ข้อเสนอเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก-กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผ่าน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนัำกหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  นายวิสุทธิ์  คมวัชรพงศ์  นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยยื่นข้อเสนอเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคือนายนิวัฒน์ธำรง  บุญทรงไพศาล

 

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

 

3 พฤษภาคม 2555

เรื่อง  ข้อเสนอเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก

กราบเรียน   ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ผ่าน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

ตามที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “ วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ” เพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์และหลักการที่เป็นพื้นฐานของเสรีภาพสื่อมวลชน ซึ่งคือเสรีภาพของประชาชน เพื่อให้มวลมนุษยชาติตระหนักถึงความสำคัญของสื่อมวลชนที่จะต้องมีเสรีภาพ

แต่กระนั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นยุคแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันทางการเมืองได้ลุกลามเข้ามาถึงวงการสื่อมวลชน โดยแต่ละฝ่ายได้เปิดดำเนินการสื่อของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ หรือแม้แต่ในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย จนทำให้การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่มุ่งปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ต้องถูกท้าทายจากกลุ่มการเมืองหลายด้าน ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนยังต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในยุคทีมีการแข่งขันสูงระหว่างสื่อที่หลากหลายรูปแบบ

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก จึงขอเสนอข้อเรีกร้องมายังรัฐบาลดังต่อไปนี้

1. การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนบนความท้าทายครั้งใหม่ ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งทางการเมือง นอกจากความรับผิดชอบแล้ว การดำรงไว้ซึ่งเสรีภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ ฉะนั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนจึงไม่ควรถูกคุกคามแทรกแซงจากอำนาจรัฐ กลุ่มการเมือง กลุ่มอิทธิพล รวมถึงกลุ่มทุน ใดๆ

2. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีความจริงใจในการปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยต้องปราศจากการครอบงำจากหน่วยงานของรัฐและทุนขนาดใหญ่ เพื่อให้การดำเนินงานของสื่อสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลควรระมัดระวังการแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน และใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง

3.รัฐบาลต้องยุติการออกกฎหมายที่มีลักษณะจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องไม่มีการแก้ไขไปในลักษณะที่ลดทอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนที่ได้บัญญัติไว้สมบูรณ์แล้ว

 

ในโอกาสเดียวกันนี้ สมาคมวิชาชีพทั้ง 2 สมาคมยังได้เรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกสำนัก และทุกประเภท ตระหนักถึงการทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ภายใต้กรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ท่ามกลางสภาวะขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน เพื่อหลีกเลี่ยงการท้าทาย ยั่วยุ ให้เกิดความรุนแรง  แม้ว่ารัฐธรรมนูญได้ให้หลักประกันในด้านสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน แต่การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใด สำนักใด ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพด้วย นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร เปิดใจกว้างรับฟังความเห็นที่หลากหลายจากสื่อมวลชน และระมัดระวังอย่างยิ่งในการรับข่าวสารจากสื่อที่เป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะเดียวกันสื่อภาคประชาชน และสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) พึงตระหนักถึงกระบวนการนำเสนอด้วยความรับผิดชอบเช่นกัน

 

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

 

 

(นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี)                                                 (นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์)

นายก สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย                นายก สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย