มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้

Special report

โดยผู้สื่อข่าวพิเศษ



มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้


เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีกิจกรรม ความร่วมมือระหว่างสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่ได้ร่วมกันจัดอบรมหลักสูตร “มองจีนยุคใหม่ ความท้าทายที่สื่อไทยควรรู้ ปีที่ 2” โดยเป็นการอบรมเกี่ยวกับจีนในแง่มุมต่างๆ มีทั้งภาคบรรยายจากนักวิชาการของไทย และดูงานสถานที่จริง

หลักสูตรดังกล่าว ได้รับเกียรติจากนางหยาง หยาง ที่ปรึกษาฝ่ายการเมือง สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ที่มากล่าวในช่วงการอบรมวันที่  1ก.ย. ที่โรงแรม อโนมา ราชดำริ  ถึงสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ว่า “มีคนถามว่าจีนโดนกระทบไหม จีนไหวไหม คนถามเกือบทุกวัน อยากพูดอย่างชัดเจนว่าประเทศจีนไม่ยอมทำสงครามกับใครใดใดทั้งสิ้น ไม่ยอมทำสงครามการค้าที่อเมริกาบังคับให้กับเรา เพราะว่าท่าทีของเราชัดเจน สงครามการค้าไม่มีฝ่ายใดชนะเลย แต่เราขอย้ำอีกทีหนึ่งคือ เราไม่กลัว นี่คือท่าทีของจีน เรายอมรับว่าเราได้รับผลกระทบ เพราะว่าเศรษฐกิจโลกก็โดน อเมริกาก็โดนเองด้วย เศรษฐกิจของจีนในครึ่งปีแรก เติบโตลดลง”

นางหยาง กล่าวย้ำอีกว่า สงครามการค้าไม่ใช่ฝ่ายจีนเป็นฝ่ายริเริ่มและจะไม่ยอมทำสงครามกับใครทั้งสิ้น และฝ่ายอเมริกาเป็นฝ่ายริเริ่ม ฝ่ายอเมริกาเป็นฝ่ายที่พยายามขยายขอบเขตของสงครามการค้าด้วย ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของอเมริกาต้องประสบภัยด้วย อาจจะอยู่ตกอยู่ในภาวะอันตรายของเศรษฐกิจของเขาเอง ความเชื่อมั่นของบริษัทในอเมริกาเริ่มลดลง และวอลสตรีทเจอนัลมีบทความเตือนรัฐบาลอเมริกาว่าการทำสงครามการค้าอาจทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาล่มได้ มีเพื่อนคนไทยถามว่าจีนจะเจรจากับอเมริกาหรือไม่ ขอบอกว่าเราไม่ได้ปิดประตูการเจรจากับอเมริกา แต่ท่าทีของจีนยังชัดเจนตลอด การเจรจาต้องดำเนินบนพื้นฐานการเคารพผลประโยชน์ที่แท้จริงซึ่งกันและกัน จึงจะดำเนินได้ นี่คือท่าทีของจีน

และในช่วง การอบรมหลักสูตร ในภาคเชิงวิชาการที่อบรมให้กับคณะสื่อมวลชนที่เข้าร่วมโครงการ ในช่วง 31 ส.ค.ถึง 1 ก.ย. มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับจีนจำนวนมาก

เริ่มที่ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ Trade War between China and the United States :How should ASEAN Countries Cope with it?

ซึ่งในช่วงหนึ่ง  ดร.อาร์ม กล่าวไว้ว่า วันนี้มาถึงจุดจบของสหรัฐนำเดี่ยว และสิ้นสุดยุคโลกาภิวัฒน์  คือ การเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าจะไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องจากทั้งคู่มีแต่แพ้ ทั้งสหรัฐฯและจีน โดยสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบ ผู้บริโภคสหรัฐฯจะต้องซื้อของแพงขึ้น บริษัทสหรัฐฯในจีนถูกเก็บภาษี และเมื่อจีนเก็บภาษีตอบโต้ เกษตรสหรัฐฯและธุรกิจสหรัฐฯได้รับผลกระทบ เพราะจีนนำเข้าถั่วเหลืองอันดับหนึ่งจากสหรัฐ รวมถึงจะไม่มีทางที่การลงทุนจะไหลกลับมายังสหรัฐฯ สุดท้ายสหรัฐก็ต้องซื้อของจากประเทศอื่นแทน ด้านจีนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐจะน้อยลง รวมทั้งบริษัทของสหรัฐในจีนจะย้ายฐานการลงทุน

ข้อมูลข้างต้นเป็นสาระหนึ่งที่ได้รับจากการอบรมหลักสูตร และยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่คนไทยควรทราบเกี่ยวกับ “บัวหิมะ”

เวลาคนไทยไปเมืองจีน หรือรู้ว่าใครไปเมืองจีนจะต้องฝากซื้อกลับมานั้น เมื่อสอบถามจากคนจีนแท้ว่ารู้จักบัวหิมะหรือไม่  นอกจากจะบอกว่าไม่รู้จักแล้วยังทำหน้างงๆว่าคืออะไรเสียด้วยซ้ำเพราะความจริงคนจีนไม่เคยได้ยิน ขณะที่ตัวยาเดียวกันที่ติดอยู่ข้างกระปุกบัวหิมะมีขายในร้านขายยาของจีนจริง แต่ราคาต่างกันลิบลับ หากซื้อกับทัวร์จะสนนราคาบัวหิมะหลักพันบาทเท่า ขณะเดียวกันหากหาซื้อเองในร้านขายยาบ้านเขา จะตีเป็นเงินไทยเพียงหลักสิบบาทเท่านั้นเอง ผิดก็แต่ไม่ได้ใช้ชื่อว่าบัวหิมะ ฉะนั้น รู้แบบนี้จงระมัดระวังและอย่าเสียรู้ทัวร์อีก

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรอบรมนี้ นอกจากแน่นด้วยเนื้อหาสาระแล้ว การไปดูงานสถานที่จริงจะทำให้เห็นภาพชัดเจน เหมือนสุภาษิตที่ว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” อีกทั้งยังได้สอบถามข้อสงสัยจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้น คณะจึงบุกไปยังเมืองหางโจว มณฑลเจ่อเจียง เมืองแห่งอาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ชขนาดใหญ่ แถมยังเป็นบ้านเกิดของ “แจ๊ค หม่า” เสียด้วย


ลักษณะที่สำคัญของเมืองนี้ คือ Cashless Society สังคมไร้เงินสดแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะใช้ช้อปปิ้ง หรือรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเงินด้วยระบบ Alipay ซึ่งระบบนี้ต้องเป็นคนจีนเท่านั้นที่จะสามารถเปิดบัญชีได้ ดังนั้น ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพกเงินสด

ทว่า มีคำแนะนำแก่ชาวต่างชาติให้จับจ่ายกับร้านที่ดูน่าเชื่อถือ หรือเป็นร้านที่กล้องวงจรปิดของทางการส่องเห็น เพราะไม่เช่นนั้นเวลาถอนเงินอาจได้ปลอมแบงค์ อันเนื่องมาจากหางโจวมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การจะปลอมแบงค์จึงไม่ใช่เรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม การเยือนเมืองหางโจวครั้งนี้ ได้ไปดูความล้ำหน้าของบริษัทอาลีบาบา โดยก่อตั้งเมื่อปี 1999 ใช้เวลาเพียง 20 ปีในการพัฒนากลายเป็นบริษัทดังระดับโลก  ส่วนหนึ่งเจ้าหน้าที่พาไปดูซุปเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ “เหอหม่า” ลูกค้าสามารถเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าได้ตามปกติ แต่ที่พิเศษกว่านั้นสามารถช้อปปิ้งทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค ผลไม้สด เนื้อสัตว์ ซีฟู้ด เป็นต้น ผ่านแอฟพลิเคชั่นของเหอหม่าได้ ทั้งยังสามารถสั่งปรุงอาหารและไปส่งถึบ้าน

ขณะเดียวกันหากต้องการใช้บริการร้านอาหารของซูปเปอร์มาร์เก็ต ลูกค้าสามารถจองคิวโต๊ะและสั่งอาหารล่วงหน้าผ่านแอพได้อีกด้วย เมื่อมาถึงก็มีโต๊ะและอาหารปรุงเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ ทั้งนี้ การชำระเงินแน่นอนว่าผ่านระบบ Alipay

จากนั้นคณะสื่อมวลชนเดินทางต่อไปยังนครเซี่ยงไฮ้ (ชางไฮ้) เป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่รัฐบาลจีนวางหมุดหมายให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ นำร่องการทดลองใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ระบบทุนเสรี ในขณะที่การปกครองยังเป็นสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์เป็นใหญ่   จีนไม่ต้องการเปิดประเทศพร้อมกันหมด  จึงเลือกพื้นที่นำร่องบางเมือง บางมณฑลมาทดลองก่อน โดยรัฐบาลกลางวางยุทธศาสตร์แตกต่างกันไป

คณะได้เยือนที่ตั้งบริษัทหัวเหวย ณ นครเซี่ยงไฮ้ บนพื้นที่ 780 ตร.ม. อย่างไรก็ตามสำนักงานใหญ่ที่สุดอยู่ที่ตงกวนใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษเซิ้นเจิ้น พนักงานของบริษัทเปิดฉากด้วยการแนะนำเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเปรยเปรียบว่าหัวเหวยในปัจจุบันกำลังเป็นแบบนั้น ถูกยิงจนภายนอกพรุน แต่ภายในยังดี  ทั้งนี้ หัวเหวยมีจุดมุ่งหมาย คือ ต้องการนำเทคโนโลยี AI สู่มนุษย์


Mr.Liu Jingyang (Leon) ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้รับผิดชอบ Huawei ในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า บริษัท Huawei ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 เพื่อตอบสนองสินค้าไอทีและเทคโนโลยี โดยมีผลประกอบการ ในปี 2018 รวม 721 พันล้านหยวน แม้ปีนี้จะเผชิญกับวิกฤติการณ์อื่นๆ ก็ยังโตถึง 3,000 กว่าล้าน

สำหรับรูปแบบการบริการของ Huawei ให้บริการอินเตอร์เน็ต และจับมือกับผู้บริการของไทยเพื่อช่วยออกแบบแพลตฟอร์มดิจิตอลแก่บริษัท รวมทั้งให้เช่าพื้นที่คลาวด์ (จัดเก็บข้อมูล)

สำหรับการพัฒนา 5G ใหม่ล่าสุดจากหัวเหวย เน้นการใช้งานตั้งแต่ระดับบุคคลถึงบุคคล ระบบจนถึงบุคคลจนถึงการรองรับแพลตฟอร์มได้หลากหลาย เพื่อการพัฒนาระดับประเทศ ซึ่งตอนนี้ 5G กำลังรองรับแล้วในหลายๆ พื้นที่ในโลก ปัญหาที่ประสบเช่นต้องเดินตามหาสัญญาณโทรศัพท์จะหมดไป เพราะจากที่เราต้องวิ่งหาสัญญาณ แต่5Gจะวิ่งหาคนเอง อีกทั้งการโหลดหนัง Full HDได้ใน1วินาทีด้วย

ก่อนเดินทางกลับ คณะสื่อมวลชนได้รับเกียรติจาก ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน มาสรุปบรรยาย หัวข้อ ‘นวัตกรรมและความสร้างสรรค์จากจีนสู่ไทย’ ที่ร้าน Eat And Work ในห้าง Super brand mall โดยฉายภาพในอดีตของจีนที่เป็นภาพจำของใครหลายคน เช่น กำแพงเมืองจีน  ฝูงจักรยาน และสินค้าก็อปปี้

ดร.ไพจิตร ระบุว่า เขาไม่ก็อปเฉพาะของไทย แต่ก็อปทุกชาติ แม้แต่ของคนจีนด้วยกันเอง มีการออกแบบ ก็อปกันเยอะจึงมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้าในหลากหลายสินค้าและธุรกิจ แต่วันนี้ สิ่งต่างๆที่เป็นภาพก็อปหายไป เมื่อจีนต้องการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จีนดำเนินนโยบายบุกโลกมาในช่วง 10 ปีหลังนี้ มีการสร้างแบรนด์ ซื้อกิจการระดับโลก และจีนก็เห็นความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา จีนตั้งศาลทรัพย์สินปัญญา มีสำนักงานป้องกันทรัพย์สินทางปัญญาของโลกมาตั้งที่จีน

วันนี้จีนพัฒนาตัวเอง ในฐานะส่วนตัวของดร.ไพจิตร มาจีนเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนนั้นคนยังยากจนเกินจะจินตนาการว่าจะมาถึงจุดนี้ และอดีตที่ผ่านมาคนจีนปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง แต่ 5 ปีหลังมานี้ จีนเปลี่ยนไปแล้ว มีการศึกษา ทำวิจัยและพัฒนาแก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหามลพิษ การลด pm 2.5 ที่จีนทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องจนวันนี้ปัญหาลดลง

ที่สำคัญจีนยังเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจำนวนมาก ทั้งการซื้อเทคโนโลยีของซีเมนต์ (บริษัททำรถไฟเยอรมนี) จนวันนีจีนจะทำรถไฟความเร็วสูง 630 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือการทำ Face Recognition (จดจำใบหน้า) ที่สามารถเชื่อมต่อไปในระบบทุกขณะที่เข้ามาในเมือง ซึ่งใช้การบันทึกข้อมูลระยะห่างของเรติน่าในดวงตา รวมทั้งจีนเริ่มการชำระเงินด้วย Facial Scan (ใบหน้า) เป็นต้น

จีนมีคำกล่าวว่า “เปลี่ยนเล็กทุกปี เปลี่ยนใหญ่ทุก3 ปี” เป็นสิ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของจีนอย่างชัดเจนในทุกวันนี้ จนคนไทยที่มาจีน รวมถึงเซี่ยงไฮ้ ในรอบ 20-30 ปีนี้ ก็จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก


ดร.ไพจิตร กล่าวปิดท้ายว่า จีนเดินมาวันนี้เป็นเพียงก้าวแรกของการพัฒนา ปี 2035 จีนจะมีสมาร์ทซิตี้มากที่สุดในโลก จีนพัฒนาปรับปรุงสิ่งต่างๆเพื่อให้ในวาระพรรคคอมมิวนิสต์ครบรอบ 100 ปี จีนจะเป็นสมาร์ทเนชั่น เป็นประเทศพัฒนาแล้ว มีขนาดรายได้ต่อหัวของประชากรเท่าประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2050

นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนหลายแขนง ในการร่วมลงชื่อสมัครเข้ารับการอบรม ส่วนผู้สนใจ อยากเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ก็ต้องรอในปีหน้า ซึ่งเมื่อใกล้ถึงช่วงการรับสมัคร จะมีการแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบกันต่อไป