ปลุก “ประชานิยม” รัฐบาล “เศรษฐา” ดัน “เศรษฐกิจ” ประเทศ 

“นครินทร์ ศรีเลิศ" หัวหน้าข่าวเศรษฐกิจ-นโยบาย กรุงเทพธุรกิจ วิเคราะห์ถึง “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ผ่านรัฐบาลเศรษฐา 1” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า จากเงื่อนไขของการเมือง ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะ จะต้องแบ่งการจัดสรรว่า โครงการ/นโยบายใดที่จะให้พรรคแกนนำรัฐบาล หรือพรรคร่วมรัฐบาลทำได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการเรื่องการจัดสรรทางการเมือง แต่ตอนนี้ประชาชนก็เริ่มทวงเงิน “โครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล” (digital Wallet) ว่า เมื่อใดจะได้ใช้เงินนี้ ซึ่งพรรคเพื่อไทย ก็ขอให้ใจเย็น เพราะตอนนี้ ยังอยู่ระหว่างตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งกว่าตั้ง ครม.จะแล้วเสร็จ ก็ในช่วงเดือนกันยายน และการประชุม ครม.น่าจะเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนกันยายน โดยพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า จะนำนโยบายดังกล่าว เข้าที่ประชุม ครม.นัดแรก ซึ่งน่าจะเป็นการเห็นชอบในหลักการที่จะเดินหน้าโครงการนี้ และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ย้ำว่า ต้องการให้ประชาชนได้ใช้เงินดิจิทัลนี้เร็วที่สุด แต่คงจะไม่เร็วกว่าช่วงสงกรานต์ ต้องใช้เวลาพอสมควร

:: ห่วงแหล่งงบฯ เดินนโยบายวอลเลต 10,000 ::

ส่วนที่มีนักวิชาการให้ความเห็นควรชะลอโครงการนี้ไว้ก่อน เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อาจยังไม่มีงบประมาณรองรับ และอาจจะส่งผลให้งบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นนั้น "นครินทร์" เห็นว่า "งบประมาณ" จะเป็นตัวชี้ขาดสำคัญว่า นโยบายนี้จะทำได้หรือไม่ เพราะถ้าดูโครงสร้างงบประมาณของประเทศไทยตอนนี้ ขาดดุลงบประมาณอยู่แล้วประมาณ 500,000 - 600,000 ล้านบาท รายรับที่ได้ กับรายจ่ายไม่สมดุลกัน และงบประมาณที่จะใช้ใหม่ในทุกปี ก็เป็นงบลงทุน ซึ่งรวมไปถึงงบฯ ของการทำรางรถไฟ สร้างสะพาน สร้างถนนต่าง ๆ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากพรรคเพื่อไทย จะทำนโยบายนี้จริง ๆ จะสามารถตั้งเป็นงบลงทุนได้หรือไม่ โดยใช้เหตุผลเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านดิจิทัลครั้งใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะใช้ระบบบล็อกเชนเข้ามา หรือถ้าจะต้องกู้เงินเพิ่ม จะกู้ได้หรือไม่ เพราะถ้าจะกู้ ก็ต้องออกพระราชกำหนดฉบับใหม่ ในลักษณะการกู้เงิน และคงจะมีข้อจำกัดพอสมควร เพราะจะต้องเป็นเหตุการณ์จำเป็นเร่งด่วนฉุกเฉิน เช่น เหมือนการเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา 

"นครินทร์" ยังมองว่า นโยบายเงินดิจิทัลฯ นี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ บอกว่า ถ้าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ทำได้ เศรษฐกิจไตรมาสที่สองขยายตัว 1.8% และช่วงที่เหลือของปีนี้ เดิมคาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 3% สบาย ๆ แต่ถ้าดูตัวเลขจากการส่งออก และการท่องเที่ยว ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ก็ยังไม่มีนโยบายที่จะมาทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นช่องทางหนึ่ง แต่ถ้าต้องใช้เงินจำนวนกว่า 500,000 ล้านบาท ตามนโยบายเงินดิจิทัลฯ สำหรับผู้ที่อายุเกิน 16 ปี คนละ 10,000 บาทที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงนั้น นักวิชาการ ก็ตั้งข้อสังเกต ที่ทีดีอาร์ไอ บอกว่า อาจใช้แค่ 200,000 - 300,000 ล้านบาทก็พอในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวในกรอบที่ควรจะเป็น หรือถ้าฟังนักเศรษฐศาสตร์รุ่นเก่า "ณรงค์ชัย อัครเศรณี" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน ก็ระบุว่า สิ่งสำคัญที่สุดของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากจะเอาเงินไปช่วยให้ประชาชน มีเงินใช้จ่ายมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ของประเทศ เป็นระบบบล็อกเชน ซึ่งจีน กับอินเดีย มีการลงทุนแบบนี้ และมาช่วยคนจนได้ตรงเป้า จึงอาจจะค่อย ๆ ทยอยทำ

"นครินทร์" ยังเห็นว่า มีบางคนบอกให้พรรคเพื่อไทย เสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า หากต้องการงบประมาณจำนวนนี้ เพื่อไปทำนโยบายตามที่หาเสียงไว้แล้ว ให้สภาฯ ถกเถียงกัน ถ้าญัตตินี้จะตกในสภา หรือทำได้เท่าไร ก็ทำตามงบประมาณที่มีเท่านั้น หมายความว่า ถ้าในพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี 2567 ตั้งงบประมานไว้ 3,400,000 ล้านบาท แล้วต้องนำโครงการนี้ใส่ไปด้วย ก็หมายความว่า จะต้องไปลดขนาดโครงการอื่นลงใช่หรือไม่ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะมาคัดกรอง ซึ่งโครงการอาจจะยังอยู่หรือตกไป หรืออาจจะเข้ามาอยู่ในการทำงบประมาณฯ ปี 2567 ได้บางส่วน ก็ทยอยทำไป ถือว่าเป็นการวางระบบให้ประเทศด้วย เพื่อให้มีเงินส่วนหนึ่งมาทดลองจ่ายให้ประชาชน ส่วนจะทำได้เท่าไร จะเป็นหลักแสนล้าน หรือหลักหมื่นล้านหรือไม่ ก็ถือว่าได้เริ่มแล้ว และปีต่อไปค่อยว่ากัน

:: แนะรัฐบาลสำรวจพื้นที่ให้ชัวร์ก่อนกำหนดรัศมี 4 กม.ใช้เงินดิจิทัล"

"นครินทร์" ยังบอกด้วยว่า จากที่ได้ฟังทุกฝ่าย ทั้งประชาชนที่ตั้งคำถามว่า จะให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน ในรัศมี 4 กิโลเมตรเมื่อใด และทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่อธิบายนโยบายเงินดิจิทัลวอเล็ต มาตลอด จนถึงเรื่องการกำหนดรัศมี 4 กิโลเมตร และให้ใช้ตามทะเบียนบ้านเป็นการวางไว้ว่าเบื้องต้นจะใช้แบบนี้นั้น "นครินทร์" ขอให้พรรคเพื่อไทย ดูลักษณะของภูมิประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ถ้าออกไปต่างจังหวัดแล้ว ร้านค้าในรัศมี 4 กิโลเมตรมีหรือไม่ เพราะภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทุ่งนา ก็แทบจะไม่มีร้านค้า เวลาขับรถออกไปต่างจังหวัด ตนก็ยังสงสัยถึงนโยบายนี้ จะนำมาใช้อย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทย ได้บอกมาแล้วว่า ลักษณะของบล็อกเชน จะเป็นเรื่องของเทคนิค เป็นเทคโนโลยี ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

“ผมคิดว่า ถ้านโยบายนี้จะช้า เพราะต้องสำรวจ และลงในพื้นที่อย่างละเอียด ถ้ามาเขียนในบล็อกเชนแล้ว การลงไปเป็นดิจิทัลฟุตพริ้นท์ ลงไปในวงกว้าง ที่ทุกคนจะรู้ข้อมูลเดียวกัน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ฉะนั้น ถ้าร้านค้า จะเข้ามาตอนหลังผมคิดว่าลำบาก ขั้นตอนตรงนี้ต้องทำให้รอบคอบ” นครินทร์ ระบุ 

"นครินทร์" บอกว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้นึกถึงนโยบาย "คนละครึ่ง" คือ ต้องไม่แปลงเป็นเงินสด และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็บอกว่า ไม่สามารถจะเอาเงินดิจิทัล ถอนมาซื้อขายเงินสดได้ แต่ก็ต้องซื้อขายได้ เปลี่ยนรูปแบบกลับมาเป็นเงินบาท ที่เราใช้กันจริง ๆ ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นคำถามตามมาอีกมากว่า เมื่อพรรคเพื่อไทย มีนโยบายนี้ออกมา จะต้องอธิบายให้ประชาชน และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเข้าใจ เพราะถือเป็นเรื่องใหม่ และที่ผ่านมา ก็ยังมีการทุจริตในระบบก็มีอยู่ หรือหากรัฐบาล บอกว่า บล็อกเชนมีประสิทธิภาพมากกว่า ป้องกันการทุจริตได้ ก็อาจถือเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอีกครั้งหนึ่ง ที่ประเทศไทยจะต้องเริ่มต้น

:: ค่าแรง 600 - ป.ตรี 25,000 บาท ต้องอิงตัวเลขเศรษฐกิจไทย :: 

ส่วนนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท และค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 นั้น "นครินทร์" บอกว่า เป้าของพรรคฯ จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวปีละ 5% และเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวปีละ 5% ไปเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการ ก็จะมีความสามารถในการจ่ายเงินเดือน หรือค่าตอบแทนของภาครัฐ ฉะนั้น นโยบายนี้ไม่ใช่ปีแรกที่รัฐบาลรัฐบาล จะดำเนินการในปีแรก แต่ค่าแรงขั้นต่ำนั้น ก็ยังมีคณะกรรมการไตรภาคี พิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งเงินเฟ้อ, ค่าครองชีพ และความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง แม้จะมีการประชุมคณะกรรมการดังกล่าวเกือบทุกปี แต่ไม่ได้ปรับค่าแรงขึ้นทุกปี และความจริงเรื่องดังนั้น มีการตั้งเรื่องงบประมาณไว้ด้วยบางส่วน แต่หากเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท พรรคเพื่อไทย ก็ยอมรับว่า อาจต้องใช้งบปะมาณเพิ่มประมาณ 40,000 ล้านบาท และแต่ละนโยบาย ต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ฉะนั้น เงื่อนไขการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ

:: นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท-พักหนี้เกษตรกร ยังเกิดยาก ::

"นครินทร์" ยังประเมินนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า มีนโยบายที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อาทิ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และนโยบายพักหนี้เกษตรกร 3 ปี แต่เรื่องนี้หากจะเดินหน้าจริง ๆ ก็สามารถทำได้โดยเสนอ ครม. และตั้งงบประมาณไปช่วยจ่ายดอกเบี้ยให้กับหนี้สินที่เกษตรกร ต้องการจะพักหนี้ ซึ่งพรรคเพื่อไทย ตั้งนโยบายไว้ว่า จะใช้เงิน 8,000 ล้านบาท/ปี แต่การพักหนี้ ก็เป็นที่ถกเถียงกันอีกว่า จะดี หรือไม่ต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะถ้าพักแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาจ่ายหนี้อยู่ดี และขณะนี้ ภาวะหนี้สินของประเทศไทยสูงกว่า 90% ของจีดีพีแล้ว ดังนั้น การพักหนี้ อาจจะเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าใครชำระหนี้ได้ ก็ควรชำระ หรือใครที่ชำระไม่ได้ ก็เข้าสถาบันการเงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เป็นราย ๆ ที่จะดีกว่าการพักหนี้ในภาพรวม

:: เชื่อ รบ.เศรษฐา เข้าใจแก้ปัญหาท่องเที่ยว กระตุ้น ศก. ::

"นครินทร์" ยังมองว่า นโยบายที่พรรคเพื่อไทย น่าจะเริ่มทำได้เร็ว และจริง คือ เรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งเห็นได้จากการลงพื้นที่ภาคใต้ของนายเศรษฐา และกล่าวถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยว การขยายสนามบินเพิ่มในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งโครงการที่รออยู่ อาจจะเป็นฟาสแทร็คที่ต้องดำเนินการก่อน คือ การแก้ปัญหาวีซ่าของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่บางส่วนอยากจะเข้ามาเมืองไทย แต่ขั้นตอนการขอวีซ่ายังมีปัญหาติดขัด การเช็คอินรับกระเป๋าในสนามบินในช่วงไฮซีซั่น ที่ต้องให้การท่าอากาศยานไปแก้ไขปัญหาโดยด่วน ซึ่งแม้จะเป็นการสั่งการเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็มีผล เพราะตอนนี้เศรษฐกิจ เรื่องของการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่สำคัญ และไปได้ดี เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนค่อนข้างมาก และปีนี้ตั้งเป้าไว้ประมาณ 28 ล้านคน จึงมั่นใจว่า นายเศรษฐา ค่อนข้างเข้าใจปัญหา แต่หากรัฐบาล จะบอกว่า จะแก้ไขเรื่องการส่งออกก่อน ก็อาจต้องใช้เวลา และมีหลายปัจจัยประกอบ เช่น สินค้าของไทยยังมีปัญหา ทั้งชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ที่สินค้าไทยเริ่มแข่งขันไม่ได้

"ในระยะสั้น เรื่องของการแก้ไขปัญหา การอำนวยความสะดวกการท่องเที่ยวให้ไปได้เร็วขึ้น และการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะตามมา ส่วนจะได้เต็มแม็กตามที่วางไว้หรือไม่ ประมาณ 560,000 ล้านบาท คงต้องมาดูความสามารถในการจัดการงบประมาณ และช่องทางในการหาเงินเพิ่มเติมที่มาใช้ในนโยบาย” นครินทร์ ระบุ

:: ทีมเศรษฐกิจ รบ.เศรษฐา ไม่ว้าว! แต่ก็ไม่ยี๊! :: 

"นครินทร์" ยังกล่าวถึงหน้าตาทีมเศรษฐกิจ "ครม.เศรษฐา 1" ว่า หากเป็นไปตามกระแสข่าวบุคคลที่จะมาทำหน้าที่รัฐมนตรี ก็ยอมรับว่า รัฐมนตรีหลาย คนมีประสบการณ์ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ที่แม้อาจจะไม่ถึงกับว้าว แต่ก็ไม่ยี๊ เพราะภาคเอกชน ต้องการคนที่มีหน้ามีตา สามารถควงออกงานได้ และหลายคน ก็มีประสบการณ์ แม้แต่คนที่จะเข้ามาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีประสบการณ์ และเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีมาแล้ว รวมถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามา ก็จะมาดูงานต่างประเทศด้วย ซึ่งก็มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องของงานนโยบายเศรษฐกิจโดยตรง ก็น่าจะเป็นผลดีกับการฟื้นการส่งออก และการเจรจาระหว่างประเทศของไทยด้วย

ติดตามรายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น. โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5