หัวใจสำคัญของการหยุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้คือ “วัคซีน” แต่ที่ผ่านมาการกระจายวัคซีน ของรัฐบาล เป็นไปอย่างล่าช้า หลายหน่วยงานแย่งบทบาททำหน้าที่ซ้ำซ้อนในการกระจายวัคซีน ทำให้เกิดหลายช่องทางในการลงทะเบียนเพื่อฉีดวัคซีน นอกจากนี้ยังมีการลัดคิวในการฉีดวัคซีน นำไปสู่ตัวเลขของผู้ป่วยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ กระจายวัคซีนของรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา ถูกดึงไปยังกลุ่มอื่นๆ มากกว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์สาธารณสุข และกลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งหลังมีการคิกออฟ ฉีดวัคซีนครั้งแรกอย่างเป็นทางการของประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความโกลาหล ทั้งวัคซีนไม่พอฉีด การลงทะเบียนที่ประชาชนต้องฝ่าฟันทุกช่องทาง การเลื่อนนัดฉีด การฉีดวัคซีนให้กับประชากรกลุ่มต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่ ถูกปรับเป้าหมาย…”
มุมมองของ “อาร์ท” เอกรัฐ ตะเคียนนุช ผู้สื่อข่าวสายการเมือง ช่อง ONE 31 กรณีปัญหาศูนย์วัคซีนสถานีกลางบางซื่อ กำลังสะท้อนการกระจายวัคซีนของภาครัฐที่ล้มเหลวหรือไม่ โดยอาร์ทเล่าว่า หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ทำข่าวติดตามบรรยากาศการเริ่มฉีดวัคซีนอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนเฉพาะกลุ่ม ตอนนั้นยังไม่พบปัญหามากนักเนื่องจากเป็นคนกลุ่มน้อย จนถึงวันที่มีการประกาศฉีดอย่างเป็นทางการคือวันที่ 7 มิถุนายน ที่สถานกลางบางซื่อ และ 25ศูนย์ฉีดวัคซีนกทม.
ภาพของประชาชนจำนวนมากแห่ไปกระจุกแน่นที่สถานีกลางบางซื่อ จนมีคำถามว่าทำไมไม่ถ่ายเทคน กระจายไปยัง 25 ศูนย์ฉีดวัคซีนกทม. แต่ทั้งหมดติดปัญหาที่สังกัดความรับผิดชอบคนละหน่วยงาน ยิ่งเมื่อ 25 ศูนย์ฉีดวัคซีนกทม. ไม่เพียงพอ ทั้งถูกเลื่อนผลัดวันไปเรื่อยๆ วัคซีนไม่ได้ถูกแบ่งมาเติมที่25 จุด ทำให้ผู้ที่ลงทะเบียนผ่านไทยร่วมใจแล้วต่างก็เปลี่ยนแผนไปวอล์คอินรอเข้าแถวฉีดที่สถานีกลางบางซื่อไม่ดีกว่าเหรอครับ โดยเฉพาะประเด็นดราม่าภาพคนไปรอที่สถานีกลางบางซื่อล่าสุด มันสะท้อนอะไรบางอย่างของการบริหารงานที่ล้มเหลว
ทั้งนี้ ปัญหาอยู่ที่สถานีกลางบางซื่อ อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงคมนาคม ในขณะที่25 ศูนย์ฉีดวัคซีน เป็นของกรุงเทพมหานคร ดูแลโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตรงนี้ประชาชนจะไม่ค่อยรับทราบเท่าไหร่ เหมือนไม่เป็นปัญหาแต่สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหา เพราะดูแลกันคนละหน่วยงาน อีกทั้งมองว่าปัญหามันหนักหน่วงตรงที่เปิดให้ฉีดวัคซีนด้วยการวอล์คอิน หากย้อนดูประกาศของกระทรวงสาธารณสุขจะเห็นว่ามีการระบุชนิดวัคซีนอย่างชัดเจนว่าเป็นเอสตร้าเซนเนก้า ขณะที่วัคซีนของกทม.กลับไม่ระบุชนิด ส่วนตัวผมมองว่าเรื่องของ คุณภาพวัคซีนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนมีความต้องการฉีดวัคซีนเอสตร้าเซนเนก้าค่อนข้างสูง ประกอบการคนต่างจังหวัดในพื้นที่สีแดงเดินทางเข้ามาฉีดวัคซีนที่กรุงเทพต่อเนื่องคำสั่งงดเว้นการเดินทางแทบจะไม่มีผลเลย
ในฐานนะนักข่าวการเมืองมองว่าคำสั่งล็อคดาวน์ อาจเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด หลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับ พอดีผมมีโอกาสได้พูดดคุยกับศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทีมแพทย์ต่างมีความกังวลว่าการล็อคดาวน์ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมองว่าเป็นเหมือนภาวะตู้อบเชื้อ การที่ห้ามคนออกนอกเคหะสถาน ให้คนอยู่บ้านมันเกิดภาวะเหมือนตู้อบแล้วมันเกิดการติดเชื้อกันไปมาภายในครอบครัว ภายในออฟิต อยากเสนอให้มีโมเดลคือแยกเชื้อออกมา เพื่อทำการปูพรมตรวจเชิงลึกทุกคนแต่มันก็เป็นไปได้ยากมาก จึงเป็นที่มาของชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์และไม่ทั่วถึงมากพอ
อาร์ททิ้งท้าย ย้ำว่าการล็อคดาวน์ 24 ชั่วโมงหรือการนำอู่ฮั่นโมเดลมาปรับใช้ในบ้านเรา เป็นไปได้ยากเพราะ เราไม่สามารถสั่งห้ามเอกชน หรือห้ามการเดินทางออกนอกบ้านได้ อีกทั้งขนาดประชากรและพื้นที่ประเทศไทยกับอู่ฮั่นก็ต่างกัน หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาอย่างจริงใจควรแก้ด้วยวัคซีน ที่ต้องจัดหามาฉีดให้ประชาชนอย่างครอบคลุมและรวดเร็วที่สุด
ติดตามรายการ “ช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น. เป็นความร่วมมือของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5
#ช่วยกันคิดทิศทางข่าว
#สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
#สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ #Thaijournalistsassociation