ชิงสุกก่อนห่าม 2,002 ศพประหารมารหัวขน ?? ถึงเวลา...ต้องช่วยกันแก้ไข !!
กองบรรณาธิการ เดลินิวส์
การพบศพเด็กทารกวัยก่อนครบกำหนดคลอดซึ่งมีที่มาจากการ “ทำแท้งเถื่อน” จำนวนมากถึง 2,002 ศพ ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม ในกรุงเทพฯ เมื่อปลายปี 2553 ช็อกความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็เป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า ปัญหาสังคมในกลุ่มที่เกี่ยวกับเด็ก การตั้งครรภ์ไม่พร้อม และการทำแท้ง เป็นปัญหาใหญ่มาก
เป็นปัญหาสำคัญที่จะมองข้าม....มิได้แล้ว !?!
ทั้งนี้ กับปัญหาสังคมในกลุ่มที่เกี่ยวกับเด็กและคนใกล้ชิดเด็ก โดยเฉพาะในประเด็น “สิทธิของเด็ก” นั้น หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” โดยโต๊ะข่าวสกู๊ป และกองบรรณาธิการ ได้ให้ความสำคัญในการนำเสนอตีแผ่ข้อมูลข้อเท็จจริงในมุมต่าง ๆ ต่อสังคมไทย อย่างเกาะติดต่อเนื่อง มาตั้งแต่ก่อนเกิดคดีครึกโครมพบศพเด็ก 2,002 ศพ (รายละเอียดตามเอกสาร)
“เดลินิวส์” ได้ตีแผ่ให้สังคมไทยเห็นว่า การ “ละเลย-ทอดทิ้ง-ทำร้าย-ทารุณ-ฆ่า” ผู้ที่เป็นเด็ก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย มากจนน่าตกใจ โดย แต่ละปีมีเด็กราว 7,000 คน ต้องเสียชีวิตก่อนอายุ 1 ขวบ และอีกราว 9,800 คน ต้องเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ขวบ ขณะที่เด็กทารกวัยก่อนครบกำหนดคลอดที่ถูกทำแท้งนั้น ปัจจุบันมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ถึงราว 200,000 คนต่อปี ขณะที่คุณแม่วัยใส วัยเรียน วัยโจ๋ ก็มีอัตราสูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย
แน่นอนว่า...สถิติสูง ๆ เหล่านี้ ย่อมมิใช่เรื่องดี !!
การละเลย-ทอดทิ้ง-ทำร้าย-ทารุณ-ฆ่า-ทำแท้งนั้น “เดลินิวส์” ได้ชี้ให้สังคมไทยตระหนักว่า ด้านหนึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ไทยเป็นรัฐภาคี ตามวรรค 1 และ 2 ข้อ 6 ของอนุสัญญา ที่ระบุไว้ว่า... 1.รัฐภาคียอมรับว่า เด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต 2.รัฐภาคีจะประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ให้มีการอยู่รอด และการพัฒนาของเด็ก ขณะเดียวกันก็ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และหลายกรณีก็ผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ด้วย
ที่สำคัญ...นี่ถือเป็นปัญหาสังคมที่ใหญ่มาก !!
ในการตีแผ่-นำเสนอปัญหาดังกล่าวนี้ต่อสังคมไทยนั้น “เดลินิวส์” มีเป้าหมายชัดเจนที่จะ กระตุกผู้คนในสังคมไทยให้หันมาตระหนักถึงปัญหานี้ โดยได้มีการนำเสนอข่าว สกู๊ปข่าว บทความ ในหลายมุมที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนที่เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ ความเห็นของฝ่ายต่าง ๆ ตลอดจนข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา และกล่าวได้ว่า ปัจจุบันเรื่องการต่อต้านการละเลย-ทอดทิ้ง-ทำร้าย-ทารุณ-ฆ่าเด็กนั้น เป็นกระแสหลักกระแสหนึ่งในสังคมไทยแล้ว ทั้งประชาชนทั่วไป หน่วยงานรัฐ ตลอดจนรัฐบาล ได้ให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากขึ้นแล้ว ขณะที่อีกด้านหนึ่ง การแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมด้วยการกำจัดเด็ก ที่ถูกเปรียบเปรยว่าเป็น มารหัวขน หรือการทำแท้งเถื่อน ที่ครึกโครมขึ้นมาภายหลังมีการพบศพเด็กจำนวนมากถึง 2,002 ศพ ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม นั้น ถือเป็นความสุกงอมของปัญหาท้องไม่พร้อมทั้งมวล
“เดลินิวส์” ได้ กระตุกสังคมทั้งสังคมให้ตื่นขึ้นมองปัญหาอย่างพินิจพิเคราะห์และจริงจัง
นอกเหนือจากการนำเสนอความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อมิให้การแก้ปัญหานี้มีสภาพเหมือน “ไฟไหม้ฟาง” ทาง “เดลินิวส์” ได้เจาะลึกนำเสนอข่าว สกู๊ปข่าว และบทความ ในอีกหลายแง่มุม (รายละเอียดตามเอกสาร)
“เดลินิวส์” ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยสวนดุสิต (สวนดุสิตโพล) ทำการสำรวจและตีแผ่ข้อเท็จจริงที่ได้จากผู้เกี่ยวข้องในปัญหานี้ 3 ฝ่าย คือผู้หญิงที่ทำแท้ง ผู้ที่พาหรือให้ผู้หญิงไปทำแท้ง สถานที่รับทำแท้ง เพื่อสะท้อนสาเหตุปัจจัยจากกรณีศึกษาตัวจริง และชี้ถึงผลลบที่เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือ...เพื่อให้เกิดกระแสการร่วมมือกันทุกฝ่ายในการแก้ปัญหา !!
กระทั่งที่สุด ปัญหาเกี่ยวกับเด็ก การท้องไม่พร้อม และปัญหาการทำแท้ง ก็ได้รับการใส่ใจจากฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภาคประชาชน องค์กรเอกชน นักวิชาการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในมิติที่รอบด้านและลึกซึ้งขึ้น
ทั้งนี้ มติ ครม.เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2553 ได้เห็นชอบในหลักการ พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ พ.ศ....... ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีทั้งหมด 28 มาตรา เป็นครั้งแรกที่ใน มาตรา 12 ได้แก้ปัญหาท้องไม่พร้อมอย่างก้าวหน้าและเป็นอารยะมากขึ้น นั่นคือ...
กำหนดให้สถานศึกษาที่มีหญิงมีครรภ์ศึกษาอยู่ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องอนุญาตให้หญิงมีครรภ์เรียนหนังสือต่อได้ และสามารถลาพัก รวมทั้งกลับมาเรียนใหม่ได้ด้วย พร้อมกับให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) หาที่พักฉุกเฉินให้ และช่วยหาพ่อแม่อุปถัมภ์ให้ หากนักเรียนคนนั้นไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้
บทบัญญัติแห่งกฎหมายนี้ จะทำให้เด็กนักเรียนไม่ต้องถูกไล่ออกกลางคันหากมีการตั้งท้องที่ไม่พร้อมเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังซ้ำเติมปัญหาเข้าไปใหญ่ แทนที่แม่จะมีความรู้เอาไปทำมาหากิน กลับถูกไล่ออกจากโรงเรียน เหมือนเช่นที่ผ่านมา
นอกจากนั้น สำนักงานอัยการสูงสุด โดยนาย วิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีฝ่ายวิชาการ ได้เผยเมื่อ 22 ธ.ค.2553 ว่า ได้เตรียมเสนอแก้กฎหมายอาญา กำหนดบทลงโทษ ผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงท้อง แล้วทิ้ง ต้องได้รับโทษ โดยอาจจำคุก 2-3 ปี รวมทั้งพ่อแม่ต้องรับโทษด้วยการถูกปรับ หรือจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่ฝ่ายหญิงและลูก หาก 2 ฝ่ายไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมกัน (ให้ล้อกับกฎหมายปัจจุบันที่ลงโทษผู้หญิงที่ไปทำแท้ง แต่ฝ่ายเดียว โดยปล่อยผู้ชายลอยนวล)
กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ คาดว่าจะมีการนำเสนอเข้าพิจารณาในสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่เริ่มขึ้นในเดือน ม.ค. 2554 นี้
ดังที่กล่าวมาข้างต้น หนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” มิได้ต้องการสะท้อนปัญหาแค่ผิวเผินหรือทำข่าวตามกระแสเท่านั้น หากยังได้จับมือกับ สวนดุสิตโพล ด้วยการส่งนักข่าวเข้าไปสำรวจความคิดเห็นเชิงคุณภาพร่วมกับคนจากสวนดุสิตโพลด้วย โดยเรา หวังให้ปัญหาท้องไม่พร้อม และการแก้ปัญหาทำแท้ง เป็นไปอย่างยั่งยืน ครบทุกมิติ เท่าที่จะทำได้
ผลจากการนำเสนอความเคลื่อนไหวที่นอกเหนือจากข่าวกระแส ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้หญิงที่ทำแท้งโดยตรง ผู้ชายหรือผู้ที่พาผู้หญิงไปทำแท้ง ผู้เกี่ยวข้องในสถานที่รับทำแท้งเถื่อน ตลอดจนนักวิชาการ เครือข่ายภาคประชาชน และรัฐบาล ฯลฯ ทั้งหมดนี้ได้ กระตุ้นให้การแก้ไขปัญหาทำอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผล ดังที่เกิดขึ้น
“เดลินิวส์” ได้ สะท้อนให้ผู้คนในสังคมไทยเล็งเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวนี้มิใช่เพียงปัญหาของตัวบุคคลเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของสังคมโดยรวม ตั้งแต่ครอบครัว ทัศนคติของสังคม การสอนเพศศึกษา ความรู้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ ความรับผิดชอบร่วมกันของชาย-หญิง การเยียวยา การทำแท้ง และปัญหาข้อกฎหมาย
โดยปัจจัยทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบในภาพรวมทั้งสิ้น
เรามิได้ต้องการให้มีการประณามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น ไม่มุ่งประณามผู้หญิงที่ทำแท้งว่าใจง่าย รักสนุก ชิงสุกก่อนห่าม แม่ใจยักษ์ พ่อใจมาร หรือแม้แต่คนทำแท้งเถื่อน ว่าเป็นพวกใจบาปหยาบช้า...ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไร้จิตสำนึก แต่ หวังให้ทุกฝ่ายมองถึงต้นตอปัญหาให้ครบถ้วน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ให้ครบวงจร
ทุกคนทุกฝ่ายต้องใส่ใจช่วยกันแก้ไขปัญหา รวมถึงการป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุ
มิให้ปัญหา ท้อง แล้ว ทำแท้ง ลุกลามบานปลาย
จนทำให้สังคมไทยยิ่งเสื่อมทรุดลงไปมากกว่านี้ !!!