พ.ศ.2553-เปิดโปง “ก๊วนการเมือง” รุม “เขมือบ” สินค้าเกษตรในสต๊อกรัฐบาล รักษาผลประโยชน์ชาติหมื่นล้าน-มติชน

เปิดโปง  “ก๊วนการเมือง” รุม “เขมือบ” สินค้าเกษตรในสต๊อกรัฐบาล รักษาผลประโยชน์ชาติหมื่นล้าน
กองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์มติชน


--------------------------------------------------------
ที่มาของข่าว
ปัญหาความไม่ชอบมาพากลในงานระบายสินค้าเกษตรในสต๊อกรัฐบาล เป็นปัญหารื้อรังที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในการบริหารงานของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย  เนื่องจากผลประโยชน์ที่เกิด ขึ้นจากการดำเนินงานมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท  กลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ไม่ว่า จะเป็นนักการเมือง ข้าราชการประจำ รวมถึงบริษัทเอกชน

ภายหลังโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรต้องปิดฉากลง หลังจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยกเลิกการดำเนินงานโครงการนี้ และนำโครงการประกัน รายได้เกษตรกรมาใช้แทน

ผลจากการที่รัฐบาล ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังเก็บสินค้า รวมถึงค่า ดอกเบี้ย ที่กู้ยืมมาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการดำเนิน งานโครงการรับจำนำที่ผ่านมา ถึงเดือนละ 810 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจรีบระบาย สินค้าเกษตรกรในสต๊อกรัฐบาลที่มีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และข้าว ออกไปโดยเร็ว

ท่ามกลางกระแสข่าวลือจำนวนมากกว่า การดำเนินงานเรื่องนี้อาจจะมีความไม่ชอบ มาพากลเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ จากกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้  

ข้อเท็จจริงของข่าว  
“มติชน” ได้เกาะติดการดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และใช้วิธีการทำงานหลาก หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจ สอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ การตรวจ สอบภูมิหลังบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการระบายสินค้า รวมถึงบริษัทเอกชนในต่างประเทศ จาก เว็บไซด์ที่น่าเชื่อถือ


การลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลจริง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด  รวมถึงการใช้ พรบ. ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 การแสวงหาแหล่งข่าววงใน ทั้งจากภาคเอกชน และ ฝ่ายราชการ ที่เกี่ยวข้อง และการตรวจสอบเส้นทางเงิน จนได้มาซึ่งหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ชี้ให้ เห็นว่าขั้นตอนและกระบวนการในการดำเนินงานมีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นจริง

การระบายข้าวโพด - “มติชน” ตรวจสอบพบข้อมูลว่า  ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) นครสวรรค์เบญจศิริกิจ ที่ได้รับอนุมัติระบายสินค้าไปจำนวนมากถึง 315,169 ตัน คิดเป็น มูลค่า 1,454 ล้านบาท  เป็นของนายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย อดีต ส.จ.พยุหะคีรี จ. นครสวรรค์ และอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคมัชฌิมาธิปไตย มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 5 ล้าน บาท


ขณะที่ฐานะการเงินไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรับสินค้าไปได้ ซึ่งอาจทำให้รัฐ เสียหายกรณีที่บริษัทไม่สามารถรับซื้อสินค้าไปได้จริง ซึ่งล่าสุดจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2553   หจก.นครสวรรค์ฯ ก็ยังไม่เข้ามารับสินค้า และไม่ถูกองค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการฟ้อง เรียกค่าเสียหายแต่อย่างใด

การระบายมันสำปะหลัง - “มติชน”  ตรวจสอบพบข้อมูลว่า เอกชนที่ ได้รับอนุมัติให้ เข้ามารับซื้อสินค้าจำนวน 3 ราย คือ หนองลังกาฟาร์ม และไพรสะเดาฟาร์ม และบริษัท กาญจนพันธ์ ฟาร์ม จำกัด รวม มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท แท้จริงแล้ว เป็นบริษัทในเครือ กาญจนา แห่งอาณาจักรของบริษัท กาญจนาฟาร์ม จำกัด ปรากฏชื่อ นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา   ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และผู้ถือหุ้นใหญ่

นอกจากนี้ “มติชน” ยังได้ขยายผลการตรวจสอบไปยังการระบายมันฯเส้น ทั้งในรูป แบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)   และภายในประเทศ ซึ่งมีวงเงินหลายพันล้านบาท พบว่ากระบวนการ ดำเนินมีปัญหาเกิดขึ้นจำนวนมากเช่นกัน

การระบายข้าวสาร -  “มติชน” ตรวจสอบพบว่า บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด มีความ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน  หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยมอย่างชัดเจน และไม่มีศักยภาพ เพียงพอที่จะซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลจำนวนสูงถึง 1.9 ล้านตัน  ขณะที่บริษัท กวางตุ้ง กวางหง อิมพอร์ท แอนด์ เอ็กซ์พอร์ท จำกัด รัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน ที่บริษัท เอ็มทีฯ อ้างว่า เป็น  ผู้ ติดต่อขอซื้อข้าวตัวจริง ก็ตรวจพบข้อมูลว่าไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายข้าว แต่ ธุรกิจ หลักคือ การนำเข้า-ส่งออกเครื่องเล่นดีวีดี


ขณะที่ขั้นตอนการลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวดังกล่าว หลังจาก บริษัท เอ็มทีฯ เปลี่ยนใจยอมซื้อสินค้าเพียง 4.5 แสนตัน มูลค่า 5,000 ล้านบาท  “มติชน” ได้แกะรอยเส้น ทางการเงินของบริษัท จนพบว่า นายวีระศักดิ์  จินารัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง พาณิชย์  ที่สังกัด กลุ่มการเมืองของนายสมศักดิ์ ได้นำเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการ ศึกษา (กยศ.) ของวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่นายวีระศักดิ์เป็นอธิการบดี ไปใช้ในการดำเนินการค้ำประกันค่าข้าว ให้กับบริษัท เอ็มทีฯ


ผลกระทบและการประเมินคุณค่าของข่าว  
ผลจากการที่ “มติชน” ได้เกาะติดและนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริจเกี่ยวกับปัญหาที่ เกิดขึ้น ทั้งในรูปแบบข่าว บทความ รายงานพิเศษ  บทสัมภาษณ์  อย่างต่อเนื่อง ถึงเกือบ 1 ปี เต็ม โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบมาพากล  ได้ ใช้สิทธิชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่ ส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายด้าน ตามมา ดังนี้
1. การระบายมันฯ เส้น จำนวน 7.4 หมื่นล้านบาท หนองลังกาฟาร์ม และไพร สะเดาฟาร์ม ถูก ยกเลิก  ขณะที่การซื้อขายข้าวของบริษัทเอ็มทีฯ ครั้งแรกจำนวน 1.9 ล้านตัน ถูกปรับลดเหลือ เพียงแค่ 4.5 แสนตัน


2. นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวีระ ศักดิ์ จินารัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง โดยในส่วนการลาออกจากตำแหน่งของนายวีระศักดิ์  เป็นผลมาจากคำสั่งของนายกฯ ระหว่าง การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พันตำแหน่งชั่วคราว  

3. ปัญหาการระบายสินค้าเกษตร ทั้งในส่วนข้าว และมันฯ ถูกตั้งตรวจสอบอย่างเป็น ทางการ ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอส ไอ) คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร


ทั้งนี้ การสอบสวนในส่วนของ ป.ป.ช.  เบื้องต้นได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่ สวน เรื่องการระบายข้าวสาร อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553  หลังจาก พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่า นายมนัส สร้อยพลอย  อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ  ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร  นางพรทิวา  นาคาศัย   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบาย ข้าวสาร นาย ไตรรงค์  สุวรรณคีรี  รองนายกรัฐมนตรี  ในฐานะรองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ  และนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี  ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ  ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ในการดำเนินการระบายข้าวสารใน สต๊อกของรัฐบาล   ขณะที่ฝ่ายค้านก็มีการบรรจุเรื่องนี้ ไว้สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจการทำ งานของรัฐบาล ในต้นปี 2554


จึงกล่าวได้ว่า ข่าว เปิดโปง  “ก๊วนการเมือง”  รุม “เขมือบ” สินค้าเกษตรในสต๊อก รัฐบาล รักษาผลประโยชน์ชาติหมื่นล้าน” ของ นสพ.มติชน ได้ทำหน้าที่ของการเป็นสื่อมวลชน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ