การเมืองไร้ มิตรแท้-ศัตรูถาวร”

“รอยร้าวทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุยกันได้ผลประโยชน์ลงตัวเรียบร้อยหมด ลืมความขัดแย้งหายกันไปหมด”

ปรากฎการณ์หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำเอาคอการเมืองต่างช็อกไปตามๆกัน เพราะมีราชกิจจานุเบกษา เผยแแพร่ประกาศ ให้ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นปมร้าวในพรรคพลังประชารัฐชัดเจน 

วิษณุ นุ่นทอง บรรณาธิการข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์  นักข่าวที่คร่ำหวอดในสายการเมืองเกือบ 30 ปี วิเคราะห์ ในรายการ​ “ช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า ร.อ.ธรรมนัส ถูกปลดดูเหมือนว่าทำให้รัฐบาลวูบ แต่ความจริงแล้วกลับทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมี power และมีภาวะความเป็นผู้นำขึ้นมาทันที ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลกลัว และหวั่นไหวเพราะไม่รู้ว่าจะถูกรื้อโควตาหรือไม่ ขนาดเลขาธิการพรรคยังถูกปลด ความจริงแล้วปกติการเมืองที่ผ่านมาเมื่อปลดเลขาธิการพรรค ก็ต้องสั่นสะเทือนแต่ยุคนี้กลับตาลปัตร

​ปรากฏว่าเสถียรภาพความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกคนยอมรับว่าเด็ดขาดมีอำนาจ เพราะไม่มีกับดักทางการเมือง เนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปแล้ว มีเพียงวาระของกฎหมายที่เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาฯเท่านั้น  พล.อ.ประยุทธ์จึงกล้าทำทันที เพราะกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา  จะมีขึ้นอีกครั้งตามรัฐธรรมนูญก็ประมาณปลายปีหน้า  ทำให้พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจในมือเต็มที่ 

​ความจริงแล้วระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีกระแสข่าวว่ามีกระบวนการเคลื่อนไหวจะล้มนายกรัฐมนตรี แต่ท้ายที่สุดคนที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกลับไม่โดน ขณะที่คนคุมเสียง ถูกกล่าวหาว่าเคลื่อนไหวล้มนายกรัฐมนตรี กลับถูกปลดออกจากตำแหน่ง เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาค่อนข้างชัดเจน ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ 

​ซึ่งความจริงในพรรคพลังประชารัฐร้าวมานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่เห็นชัดว่ากลุ่มไหนจะแตกออกไปอย่างไร เพราะการเลือกตั้งยังมาไม่ถึง เนื่องจากอีกปีกว่ารัฐบาลถึงจะครบวาระ  ถ้าร.อ.ธรรมนัส จะอยู่ในพรรคได้หรือไม่โดยไม่มีตำแหน่ง หรือมีการให้คุณให้โทษการสร้างอะไรในพรรค เพื่อเตรียมตัวการเลือกตั้งครั้งหน้าก็คงยาก ขณะที่พล.อ.ประวิตรไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และให้ ร.อ.ธรรมนัสอยู่ต่อด้วยการเรียกส.ส. กับกรรมการบริหารพรรคเข้าไปพูดคุย แต่เมื่อพล.อ.ประวิตรยังไม่ขยับออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และการเปลี่ยนแปลงในพรรค ก็ยังไม่ชัดเจน 

​ความจริงในพลังประชารัฐรวมกันแบบเฉพาะกิจหลายกลุ่ม แต่ยุบรวมเป็นแพคทางการเมือง ที่ค่อนข้างเคลื่อนไหวชัดเจนและมีกองกำลังของตัวเอง ตอนนี้มีหลักๆอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ สามมิตรและ กลุ่มของร.อ.ธรรมนัสกับพล.อ.ประวิตร ที่เป็นเนื้อเดียวกัน 

 แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐยังไม่เป็นเอกภาพ เพราะนายสันติ พร้อมพัฒน์ ต้องการเป็นเลขาธิการพรรค  และเคลื่อนไหวอยากจะโค่นเก้าอี้ร.อ.ธรรมนัส แต่ถ้าโหวตกันวันนี้ก็ยังแพ้ เพราะกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัสหรือพล.อ.ประวิตรเป็นทีมเดียวกัน ดูแลส.ส. ด้วยการแจกกล้วยตลอด ซึ่งทุกคนรับรู้กันหมด ​แต่ถ้านายกฯขยับมาเป็นหัวหน้าพรรคเอง และให้นายสันติขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค

หมายความว่าถ้าจะล้าง ร.อ.ธรรมนัส ภาระทั้งหมดนั้นพลเอกประยุทธ์จะรับไหวหรือไม่ เพราะในพรรคตอนนี้อยู่กันแบบไม่ลงตัว แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้รีบเร่งลงมาจัดการภายในพรรค  ขณะที่พล.อ.ประวิตรก็ต้องการจะยืดคณะรัฐมนตรี ออกไปให้ยาวอีกปีกว่า จึงยังมีเวลาแก้ไขปัญหาในพรรค แต่ในทางการเมืองระยะเวลาปีกว่านั้นถือว่าน้อยมาก ถ้าพล.อ.ประวิตร ยังให้ ร.อ.ธรรมนัสอยู่ต่อในพรรค ถามว่าจะอยู่กันยังไง ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ขยับมาทำอะไรในพรรค การเลือกตั้งครั้งหน้า พล.อ.ประยุทธ์จะลงต่ออีกหรือไม่เรื่องนี้น่าสนใจ แต่มือไม้ของนายกฯเวลานี้มันยังไม่มี ในพรรคพลังประชารัฐ

​สมมุติว่าร.อ.ธรรมนัสออกไปจากพรรคพลังประชารัฐไป  ก็ไม่กระทบกับพลังประชารัฐ หรือหากจะตั้งพรรคใหม่ยิ่งต้องคิดหนัก  แม้จะบอกว่ามี ส.ส.อยู่ในมือ 30 - 40 เสียง การตั้งพรรคการเมืองใหม่ก็ไม่ง่าย ยิ่งบัตร 2 ใบยิ่งลำบาก  แต่เชื่อว่าร.อ.ธรรมนัสคงคิดว่าถึงแม้เขาจะออกจากพรรคไป  ก็มีโอกาสกลับมาได้ 

เพราะส.ส.ที่มีอยู่ในมือยังไม่มีศักยภาพที่จะชนะการเลือกตั้ง  ถ้าทำตัวดีขึ้นมา ไกล่เกลี่ยกันได้ พล.อ.ประวิตรเอาเขาไว้อีก เพราะแลกกันคนละดอกไปแล้ว เคลียร์กันไปเรียกว่าจบกันคนละยกแบบนี้  และถ้า ร.อ.ธรรมนัสเชื่อมได้ คือ เอาอำนาจของพล.อ.ประวิตรมา แล้วเดินได้ครบโดยมีกองกำลัง มีกลไกราชการ มีทุน มีเสบียง เพราะเป็นคนกล้าตัดสินใจด้วย

​“รอยร้าวทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุยกันได้ผลประโยชน์ลงตัวเรียบร้อยหมด ลืมความขัดแย้งหายกันไปหมด สังเกตได้ว่า ส.ส.แต่ละคนย้ายมาไม่รู้กี่พรรค  แกนนำแต่ละคนย้ายมาไม่รู้กี่พรรค ย้ายกลับไปกลับมา เพราะว่าถ้าผลประโยชน์ลงตัวเมื่อไหร่เขาจบกันเมื่อนั้น แต่ถ้าเราวิเคราะห์กัน ณ วันนี้นาทีนี้ พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนแล้วก็ได้ จำไว้เลยว่าการเมืองไม่มีสูตรตายตัว ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” 

​สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องรีบในขณะนี้ก็คือ ปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อเรียกความเชื่อมั่น  และสร้างความหวังให้กับคนได้มากแค่ไหน เพื่อยืดไปให้ครบวาระ  เพราะการเมืองขึ้นอยู่กับปัจจัย และแรงกดดันในช่วงนั้นๆด้วย พอปลด ร.อ.ธรรมนัสแล้ว แน่นอนว่าในพรรคก็เริ่มป่วน มีกระบวนการต่อรองเกิดขึ้น สายใต้ก็อยากได้ สายที่ไปสัญญากันไว้กับพรรคเล็ก ซึ่งมีข่าวว่าในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ไปสัญญากับ 2 พรรคเล็กไว้จะให้เป็นรัฐมนตรี

​ ขณะที่จะมีการดึงพรรคนอมินี ในการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้  โดยมีการวางตำแหน่งแล้ว ให้อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยมานั่งเป็นรัฐมนตรี หรือถ้าปรับ 1 หรือ 2 ตำแหน่งก็แน่นอนว่า ความเสื่อมย่อมเกิดขึ้น หลังจากที่บางฝ่ายโค่น พล.อ.ประยุทธ์ ในสภาไม่ได้   ความหวังของผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ที่คิดเดินเกมลงถนนหนักขึ้น แต่จะหนักได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่ามีใครลงขันบ้าง เพราะในสภาอยากจะล้มแล้วล้มไม่ได้  เกมก็ต้องไปอยู่นอกสภาด้วย 

​ติดตาม “รายการ​ช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์  11.00 – 12.00 โดยความร่วมมือของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และ คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5

#ช่วยกันคิดทิศทางข่าว

#สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

#สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ #Thaijournalistsassociation