลงทุนว่า รัฐบาลออสเตรเลียจะเข้าแทรกแซงการดำเนินธุรกิจ แทนที่จะปล่อยให้เห็นไปตามกลไกของตลาด ขณะที่เฟซบุ๊ก ยังไม่ได้ออกมาตอบโต้เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด


18.เว็ปไซต์ "ฐานเศรษฐกิจ" รายงานสะเทือนวงการสื่อ “เดลินิวส์” ลดพนง.ฝ่ายออนไลน์ 50% โดยเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 31 ก.ค. 63 มีการแชร์ข้อความทางไลน์ในแวดวงการสื่อมวลชน ระบุเรื่องว่า เดลินิวส์ ปลดฟ้าผ่า ลดฝ่ายออนไลน์ 50 เปอร์เซ็นต์1. วันนี้ "เดลินิวส์" ปลด-ให้ออกพนักงานแบบฟ้าผ่า2. ปลดกำลังคนฝ่ายออนไลน์ 50 เปอร์เซ็นต์3. แจ้งแบบฟ้าผ่าว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน บริษัทพร้อมชดเชยตามกฎหมายแรงงาน4. ทางบริษัทฯ รับผิดชอบด้วยการค่าชดเชย บวกอีก 1 เดือนค่าตกใจ5. เดือนหน้า จะมีการพิจารณาเรื่องกำลังคนของส่วน นสพ. ต่อไป

ด้าน ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.หอการค้าไทย ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @dr_mana ระบุด้วยว่า “เดลินิวส์ ปลดฟ้าผ่า ลดฝ่ายออนไลน์ 50 เปอร์เซ็นต์” วันนี้ "เดลินิวส์" ปลด-ให้ออกพนักงานแบบฟ้าผ่า ปลดกำลังคนฝ่ายออนไลน์ 50 % แจ้งว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน บ.พร้อมชดเชยตามกม.แรงงาน โดยรับผิดชอบจ่ายค่าชดเชย บวกอีก 1 เดือนค่าตกใจ