คนข่าวมาขายของ กับมุมคิด ชีวิตต้องมีแผนสำรอง ในยุค คนทำสื่อ มีความเสี่ยงสูง

 

 

คนข่าวมาขายของ

กับมุมคิด ชีวิตต้องมีแผนสำรอง

ในยุค คนทำสื่อ มีความเสี่ยงสูง


ข้อคิด-ทัศนะหลัก ที่คนข่าว-คนทำสื่อ-อดีตนักข่าว  หลายคน ให้มุมมองผ่าน”ทีมข่าวเพจจุลสารราชดำเนิน ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ระหว่าง การออกบูธ ขายของในงาน”คนข่าวมาขายของ ครั้งที่ 3” ระหว่างวันที่ 11-13 กันยายน 2562 ชั้น 4 โซน D ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์

คนข่าว-อดีตนักข่าว –คนทำสื่อ หลายคนที่มาตั้งบูธขายของในงาน  ที่มีทั้งบูธ ของกิน ของใช้ ขนม ผลไม้ เสื้อผ้า กระเป๋า หนังสือ เป็นต้น

อันพบว่า บางคน ขณะที่กำลังสาละวน อยู่กับการขูดมะพร้าว เพื่อทำขนมเปียกปูน และขนมไทยอื่นๆ  ในงาน เพราะลูกค้ายืนรอคิวสั่งซื้อกันไม่ขาดสาย และบางคน กำลังนั่งหาข้อมูลการสมัครเรียนคอร์สขายของออนไลน์ เพื่อหวังจะมาทางขายของออนไลน์แบบจริงจัง  หลังว่างงานมาได้หลายเดือน โดยใช้งาน คนข่าวมาขายของ ครั้งนี้ เป็นเวทีฝึกแนะนำขายสินค้า และอีกบางคน ที่ทำงานข่าวมาร่วม 20 ปีแต่เวลานี้ว่างงานมาได้หลายเดือนแล้ว   ก็ใช้ช่วงว่างๆ ที่คนมาเดินในงานไม่มากนัก หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เพื่อดูข้อมูลการเช่าแผงขายของใต้ตึกสำนักงานเอกชนขนาดใหญ่ ย่านสุขุมวิท-เพชรบุรี ว่าต้องเสียค่าเช่า วันละเท่าใด

“ทีมข่าวเพจจุลสารราชดำเนิน”ได้ไปพูดคุยกับนักข่าว-อดีตคนข่าว หลายคน ที่มาเปิดบูธทำกิจกรรมครั้งนี้ฯ เริ่มที่ “พรชนก วิบูลกิจโกศล “อดีตคนข่าวที่อยู่ในวงการข่าวมายาวนานโดยเฉพาะข่าวสายการเมือง –ทหาร ทั้งการเป็นผู้สื่อข่าว –รีไรต์เตอร์-ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวการเมือง –ผู้เรียบเรียงข่าวอาวุโส ที่ผ่านมาหมดแล้ว  ทั้งสื่อหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ โดยล่าสุด ทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์ข่องหนึ่ง ที่เป็นสถานีที่เน้นข่าวตลอด 24ชั่วโมง  โดยอยู่มาตั้งแต่ปี พ.ศ 2550 แต่ปรากฏว่า ถูกองค์กรต้นสังกัดขอเลิกจ้างกระทัน  เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา


“เวลานี้ว่างงานมาประมาณหกเดือน โดยทำงานวันสุดท้าย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 หลังทำงานที่สถานีโทรทัศน์แห่งนั้น  มาถึง 11 ปี 9 เดือน และไม่เคยคิดจะลาออก  ซึ่งภาพภายนอก สถานีแห่งนี้ มีสายป่านยาว และไม่ได้มีการคืนใบอนุญาตให้กสทช.เหมิอนบางช่อง แต่อย่างใด แต่เขาก็มีการเอาคนออกเป็นระยะๆ แต่กลับมีการรับคนใหม่เข้ามา อย่างล่าสุด  เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา  ก็เพิ่งมีการเอาคนออก อีกล็อตหนึ่ง บางคนที่ถูกเลิกจ้าง ก็ไม่ยอม ก็มีการฟ้องต่อศาลแรงงานกลางกันอยู่เวลานี้  “

“พรชนก-ไอซ์”บอกว่า ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ผู้บริหารของสถานี ก็เคยประชุมกับกองบรรณาธิการข่าว ก็ยืนยันมาตลอดว่าสถานการณ์ของสถานีปกติดี ตอนช่วงเศรษฐกิจเริ่มแย่ และสถานการณ์สื่อเริ่มไม่ดี เขาก็ยืนยันไม่มีการเอาคนนอก หรือเลิกจ้าง แต่ก็มีการใช้บางวิธีการ กับคนในสถานี เช่นโยกให้ไปทำงานโต๊ะอื่น โดยไม่ถามความสมัครใจ หรือเรียกบางคนไปคุยแล้วบอกว่าผลงานไม่เข้าเป้า จะให้สถานีทำอย่างไร บางคนก็ถูกเรียกให้ไปเข้าคอร์สพัฒนาผลงานเป็นเวลาสามเดือน โดยไม่มีหลักประกันว่าหากไม่ผ่านการประเมินจะทำอย่างไร จะมีการขึ้นเงินเดือนอะไรให้หรือไม่ จนสุดท้าย ก็เริ่มมีการทยอยเอาคนออก

“ของเรา ทางสถานี ก็เรียกไปพบแล้วบอกว่า เลิกจ้างและได้โอนเงินเข้าบัญชีให้แล้ว เป็นค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โดยโอนให้ไป 10 เดือน และบอกล่วงหน้าอีก 1เดือน รวม 11 เดือน แต่เราก็มีการต่อสู้ตามกฎหมายแรงงาน ก็ไปฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว”


“ พรชนก-ไอซ์”ที่มาเปิดบูธขายสินค้าแนวสุขภาพเช่น “กาแฟพริก”ที่จะช่วยในเรื่องการลดเผาผลาญไขมัน หรือ”คอลลาเจนเสริมสุขภาพ” บอกว่า พอออกจากงานข่าวที่ตัวเองรักมา ตอนแรก ก็ตั้งหลักก่อนสักระยะ แล้วก็เริ่มขายของ ตอนแรกก็ไปขายของที่ตลาดนัด โดยไปซื้อเสื้อผ้ามือสองแบบคัดอย่างดี ที่ตลาดปัฐวิกรณ์ มาขายตามตลาดนัดต่างๆ ที่ก็ขายได้ และตอนนี้ก็ยังขายอยู่  แต่เวลานี้ กำลังจะมองตลาดเรื่องการขายออนไลน์สินค้าต่างๆ เช่น คอลลาเจน-กาแฟพริกเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่สามารถขายตามตลาดนัดได้เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นคนละกลุ่ม โดยพอลงทะเบียนขายของในงานคนข่าวมาขายของได้ ก็ไปติดต่อกับตัวแทนจำหน่ายว่าจะนำของมาขายในงาน เขาก็ให้เครดิต ให้สินค้ามาจำนวนหนึ่งโดยยังไม่ต้องชำระค่าสินค้ามาก และพอเสร็จงานก็ไปเคลียร์กับตัวแทนจำหน่าย  ก็ถือเป็นการทดลองเปิดตลาดให้กับตัวเองเพื่อให้รู้ตลาด รู้กลุ่มผู้ซื้อสินค้า   และหลังจากนี้ ก็จะเริ่มลุยขายทางออนไลน์มากขึ้น

“ตอนนี้ก็กำลังมองๆอยู่ว่าจะไปเช่าพื้นที่ตามตึกต่างๆ ที่จะมีออฟฟิศอยู่มากๆ ที่เป็นตลาดกลางวัน เพื่อนำสินค้าเหล่านี้พวกสินค้าสมุนไพร สินค้าสุขภาพ ไปขาย  แต่ก็ต้องดูเรื่องค่าเช่า ด้วยว่า จะคุ้มกับการขายหรือไม่  แตก่อนหน้านี้ ก็เคยเอาเสื้อผ้าไปขายแล้วบางตึกเช่นที่ตลาดตึกซัน ที่ก็พอขายได้บ้าง  “

“สถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์ธุรกิจสื่อ เวลานี้ คนที่ทำสื่อ เขาก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่า ไม่ควรยึดติดกับการหารายได้เพียงช่องทางเดียว หลายคน ที่เห็น เขาก็เริ่มมองหาช่องทางในการหารายได้ช่องทางที่สอง ช่องทางที่สามให้กับตัวเอง เพื่อเป็นหลักประกันให้ตัวเองเพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ในสถานการณ์ที่ทุกวันนี้ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ คนทำสื่อ ก็ต้องไม่ประมาท ไม่ใช่เคยทำงานข่าวอย่างไร ปัจจุบันก็ทำแบบเดิมอีก ไม่พัฒนาตัวเองอะไรขึ้นมาเลย  อนาคตก็อาจมีปัญหา”


จากอดีตคนข่าวทีวี

ขายขนมไทย ลูกค้าตรึม ออเดอร์เพียบ

ด้าน”กัญทนน คล้ำจีน-เปิ้ล” อดีตผู้สื่อข่าวสายการเมือง หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งและรีไรเตอร์ข่าวสถานีโทรทัศน์”ฟ้าวันใหม่-BlueSky“ ที่เพิ่งออกจากงานเมื่อ 15  สิงหาคม ที่ผ่านมา ตามนโยบายลดคน ลดตุ้นทุนของสถานี ฯ เท่ากับยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ในวันที่มาร่วมกิจกรรมคนข่าวมาขายของ กับการเปิดบูธ ขายขนมไทย ในชื่อแบนด์ของตัวเอง”ขนมไทยไทย”ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ขายผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งเพจส่วนตัวและเพจที่เปิดขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมถึงช่องทางอื่นๆ เช่น อินสตาแกรม   โดยก่อนหน้านี้ก็เคยไปเปิดร้านขายตามจุดต่างๆ มาแล้วบ้าง ที่ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีถึงคุณภาพของขนมไทยที่ทำขาย


“ที่ทำขายปัจจุบันหลักๆ ก็เช่น ขนมต้ม -เปียกปูน คือเดิมทำเป็นอยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อก่อนแม่ทำขนมขาย แล้วต่อมาแม่เลิกทำ ก็เลยเลิกขายไป ตอนนี้พอดีว่างก็เลยกลับมาทำใหม่ ซึ่งจริงๆ ทดลองทำขายก่อนที่จะออกจากงาน โดยทำออกมาจำนวนไม่มาก แล้วนำไปขายให้คนรู้จัก เพื่อนร่วมงานที่สถานี  เน้นการขายออนไลน์ แต่ตอนนี้ทำจริงจังแล้ว รายได้ก็ถือว่าโอเค ก็มีการสั่งซื้อเข้ามาตลอด ผ่านช่องทางโซเชียลฯ แม้จะไม่มีหน้าร้าน

จากประสบการณ์ที่เรามี ก็ทำให้อยากบอกคนในวงการสื่อว่า วงการตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สื่อก็มีการปิดตัว เอาคนออกกันหลายแห่ง คนทำสื่อก็ต้องมองแล้วว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป เพราะหากจะมีรายได้ทางเดียว แต่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ค่าครองชีพสูง ทุกคนก็ต้องเริ่มมองหาทางเลือกที่สอง ทางเลือกที่สามให้กับตัวเอง ซึ่งจริงๆ สามารถทำควบคู่ไปกับการทำข่าวได้

ใครที่คิดและอยากลองทำอะไร ก็ขอให้เริ่มลองทำเลย อย่างเราที่บ้านเคยทำขนม เราก็เริ่มมองเห็นตรงนี้แล้วว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้ได้ ก็คิดและเริ่มทำเลย ตั้งแต่ตอนยังไม่ออกจากงาน “

“กัญทนน” บอกว่า กิจกรรมที่สมาคมนักข่าวฯ จัดครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้คนข่าว-อดีตคนสื่อ ได้มีพื้นที่มาขายของ หารายได้ เพราะอย่างเคยไปออกบูธ ที่อื่น เขาก็คิดค่าเช่าแผงวันละ 2,500บาท แต่มาจัดครั้งนี้ก็ไม่มีต้นทุนในส่วนนี้ ก็ทำให้ช่วยได้มาก ถือเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มาก


คนข่าวต้องรู้จักวางแผนการเงิน

อย่ามีตระกร้าใส่ไข่แค่ใบเดียว

ขณะที่บูธใกล้ๆ กัน ที่ขายสินค้าหลายอย่าง เช่น เครื่องสำอางค์ -เสื้อผ้า -กระเป๋า ที่เปิดร้านขายของโดยอดีตคนข่าวมากประสบการณ์” อ้อย-อนุสรา ทองอุไร” อดีตผู้สื่อข่าวสายสังคม-สตรี ของ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ที่อยู่ตั้งแต่หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ วางแผงวันแรก เมื่อ 16ปีที่แล้ว จนถึงวันสุดท้าย ที่หนังสือพิมพ์วางแผง เลิกผลิตไปเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา และยังมีประสบการณ์ด้านงานข่าว-งานสื่อสารประชาสัมพันธ์อีกนับสิบปี ในสมัยทำงานที่หนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการทั้งรายวัน รายสัปดาห์ -บริษัทโพลีพลัส-บริษัทแกรมมี่ฯ เป็นต้น

“อนุสรา”บอกว่า เป็นคนที่วางแผนการใช้ชีวิต –การบริหารทางการเงินมาตลอด เพราะตั้งใจมาตลอดว่าจะเกษียณอายุการเป็นนักข่าว คนข่าวในเครือโพสต์ฯ ในวัย 55ปี ซึ่งวันที่ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ปิดตัวลง ก็อยู่ในวัย 54 ปี ทำให้ จากเดิมที่คิดว่า พออายุ 55 ปี เมื่อบริษัทโพสต์ฯ เปิดโครงการเออรี่ รีไทร์ ก็จะไปสมัครเข้าโครงการ ที่ก็เหลืออีกปีเดียว แต่ปรากฏว่า หนังสือพิมพ์โพสต์พูเดย์ กลับเลิกผลิตเสียก่อน เลยทำให้สิ่งที่ได้แพลนไว้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน แม้ก่อนหน้านี้จะมีการวางแผนทางการเงินไว้พอสมควร ทั้งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ –การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ –ซื้อกองทุน-สลากออมสินฯ  และวางแผนการรับงานเขียนที่ตัวเองถนัดในลักษณะเป็นฟรีแลนซ์ฯ เพราะบางอย่าง ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ตอนแรก เช่น ภาพรวมตลาดหุ้น ยังอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง ทำให้ที่เคยหวังรายได้จากการเล่นหุ้นบางส่วนมาเป็นรายได้เสริม  จึงไม่เป็นอย่างที่คิดไว้

....สิ่งหนึ่งที่จดจำได้มาตลอดสมัยเป็นนักข่าวอยู่เครือผู้จัดการ ก็คือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะบอกกับพนักงานตลอดว่า ความมั่นคงอยู่ที่ตัวเราเอง อย่าไปหวังพึ่งพาใคร และยายของพี่ ก็สอนไว้เช่นกันว่า หากขยันทำกิน ไม่มีวันอดตาย คนในครอบครัวพี่ ทุกคนทำงานกันตลอด แม้บางคนจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายใจหมดไปวันๆ ทุกคนทำงาน ทำมาหากินกันตลอดทุกวัน   และเราเองก็เป็นคนเชื่อมาตลอดเหมือนกับที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดไว้คือ “จะทำอะไรต้องมีแผนสำรอง ต้องมีการจัดการกับความเสี่ยง บัฟเฟตต์ ถึงบอกว่า อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียวกัน เพราะถ้าตะกร้าหล่นจะทำให้ไข่แตกหมดทุกใบ คุณก็จะไม่มีไข่ไก่เหลือเลย “ เลยทำให้เราเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนทางการเงิน การวางแผนอนาคตของตัวเอง การมีแผนสำรองในการทำเรื่องต่างๆ มาตลอด

“อนุสรา”เล่าย้อนอดีตให้เราฟังด้วยว่าสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่เป็นช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินหลายสิบแห่งต้องปิดตัวลง ตอนนั้น สื่อก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก นักข่าวตกงานกันมากมาย ทางสมาคมนักข่าวฯเวลานั้น ก็มีการเปิดบูธขายของแบบที่ทำกันตอนนี้ และทำที่ มาบุญครอง เช่นเดียวกันกับตอนนี้ และตัวเราเอง ตอนปี   2540 ที่ลาออกจาก เครือผู้จัดการ กำลังว่างงานอยู่ ก็มาเปิดบูธนักข่าวขายของแบบนี้

“วันนี้ผ่านมา ร่วม22ปี ก็มาเกิดกรณีแบบนี้อีก เมื่อปี 2540  เราก็มาขายของแบบนี้ที่มาบุญครอง มาปีนี้ 2562 เราก็มาขายอีก “อดีตคนข่าวโพสต์ทูเดย์ ระบุ

“อดีตคนข่าวโพสต์ทูเดย์ “ที่เวลานี้ กำลังเรียนรู้เทคโนโลยี การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียอย่างจริงจัง  เพื่อเข้าสู่การขายออนไลน์เต็มตัว กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกัน ระหว่างปี  2540 กับปี 2562  ก็คือ เมื่อเรามีวัยที่เพิ่มมากขึ้น จากที่ตกงานปี 2540 เรายังอายุแค่ 30กว่าปี ก็ยังมั่นใจว่าจะได้กลับไปทำงานสื่ออีก แล้วก็ได้งานใหม่ในเวลาไม่นาน แต่เวลานี้ในวัย 50กว่าปี  การจะหางานทำมันก็ยากกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะการกลับไปวงการสื่อ ที่มีแต่เอาคนออก ยิ่งการกลับไปทำสื่อสิ่งพิมพ์ที่เราถนัด ก็ยิ่งเป็นไปได้ยาก

“แต่สิ่งที่แตกต่างจากตอนปี 2540ก็คือ เรามีการวางแผนชีวิต วางแผนทางการเงินมานานแล้ว เพราะพี่เป็นคนไม่ฝากเงินธนาคาร แต่เอาเงินไปลงทุน โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ก็ไปซื้อตึกแถว สองแห่ง ซื้อคอนโดมิเนียม หนึ่งแห่ง แล้วก็ปล่อยให้เช่า ซึ่งก็มีคนมาขอเช่าตลอดเพราะอยู่ในทำเลที่ดี ก็ทำให้ทุกวันนี้เราก็มีค่าเช่าเป็นรายได้ทุกเดือน”

...และตอนที่เราว่างงาน หลังจากโพสต์ทูเดย์ปิดตัวลง พี่ก็คิดเรื่องหาร้านขายของแบบจริงจัง ก็ไปเดินสำรวจแผงขายของที่ตลาดนัดสวนจตุจักร เขาก็คิดค่าเช่า 15,000บาทต่อเดือน  แล้วขายได้เฉพาะเสาร์-อาทิตย์  โดยมีเวลา ปิด-เปิด ของตลาดนัดฯที่แน่นอน เราก็เลยมาทางขายออนไลน์ดีกว่า ก็ไปลงเรียนคอร์สขายของทางออนไลน์ ของ eBay  เรียนอยู่สามเดือน เขาคิด  20,000 บาท ที่ก็คิดว่าคุ้ม เพราะเขาก็จะสอนหมด ในเรื่องการขายของทางออนไลน์ วิธีการต่างๆ ที่ทำอย่างไร ให้น่าสนใจ ซึ่งเราก็นำสิ่งที่ได้ไปลงเรียนเสียเงิน มาใช้ขายของทางอีเบย์ได้แล้ว ก็มีลูกค้าจากต่างประเทศ ก็มาซื้อของที่ประกาศขายทาง eBay  เขาสั่งซื้อมา เราก็ส่งของไป ยอดที่ขายได้ตอนนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 15,000  บาท ก็มี  เรดคอร์สไว้หมด และหลังจากนี้ ก็ต้องไปหาของมาอัพขายอีก  นอกจากนี้ก็ได้ไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ ก็จะเน้นลงทุนในหุ้นแบบหวังผลระยะยาว โดยเน้นซื้อหุ้นในเครือ ปตท. ที่ยังไง เอาแค่เงินปันผลที่ให้ ก็มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารแล้ว

“สิ่งสำคัญก็คือ ต้องมองเรื่องการหารายได้ทางอื่นๆ เผื่อไว้ด้วย อย่าให้มีรายได้ทางเดียว ต้องมองในเรื่องการมีรายรับจากหลายแหล่ง แต่ต้องอยู่ในกรอบวิชาชีพของการเป็นสื่อ

จริงๆ ไม่ว่าจะอาชีพไหน ก็ควรเริ่มคิดเรื่องการวางแผนทางการเงินตั้งแต่อายุ 40ปีได้แล้ว หรือให้ดีกว่านั้น สักอายุ 30 ปี ก็เริ่มคิดได้แล้ว เพราะอาชีพสื่อ ไม่ใช่ข้าราชการ พอคุณอายุ 60ปี  ต่อให้คุณอยู่องค์กรสื่อขนาดใหญ่ คุณก็ต้องออกจากบริษัทนั้น หากไม่มีการวางแผนทางการเงินอะไรไว้เลย แล้วหลังจากนั้นคุณจะอยู่อย่างไร เพราะคนเราต้องใช้เงินทุกวัน ก็ต้องหาเงินมาให้ได้ทุกวัน “อดีตคนข่าวโพสต์ทูเดย์ ให้แง่คิด

ปิดท้ายที่ “ณัฐธนพร อู่ทรัพย์”อดีตคนสื่อ ในฐานะอดีต Co-Producer   สถานีวิทยุเอฟเอ็ม  101   ที่ทำงานในหน้าที่ดังกล่าวร่วม  5 ปี  บอกว่า กิจกรรม คนข่าวมาขายของ ที่สมาคมนักข่าวฯร่วมจัดกับองค์กรต่างๆ เป็นกิจกรรมที่ดีน่าสนับสนุนและควรทำต่อไป เพราะเป็นการสร้างช่องทางและเปิดพื้นที่ให้กับคนข่าว นักข่าว อดีตคนสื่อได้มีที่ทางในการหารายได้ให้กับตัวเองมากขึ้น หากเป็นไปได้ ก็อยากให้มีการจัดกิจกรรมลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องต่อไป