หนูน้อย 5 ขวบยอดกตัญญู เร่ร้องเพลงหาเงินรักษาแม่
กองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ข้อเท็จจริงของข่าว
เรื่องราวชีวิตของเด็กชายวัย 5 ขวบเศษ ด.ช.ภูผา รัตนรุ่งเรืองชัย หรือน้องไบเบิล ที่ไปช่วยพ่อร้องเพลงตามร้านอาหาร เพื่อหาเงินไปรักษาแม่ซึ่งกำลังป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายและซื้อนมให้น้องอายุ 3 เดือน เป็นประเด็นข่าวที่สะท้อนอีกแง่มุมหนึ่งของสังคม และการแสดงออกซึ่งความกตัญญูของเด็กชายวัย 5 ขวบเศษ ภายใต้จิตสำนึกที่ผูกพันต่อมารดาซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่
นายธนาทร รัตนรุ่งเรืองชัย อายุ 29 ปี อาศัยอยู่ที่ อ.เมืองพิษณุโลก เป็นเด็กกำพร้าและได้แต่งงานกับ นางศกลวรรณ รัตนรุ่งเรืองชัย อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าเช่นกัน มีบุตรชายคนแรกคือน้องไบเบิล หลังจากตั้งครรภ์ลูกคนสุดท้อง แพทย์ตรวจพบว่านางศกลวรรณเป็นมะเร็งเต้านม ไม่สามารถฉายแสงรักษาได้เนื่องจากมีเด็กอยู่ในครรภ์ กระทั่งคลอดบุตรชายคนเล็กออกมา แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาเยียวยาได้ เพราะเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้ว ได้แต่รอวันหมดลมหายใจอยู่ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช อ.เมืองพิษณุโลก จึงเป็นภาระของสามีที่ต้องออกทำงานหารายได้ เพื่อนำมาเป็นค่ารักษาและเลี้ยงดูบุตรทั้ง 2 คน
ด้วยความมีเมตตาจิตในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันของนายปัญญา สิงห์สา เจ้าของร้านอาหารครัวปัญญา ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก เห็นสภาพครอบครัวของนายธนาทรแล้วเกิดความสงสารจึงรับอุปการะเลี้ยงดู ด.ช.วายุ รัตนรุ่งเรืองชัย หรือน้องเมเบิล วัย 3 เดือน ให้
ด.ช.ภูผา หรือน้องไบเบิล วัย 5 ขวบเศษ ซึ่งชอบเสียงเพลงและร้องเพลงคลอเวลาที่บิดาซ้อมที่บ้านได้รับรู้โดย สัญชาตญาณแห่งความผูกพันว่า มารดาป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และบิดาต้องตระเวนไปร้องเพลงตามร้านอาหารต่างๆ เพื่อนำเงินมารักษามารดา โดยนำตนเองติดสอยห้อยตามไปดูแลด้วย ทำให้เกิดจิตสำนึกที่จะช่วยบิดาให้ได้เงินมากขึ้น จึงขอร้องเพลงเพื่อหวังจะได้เงินทิปจากแขกในร้านช่วยเสริมรายได้ให้ครอบครัว นำเงินไปเป็นค่ารักษาพยาบาลมารดา และเลี้ยงดูน้อง โดยมารดาไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าน้องไบเบิลมีสัญชาตญานแห่งความกตัญญูที่จะช่วยบิดาหาเงินมารักษามารดา
วิธีการนำเสนอ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐทราบข่าวความกตัญญูของน้องไบเบิล จากการบอกเล่าของ นายปัญญา สิงห์สา เจ้าของร้านอาหารครัวปัญญา ต.ในเมือง อ.เมืองพิษณุโลก ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดตามตรวจสอบและทำข่าวนี้ ได้เห็นภาพที่แท้จริงว่านายธนาทรเล่นกีตาร์และน้องไบเบิลร้องเพลงที่ร้านอาหารจริง จึงได้รายงานข่าวสะท้อนชีวิตและความรู้สึกของทั้ง 2 คน ให้สังคมได้รับรู้
นายธนาทร ให้สัมภาษณ์ว่า น้องไบเบิลบุตรชายรบเร้าอยากร้องเพลงเพราะอยากได้เงินทิปจากแขก เพื่อเป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว ก็เห็นว่าไม่ได้มีความเสียหายอะไร จึงให้ร้องเพลงตามที่บุตรชายถนัด เพียงแต่จัดเวลาการร้องเพลงให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก คือวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี เวลา 16.00-17.00 น. วันศุกร์และวันเสาร์ เวลา 20.00-22.00 น. และวันอาทิตย์เวลา 16.00-18.00 น. ที่ร้านอาหารครัวปัญญา ยืนยันว่าไม่ได้บังคับให้น้องไบเบิลไปร้องเพลงหาเงินมารักษามารดาและดูแลน้อง แต่เป็นความสมัครใจของน้องไบเบิลเอง บางวันให้ร้องเพลงเดียวก็จะร้องไห้ต่อว่าด้วยความน้อยใจว่า ถ้าร้องแค่เพลงเดียวจะหาเงินไปรักษามารดาและซื้อนมให้น้องได้อย่างไร จนต้องยอมให้ร้องเพลงต่อ
ขณะที่น้องไบเบิลตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า สาเหตุที่ร้องเพลงเพื่อจะหาเงินไปรักษามารดาที่ป่วยหนัก ซื้อนม ผ้าอ้อม และเสื้อผ้าให้น้องด้วย พร้อมทั้งแจกแจงการดูแลเงินว่า จะฝากเงินไว้กับนายปัญญาและแคชเชียร์ร้านอาหารทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 300 บาท ส่วนรายได้ของบิดาก็จะเป็นค่ารักษามารดา ค่าใช้จ่ายในบ้าน รวมทั้งค่าอุปกรณ์การเรียน ที่ทำอย่างนี้เพราะอยากให้มารดาหายไวๆ
ผู้สื่อข่าว ไทยรัฐ ยังได้เข้าไปเยี่ยมนางศกลวรรณ มารดาของน้องไบเบิลที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลภาพสายใยความผูกพันของน้องไบเบิลที่ปีนขึ้นไปนอนกอดมารดาบนเตียงผู้ป่วยอย่างไร้เดียงสา และหอมแก้มมารดา บ่งบอกถึงความรักความห่วงใย ขณะที่นางศกลวรรณซึ่งอยู่ในสภาพร่างกายอ่อนแรง มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง พยายามรวบรวมพละกำลังยกมือลูบศีรษะบุตรชายอย่างทะนุถนอม และมองดูด้วยสายตาชื่นชม และเมื่อทราบว่าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเผยแพร่ข่าวน้องไบเบิลร้องเพลงหาเงินมาเป็นค่ารักษาและดูแลน้อง ยิ่งทำให้นางศกลวรรณตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะเปิดเผยว่าไม่ทราบมาก่อน เพิ่งทราบว่า บุตรชายไปร้องเพลงหาเงินกับสามี ไม่คิดว่าบุตรชายจะทำอย่างนี้ รู้สึกสงสารที่ต้องอดหลับอดนอนหาเงินเพื่อนำมารักษาตนและ ซื้อนมให้น้อง ภูมิใจที่ลูกมีความสามารถและกล้าขึ้นร้องเพลงบนเวที ซึ่งมีคนดูเป็นจำนวนมาก อยากมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด เพื่อให้ลูกทั้ง 2 คน จดจำหน้าได้ และกล่าวสั่งสอนบุตรชายให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า ขอให้ลูกทั้ง 2 คนเติบโตเป็นคนดีของพ่อและแม่ เป็นคนดีของสังคม ตั้งใจเรียน อย่าดื้ออย่าซนให้รู้จักกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
จากการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ส่งผลให้โรงเรียนอนุบาลประชาราษฎร์ อ.เมืองพิษณุโลก ที่น้องไบเบิลเรียนอยู่ ทราบเรื่อง จึงได้มอบเกียรติบัตรให้แก่นางศกลวรรณ ในฐานะแม่ตัวอย่างประจำปี 2553 ที่เลี้ยงดูบุตรให้เป็นคนดีกตัญญูรู้คุณบิดามารดา และมอบเกียรติบัตรลูกตัญญูให้แก่น้องไบเบิล ในช่วงเช้าวันที่ 11 ส.ค. 2553 ในขณะที่ผู้ไปร่วมงานได้มอบเงินช่วย เหลือแก่น้องไบเบิลด้วย แต่ในเวลา 14.00 น. วันเดียวกันก็มีข่าวร้ายสำหรับน้องไบเบิลที่ตั้งใจนำเกียรติบัตรลูกกตัญญูไปให้มารดาดู แต่นางศกลวรรณอาการทรุดหนักไม่สามารถรับรู้ได้ น้องไบเบิลจึงได้แต่โผเข้ากอดและร่ำไห้ จนกระทั่งนางศกลวรรณค่อยๆสิ้นลมหายใจ
ในงานสวดพระอภิธรรมศพนางศกลวรรณ ก็ยังมีเรื่องสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมยังมีคนที่เห็นคุณค่าและชื่นชมการทำความดีและมีความกตัญญู มีบุคคลสำคัญตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และองค์กรต่างๆ ส่งพวงหรีดไปเคารพศพ และมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวน้องไบเบิลจำนวนมาก ในขณะที่น้องไบเบิลเฝ้าดูแลการจัดดอกไม้หน้าศพมารดาด้วยความตั้งใจ บ่งบอกถึงความรู้สึกที่อาลัยมารดา รวมทั้งบวชหน้าไฟ และเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณรอุทิศส่วนกุศลให้มารดา หลังพิธีศพเสร็จสิ้นแล้ว น้องไบเบิลก็ยังร่วมกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม นำรายได้ส่วนหนึ่งจากงานศพมารดามอบเป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนด้วย นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่างๆ มอบรางวัลความดีและความกตัญญูให้น้องไบเบิล พร้อมกันนี้ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประทานมูลนิธิ มิราเคิล ออฟ ไลฟ์ ก็ทรงประทานทุนการศึกษาและของเล่นให้แก่น้องไบเบิลด้วย
ความกตัญญูของน้องไบเบิลและความดีของครอบครัวที่ถ่ายทอดผ่านสื่อมวลชน จากการนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นฉบับแรก ส่งผลให้น้องไบเบิลได้รับการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนในสังคม ได้เซ็นสัญญากับบริษัทบันเทิง ได้แสดงละครโทรทัศน์ นอกจากนี้มีผู้เห็นถึงความดีของครอบครัวน้องไบเบิลร่วมบริจาคเข้าบัญชีเงินฝาก 1 ล้านกว่าบาท ซึ่งนายธนาทรบิดาน้องไบเบิลกล่าวขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือ และยืนยันว่าจะเก็บเงินไว้ดูแลส่งเสียให้บุตรชายได้รับการศึกษาและเป็นคนดีของสังคม
คุณค่าและผลกระทบของข่าว
ข่าวความกตัญญูของน้องไบเบิล สะท้อนให้เห็นถึงความมีน้ำใจต่อคนที่ประพฤติดีและมีความกตัญญูในสังคม ไทยที่ยังมีอยู่ การที่นายธนาทรบิดาของน้องไบเบิลมีจิตสำนึกในทางที่ดี แม้ตัวเองและภรรยาจะเป็นเด็กกำพร้าแต่ก็มีความอดทนอุตสาหะประพฤติตนเป็นคนดี ดูแลครอบครัวด้วยความอบอุ่น จนทำให้น้องไบเบิลมีความรักความผูกพันต่อบิดามารดา รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณแห่งสายสัมพันธ์ เมื่อนางศกลวรรณมารดาน้องไบเบิลป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายนอนรอวาระสุดท้ายแห่งชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล นายธนาทร สามีก็ไม่ได้ท้อแท้หรือท้อถอย กลับออกร้องเพลงเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษาภรรยา ทำให้นายปัญญา สิงห์สา เจ้าของร้านอาหารและภรรยา เกิดความสงสารและเห็นใจรับอุปการะบุตรชายคนเล็กให้ เพื่อให้นายธนาทรได้มีโอกาสทำงานหาเงินไปรักษาภรรยาและเลี้ยงดูบุตรชาย
ส่วนน้องไบเบิลที่มีสัญชาตญาณแห่งความกตัญญูต่อมารดา จากความผูกพันที่บิดามารดาได้เลี้ยงดูมา ทำให้รับรู้ได้ว่าต้องช่วยบิดาร้องเพลงเพื่อหาเงินมารักษามารดาและเลี้ยงน้อง จึงได้ขอร้องเพลงเพื่อจะได้เงินทิปจากแขกเพื่อ เสริมรายได้ที่บิดาหามาได้
ทางด้านคนในภาคส่วนของสังคม เมื่อได้รับทราบข่าวของครอบครัวน้องไบเบิลทั้งความเป็นคนดีของบิดามารดาและความกตัญญูของน้องไบเบิลเองแล้ว ก็ได้เข้ามาให้บริจาคเงินช่วยเหลือให้สามารถยืนหยัดดูแลครอบครัว และยกย่องเชิดชูในความดีของมารดาที่เลี้ยงดูบุตรให้มีความกตัญญู รวมทั้งเชิดชูน้องไบเบิลที่มีความกตัญญูเป็นแบบอย่างของสังคม
ข่าวนี้จึงมีคุณค่าเป็นแบบอย่างในสังคมที่สะท้อนได้ชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดหากมีจิตสำนึกที่ดีและประพฤติดี ก็สามารถดูแลครอบครัวให้อบอุ่น และสอนให้บุตรมีความกตัญญูได้ และการทำความดีมีความกตัญญูต่อบุพการีเป็นสิ่งที่ได้รับการเชิดชูและผู้คนในสังคมไม่ทอดทิ้ง