ตอนที่ 2
สำนักข่าวอิสระ และ เพจทางเลือก โอกาส และความท้าทาย ของ “คนสื่อ” ยุคใหม่
นอกเหนือจากเพจ”วิเคราะห์บอลจริงจัง”และ”สืบจากข่าว”ที่ทีมข่าว “จุลสารราชดำเนิน”ได้นำเสนอความเป็นมาและวิธีการนำเสนอเนื้อหาในสองเพจดังกล่าวไปในรายงานพิเศษเรื่องสำนักข่าวอิสระ และ เพจทางเลือก โอกาส และความท้าทาย ของ “คนสื่อ” ยุคใหม่ ไปเมื่อตอนที่แล้ว มาถึง อีกหนึ่งเพจ ที่ทีมข่าว จุลสารราชดำเนิน ได้ไปพูดคุยมาก็คือเพจ“บิ๊กเกรียน : เพจอินดี้ สื่อนอกคอก” ที่เป็นอีกหนึ่งเพจ ที่ทำมานานกว่า 2 ปี จนปัจจุบันมียอดผู้ติตาม 5.6 แสนคน และเคยฝายผลงานการเปิดประเด็นข่าวสำคัญๆ จนสื่อกระแสหลักต้องหันมาให้ความสนใจหลายเรื่อง
โดยจุดกำเนิดเริ่มมาจากการรวมตัวของนักข่าวทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโทรทัศน์ หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ คืออดีตนักข่าวอาชญากรรมมือรางวัลจากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง ที่คนในเพจรู้จักกันในนาม “ยาจกชู” ซึ่งเห็นช่องทางที่จะปล่อยของที่อิสระมากกว่า สื่อกระแสหลักซึ่งมีข้อจำกัด ทั้งขั้นตอน กฎระเบียบ รายละเอียดต่างๆ
ทั้งนี้ ทางทีมงานเพจ”บิ๊กเกรียน”ได้ให้สัมภาษณ์โดยไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวเพราะจะมีผลต่อความปลอดภัยในการลงพื้นที่ทำงาน เปิดเผยไว้ว่า ปัจจุบันมีนักข่าวที่ทำงานกันทั้งหมด 4 คน ประสบการณ์ทำงานบางคนอายุงานมากกว่า 20 ซึ่งการเลือกตั้งชื่อ “บิ๊กเกรียน” เพราะต้องการสะท้อนคอนเซ็ปต์ความเป็นสื่อนอกคอก คิดสร้างสรรค์ ไม่อยู่แต่ในกรอบ
ทีมงานคนดังกล่าวบอกว่า ทางเพจ”บิ๊กเกรียน” ไม่ใช่แค่เพจที่จะนำเสนอข้อมูลเพียงแต่จะดึงยอดไลค์ แต่ละคนเป็นสื่อมาก่อนจึงพยายามนำเสนอข่าวให้ได้มาตรฐาน ไม่มีการไปรังแกคนอื่น ไม่ตีหัวเข้าบ้านเพื่อไปรับตัง และที่สำคัญคือการระมัดระวังตัวเองไม่ให้ทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพราะหากเป็นสำนักข่าวใหญ่ๆ คนทั่วไปก็ไม่อยากมีเรื่อง แต่เมื่อเป็นเพจก็อาจมีการฟ้องร้องง่าย ดังนั้นจำเป็นต้องระมัดระวัง ในการนำเสนอข้อมูลอย่างมาก
“เป้าหมายเราไม่ได้ต้องการเป็นเว็บไซต์ข่าวใหญ่โต เรามีเครือข่ายที่เป็นนักข่าวพลเมืองเยอะ ก็ไปสกรีนดูเรื่องไหนน่าสนใจก็เข้าไปหาประเด็น สัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ไม่ใช่แค่แชร์ไปเรื่อยๆ ต้องหาต้นตอที่มาที่ไปให้ชัดเจน” ทีมงานบิ๊กเกรียนกล่าว
...ปัจจุบันมีคนส่งเรื่องร้องเรียน ส่งคลิป รูปภาพ รายละเอียด เข้ามาทางอินบอกซ์แทบทุกวัน ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณีบางเรื่องก็ให้คำแนะนำว่าไปร้องที่นั่นที่นี่ หรือบางเรื่องเป็นประเด็ฯข่าวก็เอามาเผยแพร่ เพื่อให้เกิดการเตือนใจคนอื่นๆ หรือนำไปสู่หนทางแก้ไขปัญหา ยกตัวอย่างหมู่บ้านที่พัทยามีคนร้องเรียนเข้ามาว่ามีการเปิดเป็นเธค จัดปาร์ตี้ มีคนมาขายเหล้า รบกวนคนรอบข้าง เราก็ลงไปดูว่าเปิดถูกต้องหรือไม่ สุดท้ายก็มีคนลงมาดูมากกว่าเขาไปร้องตามช่องทางกันเอง หรือกรณีคนเลี้ยงควายจมน้ำตายที่อีสานเจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกประจำวันว่าจมน้ำตาย แต่มีคนแจ้งเข้ามาว่าทีคอมีรอย เราก็ลงพื้นที่ มีนักข่าวพลเมืองเครือข่ายช่วยด้วยสุดท้ายหลังนำเสนอข่าวตำรวจอายัดศพ และนำไปสู่ข้อสรุปว่าคนฆ่าเป็นคู่เขยที่โกรธเพราะแม่สามีไปยกที่ดิน 5 ไร่ให้คนเลี้ยงควาย
“เรื่องเหล่านี้สื่อใหญ่ก็มาเล่นตาม จริงๆ เราเองก็อยากให้มีอิมแพคท์ แต่เรามีกำลังเท่านี้ บางเรื่องเราก็ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งแต่อยากให้เกิดทางออก ที่เป็นธรรมซึ่งบางกรณีไม่เคยถูกหยิบยกมาอยู่ในหน้าสื่อ เราไปเห็นก็อยากจะช่วยเหลือ อยากให้ทางการหันมามองเท่าที่ทำได้ อย่างเคสเด็กผู้หญิงที่เคยน่ารักต้องมาป่วยติดเตียงคาดว่าเพราะดัดฟันเราก็เปิดประเด็นมีช่องอัมรินทร์ทีวี ช่องวันมาขอข้อมูล ขอใช้คลิป รูปภาพเราก็อนุญาต สะท้อนว่าสื่อใหญ่ๆก็คงโฟกัสเราอยู่”
ทีมงานบิ๊กเกรียน เล่าว่า ในแง่ของความสำเร็จนั้น ถือว่าประเด็นที่เราเปิดเผยสู่สาธารณะจนมีการแก้ไข เยียวยา สร้างความเป็นธรรมนั้นเราถือว่าเป็นสำเร็จแล้ว เราไม่ได้สนใจว่าใครจะให้เครดิตเราหรือไม่
สำหรับเทรนด์ที่นักข่าวจะหันมาเปิดเพจ หรือ สำนักข่าวของตัวเองนั้น ทีมงาน”บิ๊กเกรียน”มองว่า เป็นเพราะความอิสระไม่มีข้อจำกัด และ อีกส่วนหนึ่งนักข่าวสายสิ่งพิมพ์ก็ตกงานจำนวนมาก หลายสำนักก็ลดคนจากเดิมที่นักข่าวเคยวิ่งกันคนละสาย ปัจจุบันรวบคนหนึ่งวิ่งสามสี่สาย เมื่อตกงานแต่สื่อก็เป็นสื่อ บางคนเลยหาทางออก บางคนรักอาชีพนี้ นี่คือทางออกที่จับต้องง่ายที่สุด แค่เรียนรู้เพิ่มอีกนิดหนึ่ง ก็สามารถทำได้
“ทำได้ไม่ยาก แต่จะอยู่รอดหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง เพราะที่สำเร็จก็เยอะ ที่ล้มเหลวก็เยอะ แล้วก็มีสองแบบคือหน่ึงคนที่รักมุ่งมั่นทำอาชีพนี้ กับ คนที่ไม่มีทางไป บางส่วนหลงใหลในสิทธิพิเศษของความเป็นนักข่าวจึงเวียนว่ายไม่อยากออกจากวงการ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้คุณภาพของเพจจึงมีความหลากหลาย บางคนมาเพื่อทำหาเงินอย่างเดียว แต่หาเนื้อหาไม่ได้ ก็อยู่ยาก”
โอกาสของเพจใหม่ๆ ที่จะไปแทรกตัวสำนักข่าวใหญ่ๆ จนแจ้งเกิดและมีที่ทางของตัวเองนั้น ทีมงานบิ๊กเกรียน ต้องมีความพิเศษ มีจุดเด่นของตัวเอง ต้องมีภาพจำของตัวเอง เพราะสื่อใหญ่ครอบคลุมไปหมด เราเองก็ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นยังไงต่อไป คุยกับผู้รู้ที่คร่ำหวอดก็เตือนตลอดว่า นี่อาจไม่ใช่ที่สุดท้ายของเรา เรามีจุดหมุ่งหมาย และต้องปรับตัวไปตามสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตอนเริ่มต้นยังไม่รู้จักอัลกอริทึมกันเลย ไม่รู้ว่าสมัยใหม่ที่คนเห็นเยอะๆ ต้องเน้นคลิป เรายังร่ายยาวเขียนเนื้อหา มีรายละเอียด ประเด็นที่ไปเกาะติด แต่ก็มีคนติดตามเรามาก และเป็นแบบออแกนิคล้วนๆ ไม่เคยบูสต์ ไม่เคยซื้อ คนเข้ามาติดตามเอง เราเป็นพวกอาร์ติสไม่รู้เรื่องไอที และไม่รู้ว่าต่อไปนโยบายเฟสบุ้คจะเป็นอย่างไร
“ทีมงานเพจบิ๊กเกรียน”บอกว่า เรื่องรายได้ ปัจจุบันเรื่องการหาสปอนเซอร์ไม่ง่ายเพราะบิ๊กเกรียนไม่ใช่สื่อกระแสหลัก ตอนนี้เริ่มเพิ่มเนื้อหาให้สอดรับและเข้าถึงกลุ่มคนอ่านคนชั้นกลาง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องอาญากรรม สืบสวนสอบสวน เรื่องร้องเรียนอย่างเดียว แต่ยังต้องปรับ ไปถึงเรื่องการแก้หนี้ การหลอกลวงผ่านออนไลน์ มีคอลัมน์ “เกรียนพารวย” อันจะเป็นช่องทางที่จะได้สื่อสารกับทางธนาคาร –สำนักงานหลักทรัพย์และตลากหลักทรัพย์ฯ –กลุ่มกองทุน ที่อาจมาวางเนื้อหา หรือ ทำแอดโวเทอเรียล อีกทางหนึ่งด้วย