“หากใครถือธงนำว่าจะฟื้นค่าครองชีพ แบ่งเบาภาระประชาชน ก็น่าจะได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง เพราะเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่สนามเลือกตั้ง ประชาชนอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้น มีเงินในกระเป๋ามากขึ้น แต่เมื่อดูไปที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เปิดตัวมาตอนนี้ กลับไม่ตอบโจทย์แบบนั้นทั้งหมด”
“เสาวลักษณ์ วัฒนศิลป์ บรรณาธิการข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส” วิเคราะห์ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ถึงภาพรวมการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อนนายกรัฐมนตรีตัดสินใจ “ยุบสภา” ว่า ทุกพรรคการเมืองตอนนี้โหมโรงแบบข่มขู่คู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง แต่ละพรรคปราศรัยกับมวลชนที่เป็นฐานเสียง สะท้อนถึงศักยภาพ และฐานเสียงของแต่ละพรรคการเมืองว่าเป็นอย่างไร
“หลายคนเชื่อว่าช่วงโหมโรงหาเสียงแบบนี้ เป็นการเก็บข้อมูลในการตัดสินใจเลือกตั้ง จึงต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ซึ่งคำพูดของคุณชวน หลีกภัย ที่โดนใจการทำงานในช่วงนี้ คือ ถ้าเราเลือกผู้แทนที่ไม่โกง รัฐบาลก็จะไม่โกงด้วย ตรงนี้สำคัญมากจะต้องเลือกส.ส. , เลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี , เลือกพรรคการเมืองโดยเฉพาะเลือกตั้งคราวนี้ ต้องใช้บัตร2ใบจึงต้องชั่งน้ำหนักมาก สำหรับตัวบุคคลและนโยบายพรรคการเมือง”
พรรคเพื่อไทยหาเสียงทรงพลังอันดับหนึ่ง
ถ้าจัดอันดับการทรงพลังทางการเมือง ดูจากภาพรวมการหาเสียง น่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยมากที่สุด แต่ก็ต้องไปดูเนื้อหาของการปราศรัย ดูนโยบายดูตัวบุคคลด้วย รองลงมาที่ดูทรงพลังไม่น้อย น่าจะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติของ “ลุงตู่ ลูกอีสาน หลานย่าโม” รวมถึงพรรคภูมิใจไทยและพลังประชารัฐตามติดด้วยประชาธิปัตย์ก็ดูจะโหมโรงหนักเช่นกัน
การตั้งเป้าของพรรคเพื่อไทย ว่าจะต้องแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็หวั่นๆอยู่ว่าจะได้มากกว่า 300 หรือ 375 เสียงขึ้นไปตามเป้าหรือไม่ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องพึ่งสมาชิกวุฒิสภาดูจะเป็นเรื่องยากพอสมควร ถ้าดูศักยภาพตอนนี้ตัวบุคคลและนโยบาย ภาพที่สะท้อนออกมาถึงการทรงพลังทางการเมือง เพื่อไทยอาจจะเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง หลังการเลือกตั้งก็เป็นไปได้ ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า จะได้ 100 กว่าเสียงขึ้นไป เพราะดูคะแนนเลือกตั้งในปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้เก้าอี้ส.ส.มากที่สุด
อันดับ 2 คือพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งคอการเมืองบอกว่า2 พรรคนี้รวมกันแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 80 เสียง เห็นถึงการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของพลังประชารัฐ คือ แตกออกไปเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้ว่าจะเรียกกลับมาได้บ้างแต่ส.ส.กลับมาไม่หมด
ส่วนพรรคภูมิใจไทยน่าจะเป็นอันดับ 3 นอกจากต้องรักษาฐานที่มั่นแล้ว น่าจะได้แต้มเพิ่มมากขึ้นทั้งภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งพื้นที่อีสานใต้ภูมิใจไทยต้องสู้เต็มที่ กับพรรคเพื่อไทยและน่าจะตีเพื่อไทยได้บางส่วน อาทิ ศรีสะเกษ , นครราชสีมา , อุบลราชธานี , อุดรธานี , ขอนแก่น และสกลนคร
การเลือกตั้งปี 2562 ภูมิใจไทยได้ 50 กว่าคะแนน และช่วงหลังมีคนไหลเข้า-ออก คาดว่าน่าจะเห็นตัวเลข ส.ส.ถึง70 เสียง หากเก็บแต้มในสนามเลือกตั้งอีก ก็น่าจะได้เพิ่มขึ้น แต่หลายคนสะท้อนว่าส.ส.ที่ย้ายค่าย เมื่อผ่านการเลือกตั้งจะได้กลับมาเพียง 40% จึงน่าคิดว่าภูมิใจไทย จะสู้ศึกตรงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน และจะเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้จริงหรือไม่
สำหรับนโยบายในการการหาเสียงพรรคภูมิใจไทย ต้องมุ่งไปที่เรื่องปากท้องประชาชนให้ชัดเจน อาจจะเรียกคะแนนเสียงได้ เพราะส่วนใหญ่ขณะนี้เห็นแต่เรื่องโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ยังไม่เห็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับปากท้อง
ประชาธิปัตย์มาเป็นอันดับ 4 สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากทั้งคนในพรรค และนอกพรรคประชาธิปัตย์ยอมรับสภาพการเป็นพรรคต่ำ 100 ซึ่งเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า หากได้คะแนนน้อยกว่าเดิม ก็อาจจะแสดงความรับผิดชอบ กับบทบาทหน้าที่ ซึ่งแหล่งข่าวและคอการเมืองของประชาธิปัตย์ประเมินว่ามากสุดน่าจะอยู่ที่ 60 เสียง ขณะที่บัญชีรายชื่อน่าจะอยู่ที่ 15-16 เสียง
“แม้วิดีโอที่ใช้หาเสียงจะดูฮึกเหิม มอตโต้ถึงใจประชาชน แต่การชูอดีต 3 หัวหน้าพรรค มาร่วมหาเสียงเพื่อฟื้นประชาธิปัตย์ เท่าที่ได้พูดคุยกับแหล่งข่าวภายในพรรค บอกว่าไม่มีอยู่จริง ประกอบกับคำให้สัมภาษณ์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่บอกว่า จุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ไม่เคยติดต่อมา ดังนั้นประชาธิปัตย์ต้องสู้กันเอง ภายในพรรคให้มีเอกภาพชัดเจนก่อน จะไปสู้ศึกข้างนอก ต้องรอดูท่าทีของประชาธิปัตย์อีกครั้ง หลังพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ว่าอดีต 3หัวหน้าพรรค จะผนึกกำลังช่วยกันจริงหรือไม่ ขณะที่อภิสิทธิ์ต้องพิสูจน์ตัวเองกับบทบาทที่จะได้รับ ว่าจะได้เข้ามาช่วยมากน้อยแค่ไหน และท่าทีนายจุรินทร์จะว่าอย่างไร
ผลโพล ไม่ใช่
สำหรับผลโพลที่ออกมาในช่วงนี้ ระบุว่านางสาวแพรทองธาร ชินวัตรมาแรง ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนทำโพล ,ใครเป็นคนตอบและตอบในสถานการณ์แบบไหน เพราะหมายถึงกระแสการตัดสินใจของประชาชน ผ่านการสำรวจด้วย ฉะนั้นโพลที่ออกมาตอนนี้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ต้องรอดูหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ลงสนามกันจริงจัง จะเห็นตัวบุคคลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รวมถึงนโยบายกับตัวผู้สมัครส.ส. จะเข้มข้นดึงใจประชาชน ให้ไปกากบาทในคูหาได้มากน้อยแค่ไหนด้วย
“หากใครถือธงนำว่าจะฟื้นค่าครองชีพ แบ่งเบาภาระประชาชน ก็น่าจะได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง เพราะเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่สนามเลือกตั้ง ประชาชนอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้น มีเงินในกระเป๋ามากขึ้น แต่เมื่อดูไปที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เปิดตัวมาตอนนี้ กลับไม่ตอบโจทย์แบบนั้นทั้งหมด”
เช่น 2 ลุง ถือว่าสวนทางกับกระแส เวลาที่บอกว่าวันนี้บ้านเมืองเราต้องก้าวไปข้างหน้า คนรุ่นใหม่ต้องเป็นหน้าเป็นตา คนรุ่นใหม่ต้องกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงออก และเป็นผู้นำ แต่เรากำลังจะเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็น 2 ลุง มันใช่หรือไม่ เราต้องเลือกนายกรัฐมนตรี ที่อายุน้อยที่สุดในโลกหรือไม่ ทั้งหมดนี้ต้องรอการแข่งขันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ว่าแต่ละฝ่ายจะงัดนโยบายตรงไหน มาดึงใจประชาชนได้มากกว่ากัน
เลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่า แต่ละฝ่าย จะงัดนโยบายใดมาดึงใจประชาชนได้มากกว่ากัน และต้องอิงกับฐานของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยว่า จะเป็นคนเจนเนอเรชั่นไหน เพราะหากจะดูแต่ละเจนเนอเรชั่นฐานกว้างที่สุดตอนนี้เป็น “Gen X - Gen Z” ซึ่งน่าจะกว้างในการตัดสินใจ แต่ถ้าดูจาก Gen X น่าจะทำให้ 2 ลุงมีฐานในการตัดสินใจเลือกมากพอสมควร และหากต้องสู้กันจริง ๆ คน Gen X น่าจะต้องเลือกอะไรที่เปลี่ยนแปลงประเทศที่เป็นประชาธิปไตยตัวจริง หรือทำให้ชีวิตมีความหวังในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
"เสาวลักษณ์" ยังกล่าวถึงการทำงานของสื่อมวลชน เพื่อนำเสนอข่าวการเมืองในช่วงนี้ว่า จะต้องบาลานซ์ สมดุล ให้น้ำหนักเท่ากันทั้งสองฝ่าย ในแง่ของกิจกรรม และนโยบายพรรคการเมือง และอธิบายในเนื้อข่าวให้ชัดเจนด้วย
ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์เวลา 11.00-12.00 น. โดย "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" ร่วมกับ "คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5"